บทที่ 677.3 ในที่สุดก็เป็นขอบเขตเดินทางไกล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันกำลังจ้องมองด้านใต้ของแก้วกระเบื้องเทพบุปผาใบหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ายั่วยุคนอื่นให้เต็มที่ไปเถอะ”

เด็กชายผมขาวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

เฉินผิงอันหันหน้ามามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ “เจ้าอยู่ในกฎเกณฑ์ เหตุใดถึงไม่กล้าออกกระบี่”

ตู้ซานอินหันหน้ามายิ้มกล่าว “ในสายตาของข้า พวกเราล้วนเป็นยอดฝีมือที่บรรลุมรรคา เล่นสนุกกับคนบนโลก ไม่ถือว่าเกินไปเลยสักนิด”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ แล้วก็มองประเมินแก้วกระเบื้องต่ออีกครั้ง กลอนบทนั้นเข้ากับบรรยากาศอย่างมาก เนื้อหาดีเยี่ยม เขาจึงยิ้มรับ

เด็กชายผมขาวถามว่า “ตู้ซานอิน ใต้เท้าสิงกวานได้กำชับเจ้าหรือไม่ว่า ในอนาคตหากฝึกเวทกระบี่สำเร็จแล้วมีโอกาสไปท่องเที่ยวใต้หล้าไพศาล จะต้องสังหารโจรเด็ดบุปผาบนภูเขาให้หมดสิ้น? เขาจะมอบสมบัติหนักตระกูลเซียนมากมายที่แม้แต่จะคิดเจ้าก็ยังไม่กล้าคิดให้เจ้าในรวดเดียวเลยหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่นตำราเทพเซียนที่เขียนแค่สองคำว่าเทพเซียนไว้โดยเฉพาะ? เพียงแต่ว่าส่วนลึกในใจของเจ้ากลับเสียดายสตรีสองคนนั้น เสียดายที่เขาไม่ได้มอบพวกนางให้เจ้าด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นความไม่เพียงพอในความสมบูรณ์แบบ?”

“ไม่เป็นไร ท่านปู่อิ่นกวานของข้าไม่มีความคิดอะไรกับพวกนางพอดี ข้าจะช่วยเจ้าขอโชควาสนามาจากสิงกวานแล้วกัน ไม่ต้องขอบคุณข้า! เฮ้อ ช่างเถิด ข้าพูดแบบนี้ ความคิดที่เจ้ามีต่อพวกนางก็เบาบางลงแล้ว มักรู้สึกว่าพวกนางเป็นของที่ใต้เท้าอิ่นกวานทอดทิ้งเหมือนรองเท้าคู่เก่า ในใจของเจ้า พวกนางไม่มีมาดสง่างามของเทพเซียนอยู่เหมือนเดิมแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องต้อยต่ำกว่าท่านปู่อิ่นกวานของข้าหนึ่งขั้น ถูกหรือไม่? วางใจเถอะ นี่เป็นความรู้สึกปกติของคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องอับอาย ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา คิดอยากจะปีนขึ้นสู่ที่สูงก็ควรจะเป็นอย่างเจ้า เห็นอะไรก็ฉกฉวย ไม่ชอบก็โยนทิ้ง รังเกียจก็ทิ้งขว้าง รักชอบก็ช่วงชิงมา…”

ในใจของตู้ซานอินขนลุกขนชัน สีหน้ายิ่งเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ ทำได้เพียงเงียบงันเท่านั้น

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังไม่พูดอะไร

มอบโชควาสนาให้มากเกินไป ไม่ยอมพิจารณาว่าจะรับไว้ได้อยู่หรือไม่ คนที่ให้ไม่คิด คนที่รับก็ไม่คิดเช่นกัน

เพียงแต่พอเฉินผิงอันมาลองคิดดูอีกครั้ง ไม่แน่ว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาของตู้ซานอิน ใครบอกว่าความสูงต่ำในผลสำเร็จต้องดูแค่ที่ความคิดตื้นหรือลึกเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่อาเหลียงเองก็พูดถูก จะไปยุ่งทำไม จะไปสนทำไม ยุ่งได้หรือ สนได้หรือ

เด็กชายผมขาวรู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง ตนพร่ำพูดมานานขนาดนี้ สิงกวานในกระท่อมกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ เป็นนิมิตหมายที่ดี ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าสิงกวานผู้ไม่สนใจเรื่องใด เป็นคนสองประเภทที่แตกต่างจากท่านปู่อิ่นกวานอย่างสิ้นเชิง

เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชี้ไปยังโต๊ะหยกขาวตัวที่ตั้งอยู่นอกซุ้มองุ่น “ของดี น่าเสียดายที่ตำราเทพเซียนบนโต๊ะเล่มนั้นเป็นของตู้ซานอินไปแล้ว ในหนังสือฟูมฟักเจ้าตัวน้อยออกมาได้เป็นกอง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ปลามอดสามารถทัดเทียมได้ แต่ละตัวมีมูลค่าอย่างมาก”

เฉินผิงอันเดินออกจากซุ้มองุ่น มุ่งหน้าตรงไปที่โต๊ะหิน เอามือพลิกเปิดตำราอย่างไม่ใส่ใจ ในหนังสือล้วนเป็นสองคำว่าเทพเซียนที่รูปแบบตัวอักษรแตกต่างกันไป มีทั้งอักษรแบบหวัดและแบบบรรจง

เด็กชายผมขาวถามเบาๆ “ไม่บอกกล่าวตู้ซานอินสักคำก็เปิดตำรา ท่านปู่อิ่นกวาน นี่ไม่เหมือนนิสัยของท่านเลยนะ”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่เปิดตำรา ตามหาร่องรอยของปลามอดเหล่านั้น

ปลามอดที่อยู่ในหนังสือ ดูเหมือนว่าหลี่ไหวก็จะมีเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้กลายเป็นภูตแล้วหรือยัง

เด็กชายผมขาวพึมพำ “ใต้เท้าอิ่นกวานต้องไม่ถึงขั้นถือสาเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่งแน่นอน สรุปแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือว่าสภาพจิตใจเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว? หรือว่าจงใจจะข่มขู่ข้า หลอกเอากระบี่สั้นเล่มนั้นไปจากข้า?”

เฉินผิงอันพลิกเปิดหนังสือทั้งเล่มก็ยังไม่เจอ ‘เจ้าตัวเล็ก’ พวกนั้น จึงได้แต่ยอมเลิกราแต่โดยดี

บันทึกในตำราโบราณมีเรื่องเล่าของปลามอดกินตัวอักษรเทพเซียน

ปลามอดที่เข้าไปในตำรา กินอักษรเทพเซียนนานเข้า เรือนกายจะมีห้าสี หากคนกินเข้าไปจะเทียบเท่าเทพเซียน ต่อให้เป็นระดับขั้นต่ำสุดก็มีความคิดไหลพรั่งพรูดุจน้ำพุ ตวัดพู่กันเขียนบทความได้อย่างรื่นไหลดุจมีบุปผาผลิบาน

หนึ่งคือเรื่องเล่าที่นักประพันธ์พากันกล่าวขานถึง อีกหนึ่งกลับเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาเล่ากันไปปากต่อปาก

เพียงแต่ว่าอักษรเทพเซียนที่เอ่ยถึงนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของมัน รู้แค่ว่าร่างก่อนหน้าของปลามอดคือปลาปี้อวี๋ จะถือกำเนิดแค่ในตระกูลของบัณฑิตเท่านั้น ชอบซ่อนตัวอยู่ในกระบอกเก็บพู่กัน แท่นฝนหมึกหรือไม่ก็ในเงาของโคมไฟ กลับเป็นนักประพันธ์ล่างภูเขาที่พูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าขอแค่เป็นตำราราคาแพงที่เขียนสองคำว่า ‘เทพเซียน’ เมื่อนำมาตัดให้ละเอียดแล้วใส่ไปในขวด ก็จะมีปลาปี้อวี๋แฝงตัวเข้าไป กินเศษกระดาษเหล่านั้น มีหวังที่จะกลายเป็นปลามอด

เด็กชายผมขาวตบโต๊ะหยกขาวดังป้าบ “ให้หน้าแต่ไม่ยอมไว้หน้ากันอย่างนั้นหือ? เชื่อหรือไม่ว่าหากข้าผู้อาวุโสเขียนคำว่าเหล้าลงบนหนังสือ ตะพาบน้อยอย่างพวกเจ้าก็ต้องเมาเหล้าตายแล้ว!”

เฉินผิงอันเพ่งสายตาจ้องมองไปก็เห็นว่าระหว่างตัวอักษรคำว่า ‘เทพเซียน’ ในสองบรรทัดบนหนังสือบางหน้ามีเจ้าตัวน้อยขนาดใหญ่เท่าเล็บมือปรากฎตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ‘กระโดดข้ามกำแพง’ ออกมาจากหนังสือในหน้าที่แตกต่างกัน จากสูงลงต่ำ มานั่งคุกเข่าอย่างเซื่องซึมอยู่ระหว่างหน้าหนังสือ มองมายังเขากับเด็กชายผมขาวอย่างน่าสงสาร

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘รบกวนแล้ว’ แล้วจากนั้นก็ปิดหน้าหนังสือลงเบาๆ

เด็กชายผมขาวนั่งคุกเข่าอยู่บนม้านั่งหิน ยื่นมือมาปิดหนังสือ เอ่ยอธิบายว่า “หลังจากปลามอดกลายเป็นเซียน เรื่องที่น่าสนุกที่สุดก็คือบนหนังสือเขียนอะไร พวกมันก็สามารถกินสิ่งนั้น และยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นบทกลอนที่เขียนเกี่ยวข้องกับสุรา พวกมันก็สามารถเมามายเดินโซเซได้จริงๆ หากเอ่ยถึงสาวงามอายุน้อยขึ้นมาก่อน แล้วค่อยเขียนถ้อยคำที่แสดงความโศกศัลย์ของเด็กสาว รูปร่างของพวกมันก็จะกลายเป็นภาพของสตรีในห้องหอที่กำลังพร่ำบ่นได้จริงๆ เพียงแต่ว่าไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน เพียงไม่นานก็กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม”

เด็กชายผมขาวพลิกเปิดหน้าหนังสืออย่างไม่ใส่ใจ สาเหตุอาจเป็นเพราะตัวเขาเองหน้าใหญ่ ทุกหน้าที่เปิดพวกคนจิ๋วตัวน้อยก็จะพากันวิ่งตะบึงมาถึง

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “หากเขียนคำว่าฉี่ อึ และผายลมเล่า?”

พวกเด็กจิ๋วยืนอึ้งไร้คำพูด รู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ใต้หล้านี้มีคนที่สติวิปลาสแบบนี้ด้วยหรือ?

เด็กชายผมขาวยกนิ้วโป้ง พูดเสียงดังว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีความคิดบรรเจิด บนโลกนี้มีน้อยคนนัก! วันหน้าหากเจอบรรพจารย์ของสำนักประพันธ์ จะต้องพูดคุยกันถูกคอ เจ็บใจที่เจอกันช้าไปอย่างแน่นอน! วันหน้าติดตามท่านปู่อิ่นกวานไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จะต้องไปเยือนพื้นที่มงคลกระดาษขาวแห่งนั้นให้จงได้!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งหิน

เด็กชายผมขาวไม่สนใจจะดูหนังสือเล่มนั้นอีกแล้ว ชี้ไปยังลำธารที่แท้จริงแล้วเป็นน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด “นี่คือไฟในน้ำที่พบเห็นได้ยากยิ่ง เหมือนน้ำแต่แท้จริงแล้วกลับเป็นไฟ ท่านปู่อิ่นกวานสามารถเอามันมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุชิ้นสุดท้ายได้ เฉินชิงตูไม่ขี้เหนียว สิงกวานก็ยิ่งใจกว้าง ข้าสามารถช่วยย้ายไปไว้ที่ศาลาได้”

เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “มาเองโดยไม่ได้รับเชิญก็ถือว่าเป็นแขกที่ไม่ดีแล้ว”

พอเฉินผิงอันจากไป เด็กชายผมขาวก็ได้แต่เดินตามไป

อยู่กับตู้ซานอินผู้นั้นจะมีความหมายกะผายลมอะไร ไม่สู้ติดตามเฉินผิงอันยังดีกว่า มีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน

ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ไปเยี่ยมเยือน เผชิญหน้ากับกระท่อมแห่งนั้น ตอนที่อิ่นกวานหนุ่มมาเยือนไม่ได้คารวะทักทาย ตอนที่จากไปก็ไม่ได้เอ่ยลา

เด็กชายผมขาววิ่งตุปัดตุเป๋มาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “ท่านปู่อิ่นกวาน วันนี้ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากเดิม การเปิดและปิดห้องหัวใจเป็นไปตามใจปรารถนาอย่างแท้จริง มีตึงมีคลาย น่ายินดีด้วยจริงๆ”

ทั้งสองฝ่ายก้าวเดินกันต่อไป

เห็นได้ชัดว่าอิ่นกวานหนุ่มไม่ได้รีบร้อนอยากจะกลับคุก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดจะอาศัยลำธารสายนั้นมาทำให้ความปรารถนาเป็นจริง? เหตุใดต้องวกไปวนมาเช่นนี้ พูดมาตรงๆ ก็ได้แล้ว”

เด็กชายผมขาวถาม “พูดตรงๆ แล้วจะสำเร็จหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ย “แน่นอนว่าไม่”

มีมารยาท เคารพกฎเกณฑ์

เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรก็ดี เป็นเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ออกเดินทางไกลก็ช่าง ขอแค่เดินขึ้นเขาลงห้วยก็จะต้องทำเรื่องที่ควรทำอย่างการสานรองเท้าสาน เป็นคนที่ถือมีดผ่าฟืน

อิ่นกวานจัดการกิจธุระ เถ้าแก่รองขายเหล้า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถามหมัด ผู้ฝึกกระบี่เลี้ยงกระบี่ สถานะที่แตกต่าง ทำเรื่องที่แตกต่าง เอ่ยถ้อยคำที่แตกต่าง

สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว แน่นอนว่ายังคงเป็นคนคนเดียวกัน

เด็กชายผมขาวโอดครวญอย่างเศร้าใจ “ท่านปู่อิ่นกวานของข้าหนอ ไม่มีใครเขารังแกคนอื่นแบบนี้หรอกนะ”

จากนั้นเทวบุตรมารนอกโลกที่จำแลงร่างอยู่ในลักษณะของเด็กชายก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่ใช่คนเหมือนกัน”

เฉินผิงอันกล่าว “จะใช่คนหรือไม่ นอกเหนือจากเนื้อหนังมังสาแล้ว ยังต้องดูว่ามีหรือไม่มีจิตใจของคนมากกว่ากัน”

เด็กชายผมขาวพ่นเสียงออกจากจมูก “คนคนหนึ่ง มีจิตใจเป็นผี ก็ยังเป็นคนอยู่ดีไม่ใช่หรือ”

เฉินผิงอันกล่าว “จิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ก็ยังเป็นคนเหมือนกัน”

เดินมาถึงจุดที่มีโครงกระดูกของปีศาจใหญ่บรรพกาลตนหนึ่งวางพาดไว้เหมือนขุนเขา

“เจ้าไปได้!”

เฉินผิงอันพลันกระทืบเท้าออกไปหนักๆ ปล่อยหมัดออกไป โครงกระดูกที่เน่าเปื่อยผุกร่อนไม่อาจเรียกว่าแข็งแกร่งทนทานได้นานแล้ว เป็นเหตุให้พอถูกหมัดหนึ่งต่อยก็ทำให้เกิดเส้นทาง ‘หุบเขา’ ขึ้นเส้นหนึ่ง

เด็กชายผมขาวปรบมือชอบใจ

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเทวบุตรมารนอกโลกที่มองดูเหมือนซุกซนเกเร แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เรื่องราวอันเศร้ารันทดของปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นไม่มีความแปลกใหม่อะไรเลย หากเอามาเขียนเป็นหนังสือขายแลกเงินก็ยากที่จะหาเงินมาได้”

เดินทางท่องไปทั่วทิศ เคยพบเจอเซียนจิ้งจอกตีระฆัง เจอผีสาวมาเคาะประตู คนหนึ่งน่ารำคาญ อีกคนหนึ่งน่าหวาดกลัว

แล้วก็เคยเห็นนกกระจอกที่เกาะกิ่งไม้ฟังภาษาธรรม ผีแก่สวมชุดกันฝนขี่จิ้งจอก ร้องเพลง ‘ล้อมภูเขา’

เด็กชายผมขาวร้องอ้อหนึ่งที “ไม่เป็นไร ข้าจะลองเปลี่ยนแปลงดูอีกครั้ง”

จากนั้นก็แสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “ลืมไปเลยว่าจุดจบของนางก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่เหมือนกัน”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้าเดารากฐานของพวกเจ้าออกแล้ว”

แหงนหน้ามองไป เหมือนกำลังมองป๋ายอวี้จิงที่อยู่ในอีกใต้หล้าแห่งนั้น

เด็กชายผมขาวถอนหายใจ “บวกกับวัตถุพิทักษ์แคว้นของแดนพุทธภูมิ ก็จะถือว่าเป็นหนึ่งลมปราณจำแลงสามวิสุทธิ์ในอีกรูปแบบหนึ่งหรือไม่?”

เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนหัวข้อพูดแล้ว เขายิ้มเอ่ยกับตัวเองว่า “ปัญญาชนตกอับก็หนีไม่พ้นทำเรื่องสามเรื่องอย่างการเป็นกุนซืออยู่เบื้องหลัง สอนหนังสือและขายหนังสือ”

เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้เล่าเรื่องแห่งขุนเขาสายน้ำอยู่ท้ายตรอกหัวถนนแห่งนั้น ขายตราประทับ พัดพับ ทำครบทั้งสามเรื่องแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้เงินมา

เด็กชายผมขาวทำท่ากะปลกกะเปลี้ยไม่สดชื่น

เฉินผิงอันพลันทะยานร่างขึ้นสูง ชุดเขียวพุ่งตรงเข้าสู่ชั้นเมฆ จากนั้นก็ทะยานลมท่องทะเลเมฆ ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดดังพึ่บพั่บ

อันที่จริงทุกวันนี้นอกจากขี่กระบี่แล้วเขาก็พอจะทะยานลมได้อย่างถูไถ เพียงแต่ว่าได้แค่อาศัยปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งมาประคับประคอง อีกทั้งยังเผาผลาญไปเร็วมาก

เขาเรียกชูอี สืออู่ ซงเจินและไฮเหลยกระบี่บินสี่เล่มออกมา ให้พวกมันไปลอยตัวกันคนละจุด

บนทะเลเมฆ ร่างของเขาพลันกระโดดผลุงขึ้น ทุกครั้งจะเหยียบลงบนกระบี่บินพอดี แล้วก็ล่องลอยไปทั่วด้านทั้งอย่างนี้

เด็กชายผมขาวที่ดูอยู่ถึงกับอ้าปากหาว

เฉินผิงอันเก็บกระบี่บินทั้งสี่เล่ม แล้วเอนตัวหงายมาด้านหลัง ทิ้งตัวดิ่งลงไปยังพื้นดิน

ยังคงมีอารมณ์ผ่อนคลาย จึงชำเลืองตามองลำธารเส้นเล็กที่อยู่ห่างไกลเส้นนั้น

น้ำอยู่บนฟ้า? ฟ้าอยู่ในน้ำ?

แล้วเฉินผิงอันก็ใช้หัวโหม่งลงพื้นดินทั้งอย่างนั้น

เด็กชายผมขาวที่อยู่บนทะเลเมฆจิตขยับไหวเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจ พลันเงยหน้าขึ้น สัมผัสได้เพียงฟ้าดินที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

ครู่หนึ่งต่อมาเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ก็ลุกขึ้นยืน พลังอำนาจทั่วร่างพลันแปรเปลี่ยน พอได้รับ ‘คำสั่ง’ มาจากเฉินชิงตู ในที่สุดก็เผยภาพบรรยากาศที่เทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งสมควรมีออกมา

กอบน้ำวักหนึ่งขึ้นมาจากกลางทะเลเมฆ โบกชายแขนเสื้อหอบก้อนเมฆไปกระแทกม่านฟ้า แล้วก็มีดวงจันทร์ดวงหนึ่งลอยกลางอากาศ เป็นเหตุให้แสงจันทร์สะท้อนลงน้ำที่อยู่ในมือ

ใช้ฝ่ามือตบดวงจันทร์ในน้ำให้แหลกละเอียด

ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ร่างของเด็กชายผมขาวหายไปแล้ว

พริบตานั้นทะเลเมฆก็กลิ้งตลบหลุนๆ จากนั้นก็เหมือนถูกคนใช้มือปั่นคว้านให้เกิดรูขนาดใหญ่ยักษ์ พอจะมองเห็นร่างเซียนบนทะเลเมฆได้อย่างพร่าเลือน เขากำลังหลุบตาลงต่ำมองพื้นดิน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่เจียมตัวเอง ให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไหมล่ะ?”

จากนั้นก็มียักษ์ร่างทองยื่นหมัดออกมาช้าๆ แล้วหลุดหัวเราะพรืด “กล้ารับหมัดนี้ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนพื้นนานแล้วแหงนหน้ามองไป

เขาถ่มน้ำลายลงพื้นแรงๆ ม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น แต่กลับลูบให้เรียบอีกครั้ง

คนหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งออกมาจากช่องโพรงลมปราณ พอมายืนเคียงบ่าคนชุดเขียวก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “อยู่ในกรงขังมานาน ไม่สาแก่ใจเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันพูดพร้อมอมยิ้มบางๆ “พูดจาภาษาคน”

ชายแขนเสื้อใหญ่ของจิตหยินชุดขาวโบกสะบัด มีอิสระเสรีอย่างยิ่ง สายตาฉายประกายเร่าร้อน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ช่างมารดามันเถอะ! ให้พวกเขามาโขกหัวให้ข้าผู้อาวุโส!”

ดีมาก

แบบนี้สิถูกต้องแล้ว

ไม่เสียแรงที่เป็นข้าเฉินผิงอัน!

พื้นดินพลันสั่นสะเทือนรุนแรง

คนชุดเขียวผู้หนึ่งตรงไปที่ทะเลเมฆ

ผู้ฝึกยุทธใช้หมัดถามฟ้า

จากนั้นจิตหยินชุดขาวก็พุ่งร่างทะยานตามขึ้นไป พื้นดินล้วนเป็นฟ้าดินของข้า กระบี่บินนับไม่ถ้วนพากันมุ่งไปยังทะเลเมฆ

ผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่แก่เซียนบนท้องฟ้า

……

ทางเหนือของนครกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ล้วนมีโชคชะตาบู๊เป็นเส้นๆ ไหลทะลักมารวมกันมืดฟ้ามัวดิน ราวกับกำลังตามหาคนที่หมัดอยู่บนฟากฟ้าซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน