บทที่ 2216 ข้าเข้าใจแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เสียงดังตูมตามบนสนามรบเริ่มน้อยลงทีละนิด กำลังพลส่วนใหญ่แยกย้ายกันถอยออกมาหมดแล้ว เหลือเพียงศัตรูสองคนที่ถูกล้อมอยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้คนดักมากขนาดนั้นแล้ว

ไม่ได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่าของจ้านหรูอี้ โพ่จวินที่เลือดท่วมทั้งตัวและกำลังควงดาบฟันอย่างเกรี้ยวกราดก็เกลียดเวลามองมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งสังหารอย่างห้าวหาญ ดิ้นรนโจมตีฝ่าไปทางจ้านหรูอี้

ไม่ใช่เพื่อช่วยชีวิตจ้านหรูอี้ ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าไม่มีทางที่จะช่วยจ้านหรูอี้ออกไปได้ และไม่ใช่เพื่อช่วยจ้านหรูอี้รบอีกแรงด้วย แต่เจตนาของฝ่ายศัตรูนั้นชัดเจนมากว่าต้องการจับเป็นพวกเขาสองคน เขากลัวว่าจ้านหรูอี้รับมือไม่ทันจนตกหลุมพราง แค่ต้องการจะพุ่งเข้าไปฆ่าจ้านหรูอี้เท่านั้น

ทว่ายอดฝีมือที่เข้ามาขวางมีเยอะเกินไป เขาไม่มีทางสังหารเข้าไปได้เลย

ภายใต้ความสิ้นหวัง เขาคำรามใส่คนที่มาขวางตรงหน้าอย่างโมโห “เป็นเจ้าเหรอ!”

ทหารที่เข้ามาขวางเผยสีหน้าละอายใจ เป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งของจวนผู้สำเร็จราชการ เป็นเยี่ยนหลูที่สวีถังหรานโน้มน้าวให้สวามิภักดิ์!

ไม่รู้ว่าแม่ทัพที่บัญชาการอยู่ฝั่งเหมียวอี้จงใจหรือไม่ได้ตั้งใจ คนอื่นล้วนถอยออกไปหมดแล้ว กำลังพลที่เหลือล้อมโจมตีอยู่ล้วนเป็นทัพใหญ่แตนรัตติกาล เป็นกำลังพลเดิมของกองทัพองครักษ์ ให้อดีตคนของกองทัพองครักษ์ไปสังหารคนของกองทัพองครักษ์ ในจำนวนนี้มีเกือบครึ่งที่เป็นลูกน้องเก่าของโพ่จวิน ยกตัวอย่างเช่นเยี่ยนหลู

แต่จากนั้นเยี่ยนหลูก็เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ภายใต้ความร่วมมือของยอดฝีมือจำนวนมาก เขาพยายามล้อมสกัดโพ่จวินเอาไว้อย่างสุดชีวิต

ในเมื่อทรยศไปแล้ว ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ เหตุใดแม่ทัพหลักจึงให้พวกเขาลงมือกับโพ่จวิน? ในหัวมีคำถามนี้แวบเข้ามา ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไหร่กำลังมองพวกเขาอยู่ จึงทำได้เพียงสู้สุดชีวิต ทำได้เพียงขีดเส้นแบ่งกับโพ่จวินให้ชัดเจนที่สุด

เมื่อเห็นว่าไม่มีทางฝ่าวงล้อมได้แล้ว และไม่สามารถสั่งหันไปทางฝั่งจ้านหรูอี้ได้แล้ว กลับเสี่ยงที่จะพลั้งมือและโดนจับหลายครั้งด้วย โดยเฉพาะโอกาสที่จ้านหรูอี้จะถูกจับก็ใกล้เข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว ทันใดนั้น โพ่จวินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ถ้าอยากจะให้ข้ายอมสวามิภักดิ์ก็หยุด!”

ซูชิงฉวนจอมพลสายมะโรงฝั่งเหมียวอี้ตะโกนสั่งทันที “หยุด!”

คนที่ล้อมโจมตีจ้านหรูอี้กับโพ่จวินรีบหยุด แล้วถอยออกไปไม่ไกลนัก

โพ่จวินที่ถูกล้อมอยู่ท่ามกลางกำลังพลกลุ่มใหญ่ชูดาบขึ้นมาเฝ้าระวังรอบๆ สายตามองไปทางจ้านหรูอี้ จ้านหรูอี้พี่ไม่เข้าใจก็เพิ่งมองมาเช่นกัน

ชั่วพริบตานี้ จ้านหรูอี้ที่กำลังสะบักสะบอมเหมือนจะเข้าใจความหมายที่สื่อออกมาจากสายตาโพ่จวินแล้ว นางพยักหน้าตอบเบาๆ

เมื่อจ้านหรูอี้อ่านใจตัวเองออก โพ่จวินก็วางใจแล้วจริงๆ ชูดาบขึ้นชี้ไปรอบวง พร้อมตะโกนว่า “ไอ้พวกโจรกบฏ!”

ลูกน้องเก่าในกองทัพองครักษ์ที่ล้อมเขาอยู่เถียงไม่ออก

“ฝ่าบาท! ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำภารกิจสำคัญไม่สำเร็จ ข้าน้อยขอไปก่อน!”

เสียงคำรามอันเศร้าสลดดังก้อง โพ่จวินชักดาบในมือกลับมา คมดาบสะท้อนแสงวิบวับ เลือดร้อนๆ จากอกพุ่งกระจายกลางดาราจักร ศีรษะใบใหญ่ปลิวออกมา เด็ดขาดและกะทันหัน!

ทุกคนตกตะลึงมาก กำลังพลที่ล้อมอยู่อ้าปากค้าง พากันทำอะไรไม่ถูกแล้ว อยากจะขัดขวางแต่ก็ไม่ทันแล้ว

พวกเยี่ยนหลูเหม่อไปเลย หดหู่ ละอายใจ ก้มหน้า เป็นคนบีบให้ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายที่ตัวเองนับถือที่สุดตายด้วยมือตัวเอง

เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองไปที่จ้านหรูอี้อีก เห็นเพียงคมทวนหลายด้ามในมือจ้านหรูอี้หมุนกลับมากดบนร่างกายตัวเองแล้ว ทำให้คนที่อยู่รอบๆ อยากจะขัดขวางแต่ก็กลัวลูบหน้าปะจมูก เพราะถึงอย่างไรวรยุทธ์ของจ้านหรูอี้ก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน

ในกระบวนทัพที่เกราะรบสีสว่างแจ่มชัด ผู้หญิงที่สวมชุดชาววังโดดเด่นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงคนนี้ยังท้องโตอีกด้วย ทั้งตัวเปื้อนเลือด แม้จะมีสภาพจนตรอก แต่กลับไม่มีท่าทีตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อย กำลังถูกผู้ชายที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่

มีคนไม่น้อยแอบถอนใจ ลักษณะของสตรีที่แข็งแกร่งเหนือบุรุษเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นผู้หญิงของราชันสวรรค์

แต่นางก็ดูไม่เหมือนคนที่รีบร้อนจะปลิดชีพตัวเองเหมือนโพ่จวิน กลุ่มคนที่ล้อมนางอยู่ค่อนข้างกระเหี้ยนกระหือรือ กำลังหาโอกาสลงมือ

จ้านหรูอี้มองไปรอบข้างอย่างระแวดระวัง หันรอบวงอย่างช้าๆ สายตาไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้ แล้วตะโกนถามเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อ กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ย?”

จะสู้ฝ่าบาทได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าคิดจะหาบันไดลงให้ตัวเองโดยการยอมสวามิภักดิ์? มีคนไม่น้อยแอบพึมพำในใจ สายตาจ้องไปที่เหมียวอี้

เมื่อสบสายตากับจ้านหรูอี้ เหมียวอี้เงียบงัน ในหัวเกิดภาพสับสนปนเปกันเล็กน้อย นึกถึงภาพในปีนั้นที่ผู้หญิงคนนี้ตามเกาะแกะเพื่อจะสู้กับตน

เขานึกไม่ถึงนิดหน่อย ว่ามาถึงขั้นนี้แล้วแต่ทั้งสองก็ยังมีโอกาสได้ต่อสู้กันตัวต่อตัว เหมือนย้อนกลับไปในปีนั้นอีกครั้ง

สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน จ้านหรูอี้เตรียมตัวปลิดชีพตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่กลับท้าสู้กับเขา ถ้าคิดจะจับเป็นจ้านหรูอี้เพื่อมาบีบประมุขชิง ให้เขาลงมือเองก็มีโอกาสแน่นอน

เหมียวอี้ยกมือขึ้นช้าๆ พอดีดนิ้วเบาๆ กำลังพลที่ล้อมอยู่ถอยออกไปทันที หลีกทางให้แล้ว สร้างพื้นที่ว่างให้แล้ว

ไม่มีใครมาขัดขวางเหมียวอี้เช่นกัน ทุกคนมีความมั่นใจในศักยภาพของเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สังหารโค่วหลิงซวีได้ภายในครั้งเดียว และคิดว่าถ้าเขาลงมือเองก็มีโอกาสจับเป็นจ้านหรูอี้ได้

เหมียวอี้ขยับร่างกายลอยเข้าไปแล้ว ไปยืนคุมเชิงอยู่กับจ้านหรูอี้ท่ามกลางสายตาฝูงชน ขยับนิ้วทั้งห้าเบาๆ คว้าทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ

“ยอมแพ้เถอะ!” สายตาเหมียวอี้ย้ายจากหน้าที่มีรอยเลือดไปบนท้องของนาง กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ขอเพียงเจ้ายอมสวามิภักดิ์ ข้ารับรองว่าเจ้ากับลูกจะไม่เป็นอะไร”

สามศีรษะหกแขนรวมเป็นหนึ่งเดียว เหลือเพียงทวนด้ามเดียวถืออยู่ในมือ จ้านหรูอี้โบกทวนชี้ไป “ที่ข้านี้ บนสนามรบไม่มีคำว่ายอมแพ้ ข้าคือผู้หญิงของราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย ในท้องข้าคือเลือดเนื้อเชื้อไขของราชันสวรรค์ ไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้ให้อัปยศอดสู!”

“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ก็ไม่แน่!” พอจ้านหรูอี้พูดจบ จู่ๆ ก็ถลันตัวออกมา

เสียงมังกรคำรามดังขึ้น ทวนของเหมียวอี้แทงออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ดวงตากลับเผยแววตกใจ อยากจะชักชวนกลับมาแต่ก็ไม่ทันแล้ว

ชั่วพริบตานั้น ทัพใหญ่ที่มุงดูตกอยู่ในความเงียบ ต่างก็จ้องอย่างตกตะลึง

ทวนเกล็ดย้อนเสียบเข้าไปในหน้าอกของจ้านหรูอี้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นได้ว่าเลือดสีแดงเข้มซึมเลอะตรงหน้าอกจ้านหรูอี้อย่างรวดเร็ว

ใครๆ ก็มองออกทั้งนั้นว่าจ้านหรูอี้ที่รุกโจมตีอย่างรุนแรงเหมือนจะเป็นฝ่ายชนไปที่ทวนเกล็ดย้อนเอง ทำเอาฝ่าบาททำอะไรไม่ถูก

เหมียวอี้อยากจะเก็บมือกลับมา แต่มือข้างหนึ่งของจ้านหรูอี้กลับจับด้ามทวนที่แทงเข้าไปในหน้าอกครึ่งหนึ่งไม่ยอมปล่อย ทั้งสองกำลังสบตากันแล้ว

บนใบหน้าจ้านหรูอี้ไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดใดๆ นางกล่าวอย่างสงบว่า “วันที่ข้าแต่งงาน ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าเกือบจะชักกระบี่ออกมา ข้าเลยไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด อุทยานหลวง ที่นาหลวง เจ้าบอกว่าในภายหลังข้าจะเข้าใจเอง ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจริงๆ แต่ข้าก็ต้องตอบแทนอะไรเจ้าสักหน่อยสิ ให้ทุกคนได้เห็นว่าเจ้าชนะแล้ว…”

ที่มือนางออกแรง ร่างกายดันเข้ามา หัวทวนที่แหลมคมแทงทะลุหัวใจ ออกแรงเยอะมาก จนหัวทวนทะลุออกจากแผ่นหลัง เลือดสดพุ่งออกมา

มือที่จับทวนเกล็ดย้อนคลายออกอย่างช้าๆ ทวนบนมือของตัวเองก็คลายออกทีละนิดอย่างไร้เรี่ยวแรงเช่นกัน แววตาที่จ้องเหมียวอี้มืดมิดลงทีละน้อย ทั้งตัวแขวนอย่างสงบอยู่บนทวนเกล็ดย้อน

ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าบนหน้าเหมียวอี้ทำสีหน้าอย่างไร เขาไม่ได้มองนาง แต่รีบหันไปด้านข้าง ดวงตาเป็นประกายดุจแสงดาว เป็นประกายวิบวับจนผิดปกติ มองเห็นใบหน้าตกตะลึงของคนที่ล้อมอยู่รอบๆ แล้ว

ในหัวปรากฏภาพเหตุการณ์ที่อุทยานหลวง

‘ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นได้อีกครั้ง ให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้าจะพาข้าหนีไปหรือเปล่า?’

‘ไม่’

เพราะอะไร? ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร บอกเหตุผลที่แท้จริงให้ข้ารู้’

เหนียงเหนียงเขาวังก็เพราะเหนียงเหนียงแบกรับความรับผิดชอบของเหนียงเหนียงเอง ที่หนิวปฏิเสธก็เพราะมีภาระหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน’

เบื้องหลังข้าแบกความรับผิดชอบของตระกูลเอาไว้ เบื้องหลังเจ้าจะแบกความรับผิดชอบอะไรได้? ลูกน้องเก่าพวกนั้นของเจ้าเหรอ? ศึกที่น่านฟ้าระกาติง เจ้าทำให้ลูกน้องตายไปตั้งเท่าไร? เพื่ออนุภรรยาของเจ้าคนนั้น? เจ้าสามารถพานางไปด้วยได้ เจ้ารู้ว่าข้าจะรับปาก หรือไม่ ก็เป็นเพราะเจ้าอยากจะส่งข้าเข้าวังเท่านั้น?’

ไม่! เหตุผลเป็นอย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ ในภายหลังเหนียงเหนียงอาจจะเข้าใจ’

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะรอ รอวันที่ข้าจะเข้าใจ’

เขาจำได้รางๆ ว่าบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มนั้น ชายคนหนึ่งสวมเกราะรบสีทองวิบวับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ หญิงคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงปลิวสะบัดเดินผ่านชายคนนั้นไป ริ้วผ้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ปัดผ่านหน้าชายคนนั้น ผ่านไปราวกับเงา ความรู้สึกที่อยากจะยื่นมือคว้าไว้แต่กลับคว้าไว้ไม่ได้นั้นคล้ายกับความรู้สึกในตอนนี้

ฉึก! เหมียวอี้พลันดึงทวนออกมา แล้วหันหน้าหนีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่หันกลับไปมองอีก ปล่อยให้ร่างที่ปล่อยผมยาวสยายของจ้านหรูอี้ลอยเงียบๆ อยู่ในดาราจักร…

“เหนียงเหนียง ด้านนอกส่งข่าวมา ฝ่าบาทชนะอีกศึกแล้ว ฝ่าบาทสังหารจ้านหรูอี้ สนมรักของประมุขชิงด้วยตัวเอง!”

ในกระเป๋าสัตว์ เสวี่ยเอ๋อร์วางระฆังดารา แล้วมารายงานอวิ๋นจือชิวที่นั่งเฝ้าหน้าแผนที่ดาว

อวิ๋นจือชิวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อ ลองถามว่า “เจ้าบอกว่าฝ่าบาทฆ่าจ้านหรูอี้ด้วยมือตัวเองเหรอ?”

“ใช่ค่ะ! บอกว่าถูกฝ่าบาทใช้ทวนแทงครั้งเดียวตายเลย” เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า

อวิ๋นจือชิวติดต่อคนอื่นทันที หลังจากถามรายละเอียดในที่เกิดเหตุแล้ว นางก็ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากผ่านไปนานก็ถอนหายใจเบาๆ “ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ นางต้องการจะให้เขารู้สึกผิดไปทั้งชีวิตชัดๆ!”

ในรถมังกร อู๋ฉวี่กำระฆังดาราแล้ว ขบกรามแน่น เริ่มรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย

เขากุมหมัดคารวะต่อหน้าประมุขชิงที่กำลังนั่งอย่างสง่า รายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ฝ่าบาท กำลังพลของโพ่จวินพินาศย่อยยับ โพ่จวินใช้ดาบปลิดชีพตัวเอง เหนียงเหนียงสิ้นชีวิตภายใต้ทวนของหนิวโหย่วเต๋อ!”

ในรถมังกรเงียบงัน มีเพียงเสียงขยับนับลูกประคำของประมุขพุทธะ ประมุขชิงที่กำลังเงียบหลับตาลงช้าๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ตรงหัวตามีน้ำตาปริ่ม…

บนแท่นยืนของรถมังกรอีกคันหนึ่ง ผู่หลันวางระฆังดาราในมือ ทำท่าเหมือนโล่งใจแล้ว

พุทธะจิ้งฮวาที่ยืนอยู่ข้างกันหันกลับมามองแวบหนึ่ง “ติดต่อลูกชายเจ้าได้หรือยัง?”

ผู่หลันพยักหน้าอย่างกลัวไม่หาย “ติดต่อได้แล้ว เขาอยู่ที่เขาหลิงซานบาดเจ็บไม่น้อย เพียงแต่โชคดีที่พ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ ตอนนี้กำลังหลบหนีไปซ่อนตัว”

พุทธะจิ้งฮวาพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

ผู่หลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกอีกว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากติดต่อไปหาหนิวโหย่วเต๋อ อย่ากโน้มน้าวเขา”

“โน้มน้าวไหวเหรอ?” พุทธะจิ้งฮวายิ้มอ่อนด้วยใบหน้าเปี่ยมเมตตา แต่ก็ไม่ได้ห้าม ให้นางไปพบอุปสรรคเอาเอง

ผู่หลันกัดฟัน ยังคงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ คำตอบก็เป็นอย่างที่พุทธะจิ้งฮวาคาดไว้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เดิมทีนึกว่าเรื่องรบราฆ่าฟันเป็นเรื่องของมนุษย์ปุถุชนเท่านั้น นึกไม่ถึงว่า…”

พุทธะจิ้งฮวากล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “มนุษย์ปุถุชนกับนักพรตต่างอะไรกันล่ะ? สิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์จึงรวมกลุ่มกันไม่ได้ รวมกลุ่มกันแล้ววุ่นวายแน่นอน คนก็เป็นเช่นนี้ หมูก็เป็นเช่นนี้ สุนัขก็เป็นเช่นนี้ มดก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นพืชในป่าก็แย่งกันหันหน้าหาดวงอาทิตย์ เจ้าเหนือกว่าข้า ข้าเหนือกว่าเขา เจ้ารัดพันข้า ข้ารัดพันเขา เขาถึงเรียกว่าสรรพชีวิตเท่าเทียมกัน นี่ก็คือความเท่าเทียมของสรรพชีวิต!”

“จะไม่มีทางเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเชียวหรือ?” ผู่หลันถาม

พุทธะจิ้งฮวาบอกว่า “ถ้าเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมได้จริงๆ เช่นนั้นสรรพสิ่งในโลกนี้ก็จะขาดสมดุล ต้นไม้ในป่าเขียวชอุ่มที่เติบโตอุดมสมบูรณ์เกินไป ช้าเร็วก็ต้องถูกไฟป่าทำลายในรวดเดียว แล้วก็จะแตกหน่อขึ้นมาใหม่ท่ามกลางเถ้าถ่าน คนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน มีแต่ต้องผ่านความวุ่นวายครั้งใหญ่ก่อนเท่านั้น ถึงจะแสวงหาความสงบสุขได้ เมื่อสงบสุขนานแล้วก็จะวุ่นวายอีกครั้ง หมุนเวียนเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใจคนหลงตัวเอง แต่ตัวที่อยู่ในนั้นกลับไม่รู้ว่ากำลังเกิดดับตามยถากรรมตลอดไป นี่ก็คือความเท่าเทียมของสรรพชีวิต!”

…………………………