ในสิ่งปลูกสร้างที่ลอยอยู่กลางอากาศ เฉินผิงอันสาวเท้าเดินเป็นวงกลม เพียงแต่ว่าร่างกายกลับงองุ้มอย่างไม่อาจห้าม แขนข้างหนึ่งก็ห้อยลู่ลง
เหนี่ยนซินนั่งอยู่บนขั้นบันไดที่ห่างไปไกล เอ่ยว่า “หากยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลอีก โรคร้ายที่จะทิ้งไว้ภายหลังย่อมต้องมากกว่าเดิม ต่อให้สุดท้ายจะทำสำเร็จ แต่ประสิทธิผลก็จะต้องถูกลดทอนลงไปหลายส่วนใหญ่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ทราบแล้ว”
เหนี่ยนซินเองก็จนใจมากเหมือนกัน
เด็กชายผมขาวมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหนี่ยนซิน เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เป็นบัณฑิตของปีศาจใหญ่อวิ๋นชิง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางเหนี่ยนซิน บอกตามตรง ข้าหลงรักเจ้ามานานแล้ว คำว่า ‘เส้นผมสีนิลยาวปล่อยสยาย สะอาดบริสุทธิ์ไม่เหมือนการแต่งกายของสตรีชนชั้นสูง’ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
เหนี่ยนซินไม่ได้สนใจ
เทวบุตรมารนอกโลกแปลงโฉมไปอีกครั้ง เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เหนี่ยนซินจ๋า เจ้าคงไม่ได้รังเกียจว่าข้าทั้งหูหนวกทั้งตาบอดทั้งอายุมากหรอกกระมัง?”
เหนี่ยนซินยังคงไม่สนใจ
เทวบุตรมารนอกโลกเปลี่ยนรูปร่างไปอีกครั้ง “ผู้อาวุโสเหนี่ยนซิน คนเราจะมองกันแต่รูปโฉมภายนอกไม่ได้ ในใจและในสายตาของข้า เจ้าคือแม่นางที่งดงาม สตรีงดงามต่อให้มีนับพันนับหมื่น แม่นางเหนี่ยนซินก็ยังมีแค่คนเดียว”
เฉินผิงอันฝึกท่าเดินนิ่งไม่หยุด เอ่ยว่า “แค่พอประมาณก็พอแล้ว”
ที่แท้เทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นก็แปลงสภาพเป็นเฉินผิงอันที่สวมชุดเขียว
เหนี่ยนซินเพียงแค่คิดถึงเรื่องต่อจากการเย็บผ้า
เทวบุตรมารนอกโลกกลับคืนมาอยู่ในเนื้อหนังมังสาที่ตัวเองชื่นชอบมากที่สุด นั่งอยู่บนขั้นบันได “บุรุษกับสตรีอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง แต่กลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ต่อกันเลย นี่ไม่เข้าท่าสักนิด! พวกเจ้าสองคนนี่ยังไงนะ ทำลายบรรยากาศจริงๆ”
เฉินผิงอันเดินนิ่งเสร็จแล้วก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู หลังจากยืนนิ่งอยู่ครึ่งชั่วยามก็เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ สงบจิตใจบำรุงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตด้วยความอบอุ่น
เหนี่ยนซินจากไป
เทวบุตรมารนอกโลกที่ห้อยงูเขียวแทนต่างหูกลับไม่ยอมจากไป จ้องมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ข้างกายเฉินผิงอันเขม็ง
‘หลงชิว’ กระบี่สั้นเล่มนั้นของเขาอยู่ข้างในนั้น เล่มที่เฉินผิงอันเอาคืนมาให้เขาก่อนหน้านี้ ถูกเขาเอามาผูกไว้ตรงเอว มีชื่อว่า ‘เจียงตู๋’
ต่างก็มีประวัติความเป็นมา เอามาใช้เลี้ยงเจ้าตัวน้อยสองตัวที่ห้อยอยู่ตรงหูเขาได้พอดี
ในความเป็นจริงแล้ววัตถุที่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานในฟ้าดินแห่งนี้ ระดับขั้นต้องไม่แย่อย่างแน่นอน
แต่สำหรับเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งแล้ว อันที่จริงไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก แค่เห็นแล้วถูกชะตาเท่านั้น
เขาพลันเอ่ยว่า “คราบร่างเซียนเหรินชิ้นนั้นล่ะ? ไม่สู้ให้ข้ามอบชุดคลุมอาคมบนร่างไปให้เจ้าพร้อมกันเลยดีไหม นางจะได้สวมมันไว้ตอนออกกระบี่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “ต้องให้ความเคารพคนตาย”
พอลุกขึ้นยืนก็ทิ้งตัวไปด้านหลัง ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันพื้น หลับตาลง อีกมือหนึ่งทำมุทรากระบี่
เด็กชายผมขาวพูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าจะไม่ก้าวเข้ามาในสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ แค่จะเตร็ดเตร่ไปรอบด้านเท่านั้น ทว่ากลับคอยเปลี่ยนร่างเป็นเผ่าปีศาจแต่ละตนที่ตายไปภายใต้หมัดและกระบี่ของเฉินผิงอัน แล้วก็ถามขึ้นมาว่า “ต้องให้ความเคารพคนตายหรือ? แล้วคนที่มีชีวิตอยู่ล่ะควรเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ประกบสองนิ้วค้ำยันพื้น เป็นเหตุให้สองเท้าลอยพ้นพื้นขึ้นมาหลายส่วน
เด็กชายผมขาวที่กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมจ้องตากับเขา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ปากไม่ตรงกับใจ เจ้าคอยเข้มงวดกวดขันตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้แข็งแกร่ง อยู่ร่วมกับฟ้าดิน”
เฉินผิงอันหลับตาลงอีกครั้ง เอ่ยว่า “ทุกเรื่องราวล้วนดำรงอยู่ด้วยเงื่อนไขและเหตุผลที่แน่นอน”
เทวบุตรมารนอกโลกพลันกลายร่างเป็นสตรีแล้วคลี่ยิ้มหวาน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย เขาลืมตามองไป คือใบหน้าที่สามารถสวมรอยตัวจริงได้
สิ่งที่คิดในใจ สิ่งที่เห็นในสายตา
นี่ก็คือความน่ากลัวของเทวบุตรมารนอกโลก
เฉินผิงอันหลับตาลง เอ่ยว่า “แบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง”
เด็กชายผมขาวโวยวายทันใด “ท่านปู่อิ่นกวาน หากจิตมารของท่านก็คือสตรีผู้นี้ จะทำอย่างไรกันดีเล่า?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้ากลับหวังให้เป็นเช่นนั้น”
เด็กชายผมขาวยกมือสองข้างขึ้น สองนิ้วดีดงูเขียวข้างหูเบาๆ ความเคลื่อนไหวแผ่วเบา แต่กลับมีเสียงดังเหมือนระฆังที่ตีดังก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ถามว่า “ไม่สู้มาลองแสดงกันดูสักรอบ?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงหนัก “ไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าผู้อาวุโส!”
เด็กชายผมขาวบ่นว่า “ลดลำดับศักดิ์ลงมาให้เสียเปล่าไปไย การค้าครั้งนี้ท่านปู่อิ่นกวานขาดทุนแล้ว”
จากนั้นนาทีถัดมา เทวบุตรมารก็เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว หดคออย่างขลาดกลัว
ที่แท้ก็ถูกเฉินชิงตูเอามือคว้าหัวแล้วหิ้วไว้ในมือ
ผู้เฒ่าแค่ใช้ปณิธานกระบี่สยบกำราบ ใบหน้าของเทวบุตรมารก็เปลี่ยนมาเป็นบิดเบี้ยวแล้ว ร่างทั้งร่างก็ยิ่งเหมือนเทียนหอมที่เริ่มหลอมละลาย ใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พลันร้องคร่ำครวญไม่หยุด เอ่ยปากอ้อนวอนสุดชีวิต
เฉินผิงอันพลิกตัวพลิ้วกายยืนนิ่ง
เฉินชิงตูโยนเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นออกไปไกลๆ มองไปทางเฉินผิงอัน ขมวดคิ้วเอ่ย “ชื่อจริงของปีศาจใหญ่ที่สำคัญหลายตนกลับสลักออกมาไม่ได้สักชื่อเลยหรือ?”
เหนี่ยนซินปรากฎกายบนขั้นบันได “จะโทษข้าไม่ได้นะ แกะสลักได้ก็จริง แต่คงต้องแกะลงบนร่างของคนตายแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “คอขวดผู้ฝึกยุทธมิอาจฝ่าไปง่ายๆ ได้จริงๆ ต่อให้จะถามหมัดกับเทวบุตรมารนอกโลกก็ยังไม่มีประโยชน์ ตอนนี้สิ่งที่ข้าขาดก็คือปณิธานแห่งจิตวิญญาณที่ลี้ลับมหัศจรรย์นั้น ไม่อย่างนั้นหากมีแค่การหล่อหลอมเรือนกายอย่างเดียว ลำพังเพียงแค่แบกรับการเย็บผ้าจากผู้อาวุโสเหนี่ยนซินก็มากพอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลได้แล้ว”
เฉินชิงตูกล่าว “จะให้ข้าไปหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่พลังจิตเปี่ยมล้นจากที่ไหนมาให้ใต้เท้าอิ่นกวานได้ล่ะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าถามข้า”
เฉินชิงตูยิ้มอย่างขำๆ ปนฉุน
เหนี่ยนซินได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
เฒ่าหูหนวกที่เร่งรุดมาตามเสียงความเคลื่อนไหวก็รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง
เทวบุตรมารนอกโลกที่ขดตัวอยู่บนขั้นบันไดยิ่งรู้สึกว่าคำเรียกท่านปู่อิ่นกวานแต่ละคำของตนล้วนไม่เสียเปล่าเลย
ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือใต้เท้าอิ่นกวานถูกปณิธานกระบี่สยบกำราบ อันดับแรกเอวก็งองุ้ม จากนั้นก็เข่าทรุดคุกเข่าลงกับพื้น สุดท้ายหมอบคว่ำอยู่บนพื้นมิอาจกระดุกกระดิก อีกนิดก็เกือบจะกลายเป็นดินโคลนเละๆ กองหนึ่ง
โชคดีที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสนับว่ายังพอจะมีน้ำใจอยู่บ้าง จึงจับเฉินผิงอันโยนเข้าไปในเตาหลอมลาวาแห่งนั้นโดยตรง
หลังจากร่างของเฉินผิงอันหายไปแล้ว
เฉินชิงตูก็โบกมือ พวกเหนี่ยนซินจึงพากันจากไป
ผู้เฒ่ายืนอยู่ในศาลา กวาดตามองไปรอบด้าน เส้นสายตาไล่ผ่านเสาทั้งสี่ต้นช้าๆ
……
เฉินผิงอันได้ออกมาจากคุก มาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกอย่างที่หาได้ยาก
เด็กชายผมขาวปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว ยั่วยุอิ่นกวานหนุ่มว่าให้ไปดูสถานที่ฝึกตนของสิงกวาน บอกว่าที่นั่นมีสมบัติเยอะมาก ล้วนเป็นของที่ไร้เจ้าของ เก็บมาได้ตามใจชอบ
แค่มองดูอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าไม่เก็บเอามาก็เท่ากับว่าปล่อยทิ้งให้เสียเปล่า
ภายใต้การนำทางของเทวบุตรมารนอกโลก เฉินผิงอันจึงได้มาเยือนลำธารเส้นนั้น สีหน้าของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย ราวกับอยู่ที่บ้านเกิดแล้วกำลังจะไปเก็บหินดีงู เพียงแต่ว่าขาดตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ไป
เด็กชายผมขาวสมกับเป็นคนคาบข่าวที่ไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงานจริงๆ เขาเล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับนายบ่าวสองคนนั้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด บอกว่าเจ้าเด็กทึ่มที่ชื่อโยวอวี้ผู้นั้น ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ล้วนเชื่องช้า เทียบกับลูกศิษย์สามคนที่เฒ่าหูหนวกรับมาแล้วก็ไม่อาจเทียบได้ติดเลย บอกว่าพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ของของตู้ซานอินกลับไม่เลว แล้วยังโชคดียิ่งกว่า น่าเสียดายที่เป็นพวกหื่นกาม คนประเภทนี้ได้มาเป็นเจ้านายของเฒ่าหูหนวกกับสิงกวาน เขาล่ะรู้สึกเสียใจอย่างสุดแสนแทนท่านปู่อิ่นกวานจริงๆ
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน ตรงริมลำธารที่ห่างไปไม่ไกลมีสตรีที่กำลังใช้ไม้ทุบผ้ากับเด็กสาวที่กำลังซักผ้า
เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไปแล้วก็รู้สึกถึงเพียงความเหลือเชื่อ เดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ เคยเห็นคนจิ๋วควันธูปที่มีกรอบป้าย มีกระถางธูปเป็นบ้านมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่แมลงก้อนเงินของชุยตงซานก็ยังเคยเห็น แต่กลับไม่เคยเห็นสตรีสองคนที่อยู่ตรงหน้ามาก่อน
เด็กชายผมขาวเอ่ยชื่นชม “ท่านปู่อิ่นกวานสายตาดีจริงๆ แค่มองครั้งเดียวก็มองถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกนางออก พวกนางต่างก็เป็นร่างจำแลงของบรรพบุรุษเงินแก่นทองและเงินฝนธัญพืช แต่ตู้ซานอินผู้นั้นกลับไม่ได้เรื่องเลย เห็นแค่ใบหน้าเล็ก หน้าอกใหญ่ เอวบางๆ ของพวกนางเท่านั้น ส่วนโยวอวี้ก็ยิ่งน่าสงสาร ไม่แม้แต่จะกล้ามองสักครั้ง มีเพียงท่านปู่อิ่นกวานที่สมกับเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง”
สตรีที่ใช้ไม้ทุบผ้าเงยหน้าขึ้น เอานิ้วลูบผมตรงจอนหู ยิ้มบางๆ ให้เฉินผิงอัน
ส่วนเด็กสาวที่ซักผ้าพอเห็นอิ่นกวานหนุ่มก็ใช้นิ้วข้างหนึ่งจิ้มแก้ม
เฉินผิงอันประสานมือคารวะกลับคืน
เด็กชายผมขาวกระทืบเท้า “ท่านปู่อิ่นกวาน พวกมันคู่ควรกับมารยาทพิธีการจากท่านผู้อาวุโสแบบนี้เสียที่ไหน ทำให้พวกนางอายุสั้นแล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปทางกระท่อมพลางคิดถึงเรื่องเงินทองไปด้วย
เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ต้าหลีมีอยู่สามชนิด เงินอิ๋งชุน เงินก้งหย่าง เงินยาเซิ่ง เคยเป็นเงินค่าผ่านทางในการเข้าไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรภูเขากลุ่มแรกของเขาก็อาศัยเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุงซื้อมา เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิดที่ราชวงศ์ต้าหลีขายให้กับกองกำลังตระกูลเซียนฝ่ายต่างๆ เล่าลือกันว่าเป็นเงินแม่แบบสามชนิดที่สำนักโม่ช่วยสกุลซ่งสร้างขึ้นมา จัดทำได้อย่างประณีตเป็นที่สุด คือของงดงามเป็นเอกอันดับหนึ่ง จากนั้นถึงได้เริ่มทำการหลอมครั้งใหญ่
ต่อให้เป็นเงินแม่แบบของเงินเหรียญทองแดงธรรมดาทั่วไปที่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์สร้างขึ้นมา ก็ล้วนเป็นของรักของเซียนซือมากมายบนภูเขา คือของสะสมล้ำค่าที่คนชอบสะสมยอมทุ่มทองก้อนใหญ่ซื้อมาโดยไม่เสียดาย
เงินใหม่ที่ทางราชสำนักแจกจ่ายซึ่งรวมถึงเหรียญทองแดงแก่นทอง เงินเทพเซียนสามชนิดบนภูเขาซึ่งมีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชเป็นหนึ่งในนั้น ล้วนอยู่เหนือเงินแม่แบบ ต่างก็มีเงินบรรพบุรุษกันทั้งสิ้น
เงินบรรพของเงินเกล็ดหิมะแน่นอนว่าเป็นสิ่งของที่สกุลหลิวธวัลทวีปเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แต่เงินบรรพบุรุษของเงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชนั้นอยู่ที่ไหน กลับไม่มีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด คิดไม่ถึงว่าเงินบรรพบุรุษของเงินฝนธัญพืชจะถูกสิงกวานเก็บไว้ในกระเป๋า แล้วยังมีโชควาสนาเช่นนี้อยู่อีก ถึงขั้นจำแลงร่างกลายเป็นคนได้สำเร็จ
สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญามากมายบนโลก ขอแค่จำแลงร่างกลายเป็นคนได้ ไม่ว่ารากฐานจะคืออะไร เมื่อสติปัญญาเปิดกว้าง ก็ล้วนถือเป็นโชควาสนาใหญ่บนมหามรรคา ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่ได้เดินขึ้นเขาแล้ว ปฏิบัติต่อกันอย่างมีมารยาท ย่อมไม่ผิดอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มตู้ซานอินวันนี้ว่างงานจึงมายืนอยู่ใต้ซุ้มองุ่น มองแขกทั้งสองคนอยู่ไกลๆ
เด็กหนุ่มผมขาวยังคงพูดทวงความไม่เป็นธรรมแทน ‘ท่านปู่อิ่นกวาน’ ของตัวเอง เขาเดินเคียงบ่าอยู่กับเฉินผิงอัน แต่กลับเป็นการเดินถอยหลัง ยื่นนิ้วชี้ไปยังสตรีสองคนที่ทุกวันได้แต่ทุบผ้าซักผ้า “บังอาจๆ ทำตอนนี้เลยๆ”
เดิมทีสตรีที่ใช้ไม้ทุบผ้ากับเด็กสาวที่ขยี้ผ้าไม่ต่างจากสาวงามในชนบทสักเท่าไร หลังจากที่เทวบุตรมารนอกโลกเอ่ยสองคำว่า ‘ทำตอนนี้เลย’ กลับกลายเป็นว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติบังเกิดขึ้น ผิวหนังของพวกนางแบ่งกันมีแสงสีเหลืองทองและสีเขียวเข้มปรากฎ พอจะมองเห็นตัวอักษรลอยขึ้นมาได้อย่างเลือนราง โดยเฉพาะบนหน้าผากของเด็กสาวมัดผมแกละที่เหมือนมีหน้าต่างบานเล็กๆ ถูกเปิดออก คาดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะที่ตอนนางถือกำเนิด ตัวอักษรเหมือนโดนฟัน รอยมีดจึงยังคงดำรงอยู่
แต่พวกนางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ยังคงซักผ้าทุบผ้าต่อไป
เด็กชายผมขาวเอ่ยเบาๆ “เงินต้นแบบและเงินบรรพบุรุษบนโลก ส่วนใหญ่มักจะอยู่เป็นคู่ หากทั้งสองล้วนกลายเป็นภูตได้สำเร็จ จากนั้นก็กลายเป็นคู่รักกัน จุ๊ๆๆ นั่นก็คือโชควาสนาที่พันปียากจะพานพบแล้ว เงินให้กำเนิดเงิน ท่านปู่อิ่นกวาน ขอแค่ท่านรับปากว่าจะพาข้าไปอยู่ใต้หล้าไพศาลด้วย ข้าก็จะช่วยท่านขอพวกนางมาจากสิงกวาน วันหน้าเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาล กีบเท้าม้าควบทะยานไม่หยุด เบิกตามองกว้าง ช่วยท่านผู้อาวุโสไปตามหาคู่บำเพ็ญตนให้กับพวกนาง! เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่อย่างไร”
เซียนกระบี่สิงกวานอยู่ในกระท่อม ต่อให้อิ่นกวานมาเยือนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดประตูต้อนรับแขก
เดิมทีเฉินผิงอันก็มาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์อยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจกับท่าทีของสิงกวาน ขอแค่ไม่โดนแสงกระบี่ของอีกฝ่ายก็พอ
ตู้ซานอินคารวะพลางเอ่ยว่า “คารวะใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เชิญตามสบาย”
ตู้ซานอินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตบหัวตัวเอง ไปหยิบผงทองสองถุงมาแล้วยื่นถุงหนึ่งส่งมาให้ก่อน “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดรับไว้ด้วย”
เฉินผิงอันรับเอาไว้จริงๆ
ตู้ซานอินยื่นผงทองไปให้อีกถุง “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดเล่าเรื่องราวแห่งขุนเขาสายน้ำให้ฟังอีกสักรอบเถิด”
เด็กชายผมขาวคลี่ยิ้มมีเลศนัย
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อให้ในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นเจ้านายของสิงกวานอย่างสมชื่อก็อย่าได้ทำเรื่องแบบนี้อีก”
ตู้ซานอินเงยหน้าขึ้น ถามด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ขอถามได้ไหมว่าทำไม?”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่เดินสวนไหล่เด็กหนุ่มไป ขยับเท้าไปชื่นชมแก้วกระเบื้องเทพบุปผาห้าสีที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เด็กชายผมขาวกระโดดขึ้นตบไหล่ของเด็กหนุ่ม เอ่ยว่า “เป็นคนมีความสามารถคู่ควรแก่การอบรมปลูกฝัง พยายามเข้าอีก! ท่านปู่อิ่นกวานของข้าอิจฉาที่เจ้ามีวาสนาลึกล้ำ คำกล่าวที่ว่าหลงระเริงลำพองตน สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เดิมทีก็เป็นคำกล่าวในเชิงชมเชยอยู่แล้ว”
ตู้ซานอินยิ้มกว้าง “พูดเรื่องตลกแล้ว”
เด็กชายผมขาวกล่าวอย่างกังขา “ทำไมเจ้าไม่กลัวข้าสักนิดเลยเล่า?”
จิตของตู้ซานอินขยับเล็กน้อย แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็พลันมาหยุดที่ไหล่ของเด็กหนุ่ม ประหนึ่งนกน้อยพุ่งเข้ามาเกาะกิ่งไม้
ตู้ซานอินเอ่ย “ใต้เท้าสิงกวานมอบสิ่งนี้ให้ข้าแล้ว”
เด็กชายผมขาวเอ่ยทันใด “แค่อาศัยสิ่งนี้ วันหน้าข้าจะเรียกเจ้าว่าท่านพ่อ!”
ตู้ซานอินเตรียมจะคลี่ยิ้ม ทว่าใบหน้ากลับชะงักค้างในฉับพลัน