เมืองหมอกอำพราง
เรือรบขนาดกลางของจักรวรรดิส่งเสียงกึกก้อง ร่อนลงมาจากกลางอากาศ ประตูห้องโดยสารเปิดออก ทหารจักรวรรดิเรียงแถวกันออกมาราวกับกระแสน้ำ
เรือรบคล้ายแบบนี้มาถึงสามสิบลำในช่วงหนึ่งวันสั้นๆ นำทัพใหญ่ผู้ฝึกปราณชั้นยอดที่มีจำนวนหนึ่งแสนคนมาสู่เมืองหมอกอำพราง
ภายในเมือง บนท้องถนนวังเวงที่เดิมทีว่างเปล่าไร้ผู้คนก็ปรากฏประชาชนจักรวรรดิมากมายขึ้นในวันนี้ สีหน้าแต่ละคนล้วนแต้มแววปลาบปลื้มและมีหวัง
“ท่านแม่ ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องจากไปแล้วใช่หรือไม่”
เด็กหญิงคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นถาม
“เด็กโง่ นี่คือบ้านของพวกเรา หากไม่ใช่เพราะประสบภัยพิบัติอสูรมาร ใครจะอยากหันหลังให้บ้านเกิด”
หญิงนางนั้นเอ่ยปากเสียงนุ่ม
“หันหลังให้บ้านเกิดคืออะไรหรือ”
“เจ้าไม่เข้าใจหรือ อืม… แม่หวังว่าจากนี้ไปเจ้าก็จะไม่เข้าใจด้วย รสชาติมันช่างขมขื่นเหลือนเกิน…”
ยามที่สองแม่ลูกพูดคุยกัน นอกเมืองหมอกอำพรางแห่งนี้ยังมีเงาร่างนับไม่ถ้วนกำลังย้อนกลับคืนมาจากสี่ทิศแปดทาง
ก่อนหน้านี้เมืองหมอกอำพรางถูกสัตว์อสูรมารซุ่มโจมตี ทำให้ผู้คนหันหลังให้บ้านเกิด หนีหัวซุกหัวซุน
แต่ยามนี้พวกเขาต่างรู้ข่าวว่าสัตว์อสูรมารแพ้ราบคาบ เมืองหมอกอำพรางปลอดภัยไร้อันตราย ก็เลือกจะกลับคืนมาโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
เพราะว่าที่นี่คือบ้านของพวกเขา!
บนหอกำแพงเมือง แสงยามโพล้เพล้ดั่งเปลวเพลิง ซ่งจวินกุยทอดสายตามองไปไกลๆ มองดูทหารจักรวรรดิซึ่งเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวปรากฏตัวตามต้นถนนท้ายซอย รักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง
ทอดมองประชาชนหอบครอบครัวย้อนกลับคืนมาในเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ มองดูแววแห่งความหวัง ตื้นตัน และปลาบปลื้มที่ฉายบนใบหน้าของพวกเขา
ซ่งจวินกุยแสบแปลบที่ปลายจมูกอย่างบอกไม่ถูก
เมือง รักษาไว้ได้แล้ว!
ผู้คน แน่นอนว่าย่อมมีความหวังและโอกาส!
พอนึกถึงเมื่อวันก่อนเมืองหมอกอำพรางยังส่อแววล่มจม ถูกทัพใหญ่สัตว์อสูรมารยึดครอง ในใจซ่งจวินกุยก็ปั่นป่วนขึ้นมา
“คุณชายหลิน… ช่างเป็นผู้เลิศล้ำจริงๆ!”
ซ่งจวินกุยทอดถอนใจ
ทุกคนแถวนั้นล้วนสบสายตากัน และพากันแย้มรอยยิ้ม
หากพวกเขานับไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่เก้าแล้วที่ใต้เท้าผู้บังคับการซ่งจวินกุยทอดถอนใจเช่นนี้
ทันใดนั้นซ่งจวินกุยสูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ชี้ไปยังจุดกึ่งกลางเมือง กล่าวว่า “ข้าจะสร้างรูปปั้นให้คุณชายหลินในเมืองนี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้โดยทั่วกัน หากไม่มีคุณชายหลิน ก็จะไม่มีเมืองหมอกอำพรางแห่งนี้!”
ในใจทุกคนต่างสะท้านสะเทือน
สร้างรูปปั้น นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่แฝงนัยไม่ธรรมดาเรื่องหนึ่ง
“พวกเจ้ามีความเห็นอะไรหรือไม่”
ซ่งจวินกุยกวาดสายตามองทุกคน ทุกคนต่างส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
ซ่งจวินกุยตัดสินใจเด็ดขาด
……
ในเวลานี้เอง เงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิงและลูกหลานตระกูลหลินสิบคนย้อนกลับมาจากนอกเมืองไกลๆ ภายใต้แสงรำไรยามสายัณห์ พวกเขาทุกคนล้วนเสื้อผ้าเปื้อนเลือด สภาพสะบักสะบอมอย่างที่สุด
“หลินซิง เมื่อถึงคราวต้องสังหารจริงๆ จำไว้ว่าห้ามใช้อารมณ์ด่วนตัดสินเด็ดขาด!”
“หลินเยียนอวิ๋น เจ้าต้องเคี่ยวกรำฝีมือต่อสู้อีกหน่อย การสังหารนองเลือดอย่างแท้จริงไม่ได้มีเวลาให้เจ้าคิดลังเล”
“หลินตู้ ในการต่อสู้เมื่อครู่เจ้าทำได้ไม่เลว รอกลับไปแล้วข้าจะให้รางวัลส่วนหนึ่งแก่เจ้า”
ระหว่างทาง หลินเสวี่ยเฟิงกำลังวิจารณ์ผลงานรายบุคคลในวันนี้ของทุกคน
พวกหลินซิงต่างรับฟังเงียบๆ
“คืนนี้พวกเจ้าเขียนใจความและประสบการณ์ต่อสู้คนละฉบับ”
หลินเสวี่ยเฟิงเอ่ยสั่งการ
“ขอรับ”
ทุกคนพยักหน้า
เห็นทุกคนไม่ได้มีแววท้อถอยและสิ้นหวัง หลินเสวี่ยเฟิงก็อดยิ้มบางๆ ไม่ได้
วันนี้เขานำคณะมุ่งหน้าไปยังชานเมือง จู่โจมสังหารสัตว์อสูรมารที่เหลือรอดหนีตาย เดิมทีเขายังค่อนข้างเป็นห่วงว่าพวกหลินซิงจะไม่ได้เรื่องอยู่บ้าง
ใครเลยจะคิด พอได้ห้ำหั่นฆ่าฟันมาหนึ่งวันลูกหลานพวกนี้ได้เผยความหนักแน่นและมุ่งมั่น ทำให้หลินเสวี่ยเฟิงยังรู้สึกทึ่งไม่หาย
แต่เพราะน้อยนักจะได้พบเจอการเข่นฆ่านองเลือดอย่างแท้จริง ในการต่อสู้ลูกหลานพวกนี้ก็ยังเผยจุดบกพร่องไม่น้อยออกมา
แต่หลินเสวี่ยเฟิงรู้ว่าขอเพียงพวกหลินซิงยังคงเคี่ยวกรำการต่อสู้ไม่หยุด ข้อบกพร่องเหล่านี้ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งตามมา!
‘ต่างได้รับพลังมรดกบรรพกาลที่ตกทอดมาจากผู้นำตระกูลกันแล้ว หากยังไม่สามารถผงาดสู่บุคคลชั้นยอดอย่างแท้จริงได้อีก พวกเจ้าก็หักหลังเลือดเนื้อของผู้นำตระกูลแล้ว…’
หลินเสวี่ยเฟิงลอบกล่าวในใจ
พวกหลินเสวี่ยเฟิงไม่รู้ตัวสักนิด เบื้องหลังขบวนของพวกเขามีเงาร่างที่คล้ายจะล่องหนคอยติดตามอยู่ตลอด
เป็นเสี่ยวอิ๋นนั่นเอง
เขาได้รับการไหว้วานจากหลินสวิน ในวันนี้ให้คอยคุ้มกันพวกหลินเสวี่ยเฟิงในเงามืดตลอดเวลา
‘คุ้มกันเด็กกลุ่มหนึ่งนี่ช่างน่าเบื่อซะจริง’
เสี่ยวอิ๋นหาวหวอดอย่างไร้แรง จู่ๆ ก็เริ่มนึกถึงวันเวลาที่อยู่ในแดนมกุฎขึ้นมา
หืม?
และในเวลานี้เอง เสี่ยวอิ๋นเงยหน้าขึ้นขวับ มองไปทางเวิ้งฟ้าที่อยู่ไกลๆ
เงาทะมึนมหึมาหาใดเปรียบสายหนึ่งพุ่งจากเวิ้งฟ้าไกลๆ มาทางเมืองหมอกอำพราง ก็เหมือนเนินเขาที่เคลื่อนย้ายได้ลูกหนึ่ง
“นั่นคือ?”
บนหอกำแพงเมือง พวกซ่งจวินกุยก็หรี่ตาลงเช่นกัน
“ศพของสัตว์อสูรมารตัวหนึ่ง…”
มีคนสีหน้าเลื่อนลอย
ชั่วขณะนี้กลางเมืองหมอกอำพราง ทหารจักรวรรดิมากมายต่างถูกดึงดูดสายตาให้มองไปเช่นกัน และเริ่มตื่นตัวเฝ้าระวัง
“เป็นคุณชายหลิน!”
ซ่งจวินกุยโพล่งออกมาอย่างยินดี พอเริ่มใกล้เข้ามาเขาถึงเห็นถนัดตา บนร่างสัตว์อสูรมารขนาดใหญ่นั้นมีเงาร่างหล่อเหลาสูงโปร่งสายหนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ทั้งกาย ราวกับเทพจุติลงมาก็ไม่ปาน
เป็นหลินสวินนั่นเอง
“คุณชายหลิน?”
ทุกคนละแวกนั้นต่างก็ฮึกเหิม
“เขาก็คือคุณชายหลินที่ช่วยพวกเราสังหารทัพใหญ่สัตว์อสูรมาร ช่วยชีวิตคนทั้งเมืองด้วยตัวคนเดียวหรือ”
“เขานั่นแหละ!”
“ท่านแม่ พี่ชายท่านนั้นเป็นเทพเซียนบนฟ้าหรือ”
ในเมืองคลื่นเสียงจอแจดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลทหารจักรวรรดิหรือประชาชนคนทั่วไป ยามนี้ต่างมีสีหน้ากระตือรือร้น ปลื้มปริ่มยินดี เลื่อมใสศรัทธา
ในหนึ่งวันนี้ เพียงพอให้พวกเขาเข้าใจประสบการณ์ศึกใหญ่ครั้งนั้น และต่างรู้ถึงวีรกรรมที่หลินสวินคนเดียวสร้างขึ้น
และตอนนี้ เมื่อเห็นเขาเหยียบซากศพสัตว์มหึมาเคลื่อนขวางอากาศมาเยือน ก็สร้างความฮือฮาขึ้นทั่วเมืองในชั่วขณะ
ตูม!
ซากศพสัตว์มหึมาร่วงลงบนพื้นกว้าง เงาร่างหลินสวินโรยตัวแผ่วเบาลงบนหอกำแพงเมือง จากนั้นก็ได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากพวกซ่งจวินกุย
“อะไรนะ นั่นก็คือราชันเกราะทองหรือ”
เมื่อได้รู้ว่าซากศพสัตว์อสูรมารขนาดเท่าเนินเขานั้นถึงกับเป็นผู้นำสัตว์อสูรมารที่ตั้งฐานอยู่มณฑลซีหนาน พวกซ่งจวินกุยต่างพากันอึ้งค้าง สะท้านสะเทือนหาใดเปรียบ
นี่ยังไม่ถึงหนึ่งวันดีเลย ราชันเกราะทองก็ถูกสังหารแล้วหรือ
“ตัดหัวมันออกไปแขวนไว้บนหอกำแพงเมือง ทำให้พวกราชันอสูรมารในใต้หล้าได้เห็นว่านี่ก็คือจุดจบที่ล่วงเกินจักรวรรดิ”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ส่วนเลือดเนื้อของราชันเกราะทองนี่ คืนนี้ก็เอาไปทำอาหาร ตกรางวัลให้สามทัพ แบ่งเป็นเสบียงอาหาร”
พวกซ่งจวินกุยตกปากรับคำโดยพลัน
ในคืนวันนั้นกลิ่นหอมของเนื้อคละคลุ้งภายในเมืองหมอกอำพราง เสียงหัวเราะสุขสันต์ดังไม่ขาดสาย
โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าหลินสวินเหยียบเขาวิญญาณหยินราบเป็นหน้ากลอง สังหารทัพใหญ่สัตว์อสูรมารดับเกลี้ยง ขจัดภัยร้ายที่ตั้งถิ่นฐานในมณฑลซีหนานจนสิ้นซากด้วยตัวคนเดียว
พวกซ่งจวินกุยต่างดีใจแทบคลั่ง ถึงขั้นฮึกเหิมจนไม่สำรวมอยู่บ้าง!
และยามที่ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองหมอกอำพราง เมืองใหญ่ทั้งเมืองก็พลอยฮือฮาตามมาด้วย พลทหารจักรวรรดิและประชาชนทั่วไปนับไม่ถ้วนต่างพากันถกชื่อของหลินสวินในค่ำคืนนี้
ม่านราตรีดั่งภาพวาด หมู่ดาวพร่างพราวเหนือศีรษะ
หลินสวินกลับนั่งสบายๆ ตรงกำแพงเมืองมุมหนึ่ง ทอดมองภูเขาแม่น้ำที่อยู่ไกลๆ เพียงลำพัง
เขาเล่นยาลูกกลอนในมือ นี่คือลูกกลอนอมตะย้อนชะตา เป็นของล้ำค่าหายากอย่างหนึ่ง ประเมินค่าไม่ได้ มีประโยชน์อย่างไม่อาจคาดเดายามข้าม ‘ด่านเคราะห์โชคชะตา’
เพียงแต่ยาลูกกลอนที่เพียงพอจะทำให้ราชันระดับอมตะเคราะห์ต่างพากันตาร้อน กลับถูกสลายออกไปทีละน้อยในฝ่ามือหลินสวิน กลายเป็นละอองแสงสายแล้วสายเล่ามลายหายไป
จนกระทั่งสุดท้าย กลางฝ่ามือหลินสวินเหลือเพียงแสงเลือดสายหนึ่ง เล็กบางราวขนวัว
แต่หากใช้จิตรับรู้สัมผัส ก็จะพบว่าภายในแสงเลือดที่ไม่สะดุดตาสายนี้ประทับพลังคำสาปต้องห้ามที่แน่นขนัดและแปลกประหลาดเอาไว้ชั้นหนึ่ง พิสดารหาใดเปรียบ
‘ข้ารู้อยู่แล้ว จากความคิดของบรรพจารย์อสูรมารอย่างเจ้า มีหรือจะมอบยาลูกกลอนมีค่ามหาศาลเช่นนี้ให้ข้ารับใช้พวกนั้น ที่แท้ก็ไม่หวังดีจริงๆ ด้วย…’
นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ ออกแรงกลางฝ่ามือ แสงเลือดสายนั้นพลันถูกกำจัดสิ้นซากในทันที
กล่าวได้ว่าหากเขาละโมบ ใช้ลูกกลอนนี้ตอนข้ามด่านเคราะห์ เช่นนั้นผลที่ตามมาคงเลวร้ายไม่อาจจิตนาการแน่!
จากการคาดเดาของหลินสวิน บรรพจารย์อสูรมารทำเช่นนี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ตน แต่จ้องเล่นงานราชันอสูรมารที่ถวายชีวิตรับใช้เขาพวกนั้นต่างหาก ที่ทำไปก็ไม่มีอะไรนอกจากต้องการควบคุมราชันอสูรมารพวกนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรวบรวม ‘ของเซ่นไหว้’ ช่วยเขาปลดเปลื้องพันธนาการ
‘เพียงแต่ บรรพจารย์อสูรมารนี่เป็นใครกันแน่ แล้วเขาถูกจองจำไว้ที่ไหนกัน’
จิตใจหลินสวินล่องลอย สิบกว่าปีมานี้ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน สัตว์อสูรมารออกอาละวาดในชายแดนจักรวรรดิ ตัวการสำคัญเป็นถึงพวกน่าสะพรึงที่ถูกเรียกว่า ‘บรรพจารย์อสูรมาร’
เรื่องนี้คนใหญ่คนโตในจักรวรรดิพวกนั้นรู้กันหรือไม่
“นายท่าน ท่านดูเหมือนมีเรื่องในใจ”
เสี่ยวอิ๋นโผล่มาอยู่ข้างๆ เอ่ยถามเสียงเบา
“ข้าอาจต้องออกไปสักระยะ ไปดูสถานที่ที่ข้าอาศัยตอนเด็กๆ สักหน่อย จากนั้นค่อยไปสังหารอสูรมารที่อื่นๆ ต่อ”
หลินสวินใคร่ครวญ “ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ข้างๆ ลูกหลานตระกูลหลินพวกนั้นเสียที่นี่แล้วกัน ขอเพียงไม่ปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันกับพวกเขาก็พอ”
เสี่ยวอิ๋นจนใจไปครู่หนึ่ง “น่าเบื่อจะตาย”
หลินสวินอ้ำอึ้ง กล่าวว่า “น่าเบื่อ? รอให้การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเปิดม่าน ต่อไปเจ้าอยากเบื่อหน่ายก็ทำไม่ได้แล้ว”
เสี่ยวอิ๋นครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตกปากรับคำ
ดึกสงัดวันนั้นหลินสวินก็จากไปเงียบๆ เพียงคนเดียว บังคับยานขนส่งอวกาศมุ่งหน้าไปทางเมืองตงหลินของมณฑลซีหนาน
นอกเมืองตงหลินมีหมู่เขาสามพันคีรีที่ถูกเรียกว่า ‘คูเมืองธรรมชาติ’
สมัยเด็กหลินสวินก็บุกป่าฝ่าดงออกมาจากส่วนลึกหมู่เขาสามพันคีรี มายังหมู่บ้านเฟยอวิ๋น จากนั้นก็ออกจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเข้าสู่เมืองตงหลิน
และยามนี้หลินสวินไม่ใช่เด็กอ่อนแอในปีนั้นอีกแล้ว แต่เป็นมกุฎราชันอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง ทั้งกำลังจะเผชิญหน้ากับบททดสอบ ‘ด่านเคราะห์โชคชะตา’ อีกด้วย
ดังนั้นเขาต้องแสวงหาอดีตที่ผ่านมาของตน เริ่มแกะรอยจากวัยเด็ก ไปสำรวจร่องรอยแห่ง ‘โชคชะตา’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของตน!
……
ในเวลาเดียวกันนี้ ข่าวหนึ่งกำลังแพร่กระจายในราตรี พุ่งเข้าสู่นครต้องห้าม และอาณาเขตอื่นๆ ในจักรวรรดิราวกับพายุซัดกระหน่ำ…
“อะไรนะ! ราชันเกราะทองถูกสังหาร? สวรรค์ น่าเหลือเชื่อนัก! นี่เป็นฝีมือหลินสวินจริงๆ หรือ”
“ตัวคนเดียวกำจัดรังราชันเกราะทอง เหยียบเขาวิญญาณหยินจนราบ?”
ในยามราตรีไม่รู้ขุมอำนาจใหญ่มากมายเพียงใดในนครต้องห้ามถูกทำให้ตกใจ สั่นสะท้าน สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันพวกนั้นต่างพากันปากอ้าตาค้าง รู้สึกเหลือเชื่อ
ควรรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีข่าวแพร่ออกมา ว่าหลินสวินตัดหัวราชันอินทรีอสนีเขียวและราชันอสูรมารอื่นๆ อีกสิบแปดตน เอาชนะทัพใหญ่สัตว์อสูรมาร กอบกู้เมืองหมอกอำพรางออกมาจากหายนะครั้งใหญ่ด้วยตัวคนเดียว
แต่เวลายังไม่ถึงหนึ่งวันดี ก็มีข่าวว่าราชันเกราะทองรวมถึงรังกบดานของมันถูกกำจัดสิ้นซากแพร่ออกมาอีก ใครจะรับเรื่องนี้ได้กันเล่า
——