หน้าของราชันเกราะทองบิดเบี้ยวเกรี้ยวกราดเพราะความเจ็บปวดรุนแรง เขาพยายามขัดขืน แต่ร่างกลับถูกอานุภาพกดดันของหลินสวินกดทับไว้อย่างแน่นหนา
สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจโดยสิ้นเชิง ครั้งนี้เจอเข้ากับพวกของแข็งแล้ว!
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้”
เสียงของเขาแหบพร่า บนหน้าเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นและสงสัย
“เจ้าไม่ได้ลั่นวาจาว่าจะรับข้าเป็นข้ารับใช้หรอกหรือ ทำไมพอข้าอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้ากลับจำไม่ได้เสียแล้วล่ะ”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ
“เป็นเจ้า หลินสวิน!”
ราชันเกราะทองแข็งทื่อไปทั้งตัว เบิกตากว้าง มีอาการไม่อยากเชื่อ
ก่อนหน้านี้ตอนที่รู้ว่าในนครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิมีชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่าหลินสวิน เคยเหยียบย่ำทำลายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสองตระกูลใหญ่ ราชันเกราะทองก็รู้สึกแปลกใจยิ่ง แต่มีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้อื่นเสียมากกว่า
ศึกภายในของเผ่ามนุษย์ เอื้อประโยชน์ต่อขุมอำนาจสัตว์อสูรมารอย่างพวกเขา
แต่เขากลับคิดไม่ถึง คนหนุ่มเช่นนี้จะปรากฏตัวอยู่ในถิ่นของเขาได้ หนำซ้ำ… ความแข็งแกร่งยังน่ากลัวถึงเพียงนี้
ควรรู้ว่าเขาเป็นถึงราชันอสูรมารอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดเชียว!
แต่ยามนี้แม้แต่อานุภาพกดข่มของหลินสวินยังต้านไม่ได้ ถูกบีบให้คุกเข่าลงตรงๆ สิ่งนี้มีหรือจะไม่ทำให้ราชันเกราะทองตกใจ
จักรวรรดิมีพวกร้ายกาจเช่นนี้โผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แถมยังอายุน้อยเช่นนี้อีก
“ตอบคำถามข้ามาสักสองสามข้อ ข้าสามารถทำให้เจ้าได้ตายสบายขึ้นมาหน่อย”
แววตาหลินสวินเย็นเยียบลุ่มลึก
“น่าขัน ถ้าอยู่โลกภายนอก บางทีข้ายังอาจลังเล แต่อยู่ที่นี่…”
ขณะราชันเกราะทองพูดก็ร้องเสียงดังลั่นขึ้นมา “ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมาร ท่านโปรดลงมือ สังหารเจ้าเดรัจฉานนี่ด้วยเถิด!”
ตูม!
ก็เห็นห้วงกระแสน้ำวนกลางอากาศมีมือใหญ่ข้างหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของแสงสีเลือดโฉบออกมา พุ่งแผ่ครอบมาทางหลินสวิน
มือใหญ่นั้นแสงเลือดไหลเวียน แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายที่น่าสะพรึงหาใดเปรียบ ประหนึ่งมือมารที่พุ่งออกมาจากนรก
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง เงาร่างถอยหลังไป
กลิ่นอายของมือใหญ่สีเลือดสายนั้นแปลกประหลาดอย่างที่สุด ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายร้ายแรง อย่างน้อยก็ต้องมีอานุภาพแข็งแกร่งระดับอริยะขึ้นไปจึงจะสามารถสำแดงการโจมตีนี้ได้
ปึง!
เหนือความคาดหมายของหลินสวิน ตอนที่มือใหญ่สีเลือดนั้นมาถึงกลางทาง จู่ๆ ก็เปลี่ยนทิศกะทันหัน ตบเข้าที่ร่างราชันเกราะทองซึ่งคุกเข่าหมอบบนพื้นอย่างรุนแรง
เพียงชั่วพริบตาร่างของเขาก็ถูกตบแบนราบ กลายเป็นบ่อเลือด
“ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมารท่าน…”
เสียงราชันเกราะทองเจือแววผิดหวัง ไม่อยากเชื่อ ยังไม่ทันสิ้นเสียง ทั้งกายและวิญญาณต่างก็มอดดับ
หลินสวินเห็นเช่นนี้ในใจก็เย็นวูบ
วู้ม!
โดยไม่ลังเล ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามถูกเขากุมไว้ในมือ พลังขับเคลื่อนทั่วร่างกู่ก้อง กลิ่นอายทั้งตัวห้อทะยานถึงสู่ระดับสูงสุดในพริบตา
ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารสังหารอริยะเทียมเผ่าอีกาทองสองคน ยามนี้ก็ต้องดูว่าจะสามารถต้านทาน ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ ที่แปลกประหลาดนี้ได้หรือไม่
“น่าสนใจ ถึงกับให้ข้าได้เจอกับราชันที่เหยียบย่างมกุฎมรรคาคนหนึ่งบนโลกนี้เชียว”
ส่วนลึกของวังน้ำวนนั้น เสียงเย็นเยียบและขึงขังสายหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าเป็นใคร”
หลินสวินขมวดคิ้ว
“สถานะของข้า เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะล่วงรู้ เดิมทีข้าตั้งใจจะกำจัดเจ้าเสีย แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
เสียงที่เย็นเยียบนั้นอื้ออึงกึกก้อง “ให้โอกาสเจ้าสักหน โขกหัวสาบานว่าจะรับใช้ข้า รอถึงยามที่ข้าออกด่าน จะมอบพลังระดับมกุฎอริยะให้เจ้าเอง!”
หลินสวินหลุดขำพรืดออกมา กล่าวว่า “ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าสักหน ไสหัวออกมาคุกเข่าร้องขอชีวิต ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างสมเกียรติอยู่บ้าง”
ขณะพูดสายธนูสีแดงฉานปานเลือดของธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกง้างเต็มเหนี่ยว ส่งเสียงร้องครวญสะเทือนห้วงอากาศ
เสียงนั้นเงียบกริบลงทันควัน บรรยากาศก็พลอยเปลี่ยนเป็นตึงเครียดหาใดเปรียบด้วย
สถานการณ์ตึงเครียด!
หลินสวินรับรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าส่วนลึกของวังน้ำวนนั้นมีพลังประหลาดที่น่าสะพรึงสะท้านโลกกำลังรวมตัวกันอยู่ ทำให้คนขนพองสยองเกล้า
“สมกับเป็นบุคคลที่เหยียบย่างมกุฎมรรคา ความกล้าหาญนี้ทำให้ข้ายังอดชื่นชมไม่ได้ หากเจ้าถวายชีวิตให้ข้า ไม่แน่ข้าอาจฉีกกฎ รับเจ้าเป็นศิษย์เบื้องท้าย ถ่ายทอดมรรคาสูงสุดแห่งการบรรลุอริยะกลายเป็นบรรพจารย์ให้แก่เจ้า!”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เจือแววชื่นชม
หลินสวินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้ามีศักยภาพมากมายเช่นนี้ เหตุใดกลับไม่กล้าแสดงตัวเรื่อยมา หรือว่าเพราะถูกจองจำไว้ที่ใดสักแห่ง”
เหนือความคาดหมายของหลินสวิน เสียงนั้นกล่าวเรียบเฉย “เจ้าฉลาดยิ่ง ข้าเองก็ไม่คิดปิดบัง แต่เจ้ากลับไม่รู้เลย ต่อให้ตอนนี้จะยังไม่อาจหลุดพ้น ภายในสิบปีข้าจะต้องทำลาย ‘โซ่มรรคกักจิต’ นี่แล้วปรากฏตัวสู่โลกอีกครั้ง!”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อไปว่า “ข้าอยากรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดโลกนี้ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ และเหตุใดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ถึงไม่เคยมีอริยะปรากฏตัวขึ้นหยุดยั้งภัยพิบัติที่หอบม้วนโลกหล้าครานี้เลย”
เสียงนั้นเจือพลังมอมเมาจิต “ง่ายดายยิ่ง พวกเขาต่างยากจะปกป้องตัวเองได้ ต้องไปสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งเพื่อสลายพิบัติเคราะห์ และลำพังอาศัยแค่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันในโลกพวกนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทานการลุกลามของภัยพิบัติครั้งนี้!”
เปลือกตาหลินสวินกระตุก นึกถึงจักรพรรดิและจักรพรรดินีที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และนึกถึงคนอื่นๆ อย่างราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหล เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต…
สิบกว่าปีแล้วที่ในจักรวรรดิเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่จากสัตว์อสูรมาร พวกเขากลับไม่เคยปรากฏตัว หรือว่าจะไปยังสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งอย่างที่ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ ว่ามาจริงๆ
เช่นนั้นเป็นพิบัติเคราะห์แบบไหนกันถึงทำให้พวกเขายากปกป้องตัวเอง
“เรื่องพวกนี้ต่อให้ข้าไม่พูด จากศักยภาพของเจ้าย่อมต้องสืบข่าวรู้ได้อยู่แล้ว ข้าถึงขั้นบอกเจ้าได้เลยว่า ภายใต้ฟ้าดินแปรผันฉับพลันครั้งนี้ สภาพการณ์ที่เคยมีอยู่ถูกกำหนดให้ต้องถูกทำลาย และวันที่ข้าปลดเปลื้องพันธนาการ ทุกชีวิตในโลกนี้ล้วนต้องก้มกราบแทบเท้าข้า!”
เสียงเย็นเยียบเคร่งขรึมสายนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหนุ่ม หากเจ้ายอมสวามิภักดิ์ ถวายชีวิตแก่ข้าเสียแต่ตอนนี้ ลูกกลอนอมตะย้อนชะตาในมือเจ้าก็ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบแก่เจ้า นอกจากนี้ยังจะมอบผลประโยชน์มากมายนับไม่ถ้วนให้แก่เจ้าในภายภาคหน้าอีกด้วย”
จากนั้นเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและต่ำลึกเฉียบพลัน “แต่หากเจ้าปฏิเสธอย่างไม่รู้จักดีชั่ว ข้ารับรองว่า…”
ไม่รอให้พูดจบก็ถูกหลินสวินตัดบท “เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าพูดเหลวไหลมากเกินไปหน่อยหรือ”
“เจ้าว่า… อะไรนะ”
เสียงนั้นคล้ายไม่อยากเชื่อ หรือกล่าวได้ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าพูดขนาดนี้แล้ว หลินสวินยังจะกล้าปฏิเสธเขาเช่นนี้อีก
ถึงขั้นที่กิริยาท่าทางยังไม่เกรงใจเช่นนี้ด้วย!
ควรรู้ว่าจากสถานะของเขา ในปีนั้นต่อให้เป็นอริยะ ในสายตาของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับบริวารข้ารับใช้กลุ่มหนึ่ง
แต่ยามนี้กลับถูกคนรุ่นเยาว์คนหนึ่งตัดบทเช่นนี้ นี่ทำให้เขาออกจะ… ผิดคาดอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ และเดือดดาลเพราะเหตุนี้ด้วย!
“ข้าบอกว่าเจ้าพูดเหลวไหลมากเกินไปแล้ว”
หลินสวินเอ่ยง่ายๆ “หากเจ้ามีปัญญา ต่อให้ไม่พูดก็คงสยบข้าได้ตั้งแต่จังหวะแรกแล้ว น่าเสียดายเจ้าดันไม่ได้ทำแบบนั้น นี่ก็พิสูจน์ได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”
พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาสีดำของเขาเย็นเยียบลุ่มลึก จับจ้องส่วนลึกของวังน้ำวนกลางห้วงอากาศนั้นและกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าไม่มีปัญญาโจมตีสังหารข้าด้วยซ้ำ!”
เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นอึมครึมหาใดเปรียบทันที “เจ้าพูดถูก แต่ภายในสิบปี ยามที่ข้าหลุดพ้นการจองจำ เจ้าคิดว่ายังจะเป็นเช่นนี้อยู่อีกหรือ”
ริมฝีปากหลินสวินเหยียดหยัน “หลุดพ้นการจองจำ? อาศัยแค่ศักยภาพของตัวเจ้าเองคงไม่สามารถหลุดพ้นได้ภายในสิบปีแน่ เจ้าต้องการ ‘ของเซ่นไหว้’ มาบำรุงกำลัง ต้องมีคนช่วยเจ้ารวบรวม ‘ของเซ่นไหว้’ ราชันเกราะทองนั่นก็น่าจะเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ที่ถวายชีวิตให้เจ้ากระมัง”
“หากข้าเดาไม่ผิด ราชันอสูรมารมากมายที่ปรากฏตัวในอาณาเขตจักรวรรดิอาจเป็นข้ารับใช้ของเจ้าทั้งหมด และเพราะมีราชันอสูรมารพวกนี้ถวายชีวิตรับใช้เจ้า รวบรวม ‘ของเซ่นไหว้’ ให้เจ้า ถึงทำให้เจ้าคิดว่าจะสามารถหลุดพ้นการจองจำได้ภายในสิบปีกระมัง”
เสียงนั้นเงียบกริบ ไม่เปล่งวาจาเนิ่นนาน
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินไม่คิดจะเลิกราเพียงเท่านี้ กล่าวต่อไปว่า “เจ้าว่า หากข้ารวบหัวรวบหางข้ารับใช้พวกนั้นของเจ้าในคราวเดียว ภายในสิบปี เจ้า… ยังจะหลุดพ้นการจองจำได้หรือไม่”
“น่าขัน!”
ทันใดนั้นเสียงนั้นก็ดังก้องขึ้น เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเย็นเยียบน่ากลัวหาใดเปรียบ “อาศัยแค่แมลงตัวจ้อยอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”
“เจ้าไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นก็ลองดู”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ
“เจ้าหนุ่ม…”
เสียงนั้นดังก้องขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ไม่รอให้พูดจบหลินสวินก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ผึง!
ธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่ง้างเต็มเหนี่ยวตั้งแต่ต้นยิงออกไปในชั่วพริบตา ทันใดนั้นพายุอสนีปั่นป่วน ศรวิญญาณไร้รูปสายหนึ่งพุ่งยิงออกไป
ตูม!
บึงเลือดเวิ้งว้างกกลางห้วงอากาศแตกระเบิดทันควัน ถูกโจมตีจนแหลกลาญ
และเวลานี้เอง วังน้ำวนที่ลอยอยู่เหนือบึงเลือดเริ่มก็โคลงเคลงรุนแรงขึ้นมาทันที เริ่มปริแตกพังครืนทีละส่วน
“เจ้า… ถึงกับกล้าทำลายแท่นบูชาของข้า…!”
เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นร้อนรน เดือดาล เปี่ยมด้วยความเคียดแค้นขุ่นเคืองไร้สิ้นสุดอย่างสิ้นเชิง กล่าวเน้นทีละคำ “รอให้ถึงคราวข้าหลุดพ้นการจองจำ จะต้องทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่สามารถอย่างแน่นอน!!”
ครืน!
ยามที่เสียงนั้นสิ้นสุด กระแสน้ำวนที่ลอยตัวกลางห้วงอากาศก็พังครืนทรุดฮวบ อันตรธานหายไปอย่างสิ้นเชิง
“แม้จะเป็นบรรพจารย์อสูรมารที่ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ ก็ยังเป็นบรรพจารย์อสูรมารที่ถูกจองจำคนหนึ่ง ซ้ำยังเพ้อเจ้อเช่นนี้ เกรงว่าคนอื่นคงไม่รู้ว่าเขาไม่อาจปลดพันธการ… ดูท่าคงเพราะถูกจองจำนานเกินไป ถึงยังคิดว่าตัวเองทำได้ทุกอย่างเหมือนในกาลก่อนอยู่กระมัง”
สีหน้าหลินสวินเจือแววเหยียดหยัน
เปลี่ยนเป็นคนอื่น จะต้องสะทกสะท้านเพราะคำพูดของบรรพจารย์อสูรมารแน่
แต่ไม่ใช่เขา
ตั้งแต่แรกเขาก็มองออกแล้วว่า ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ ที่ว่านี้ไม่สามารถปลดเปลื้องพันธนาการได้สักนิด บทสนทนาต่อจากนั้นก็ได้พิสูจน์จุดนี้แล้วด้วย
‘บรรพจารย์อสูรมาร’ ที่ไม่สามารถหลุดพ้นการจองจำได้ อาจทำให้คนอื่นกริ่งเกรง แต่หากอยากให้หลินสวินศิโรราบทั้งอย่างนี้ นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าขัน
“ที่แท้ก็เป็นนิ่มตัวหนึ่งนี่เอง…”
หลินสวินเหลือบมองปราดหนึ่ง ก็เห็นราชันเกราะทองที่ถูกตบตายคาพื้นเผยร่างเดิมออกมา ถึงกับเป็นตัวนิ่มสีทองความยาวหลายสิบจั้ง ร่างใหญ่เท่าเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง
เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งแล้วเก็บร่างอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนหมุนตัวออกจากที่แห่งนี้
วู้ม!
เชิงเขาวิญญาณหยิน เงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากแท่นบูชาโบราณแห่งนั้น
เขาหมุนตัวทอดมองแท่นบูชานี้ หัวคิ้วขมวดมุ่น ภายในจักรวรรดิตอนนี้มีราชันอสูรมารมากมายซุ่มซ่อนอยู่ ราชันเกราะทองเป็นเพียงหนึ่งในนั้น
หากต้องการยับยั้งไม่ให้ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ นั่นหลุดพ้นการจองจำ ก็ต้องกำจัดราชันอสูรมารพวกนี้ให้หมดภายในระยะเวลาอันสั้นที่สุด!
หาไม่ภายใต้การช่วยเหลือของราชันอสูรมารพวกนี้ ก็จะมีการรวบรวมของเซ่นไหว้เพื่อให้ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ นั่นเสริมพลังได้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเร่งให้เขาหลุดพ้นการจองจำได้มากขึ้น…
“ใครจะไปคิดว่าจุดประสงค์ที่ราชันอสูรมารพวกนี้ก่อหายนะ เผาชิงปล้นฆ่า ก็แค่เพื่อให้ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ ที่ถูกจองจำนี้หลุดพ้นออกมา”
เมื่อหลินสวินนึกถึง ‘ของเซ่นไหว้’ พวกนั้น ในใจก็มีไอสังหารที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นมา
ใช้ชีวิตและโลหิตสดๆ ของเด็กหญิงเด็กชายเผ่ามนุษย์ เป็นแหล่งที่มาของการฟื้นคืนพลังของ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ นี่ วิธีการฝึกปราณนองเลือดที่ชั่วช้าเลวทรามหาใดเปรียบนี้ ทำให้หลินสวินยังรู้สึกไม่ดีและรังเกียจอย่างที่สุด
ในวันนี้ หลินสวินคนเดียวเหยียบเขาวิญญาณหยินรังสัตว์อสูรมารจนพังพินาศ ล่วงรู้ความลับของ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ และหิ้วร่างราชันเกราะทองกลับมา
——