บทที่ 2215 ดันทุรังต่อต้าน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ถึงแม้โกวเยว่จะมาคนเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ลั่วหม่างประหม่าอยู่พักหนึ่ง เตรียมพร้อมป้องกันอย่างสูง กังวลว่าโกวเยว่จะแอบพาคนมาด้วย

กลับเป็นโกวเยว่ที่รู้กาลเทศะ เป็นฝ่ายให้คนของฝั่งนี้ตรวจค้นตัวดูก่อน

หลังจากทั้งสองพบกันแล้ว ทักทายกันตามมารยาทเล็กน้อย โกวเยว่ก็เปิดประเด็นถามตรงๆ เลย “ที่จอมพลบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเสี้ยมเขาควายให้ชนกันหมายความว่ายังไง?”

“พ่อบ้านโกว อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พูดอะไรกับท่านอ๋อง? ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของถงเหลียนซี อนุภรรยาของข้า!” ลั่วหม่างตอบ

โกวเยว่ส่ายหน้า”หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พูดอะไรกับท่านอ๋อง”

ลั่วหม่างสบตาเขา ไม่ได้พูดว่าไม่เชื่อ และไม่ได้แสดงออกว่าไม่เชื่อด้วย เพียงแต่โกวเยว่พูดเสริมอีกว่า “กลับเป็นคนอื่นที่เอ่ยทำเรื่องนี้ เกาก้วนให้คนมาเตือนท่านอ๋องว่าให้ระวังเจ้า…” เขาเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

“เกาก้วนทรยศประมุขชิงแล้ว? อย่าบอกนะว่าเป็นพวกเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อ?” ลั่วหม่างสงสัย

“เรื่องนี้ไม่มีทางรู้ได้ ที่จริงพอท่านอ๋องได้ฟังก็รู้แล้วว่ากำลังเสี้ยมให้แตกคอกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝั่งจอมพลเป็นยังไงกันแน่ หรือจะมาทำให้กระจ่าง” โกวเยว่กล่าว

ลั่วหม่างกล่าวด้วยความลังเล “ไม่ผิดหรอก ถงเหลียนซีเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงๆ ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อยังไม่ดังแล้ว แต่ตอนแรกข้าก็แค่คิดว่านางเป็นสายลับที่วังสวรรค์ส่งมาอยู่ข้างกายข้า ไม่รู้ว่าเป็นคนของสมาคมวีรชน ที่ข้าเก็บนางไว้ ก็เพื่อให้รับมือกับฝั่งวังสวรรค์ จนกระทั่งหนิวโหย่วเต๋อมหาข้า ข้าถึงได้รู้กําพืดที่แท้จริงของถงเหลียนซี ข้าเองก็ยอมรับ หนิวโหย่วเต๋อเคยมาหาข้าจริงๆ มีเจตนาให้ข้าร่วมมือกับเขาสู้กับท่านอ๋อง แต่ข้าก็ไม่ได้ตอบตกลง เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เอง หนิวโหย่วเต๋อติดต่อมาหาข้าอีกครั้ง ข้าจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ก็ไม่ได้ตอบตกลงด้วย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะขู่ข้า เปิดเผยโดยตรงเลยว่าจะเสี้ยมให้ข้ากลับท่านอ๋องแตกคอกัน…” เขาเล่าให้ฟังคร่าวๆ

พอพูดถึงตรงนี้ โกวเยว่ก็พอจะเข้าใจเขาคร่าวๆ แล้ว เป็นเพราะมีหนิวโหย่วเต๋อขู่ไว้ก่อนหน้านี้ การระดมพลฝั่งท่านอ๋องก็ยิ่งทำให้ลั่วหม่างกลัว ก่อนหน้านี้จึงไม่ไปหา จึงอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “หนิวโหย่วเต๋อเจ้าเล่ห์จริงๆ ช้าเร็วก็ต้องไม่ตายดี” จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จอมพลจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ข้ารู้แล้ว หวังว่าจอมพลจะเข้าใจเช่นกัน ว่าในเวลานี้ท่านอ๋องไม่หวังจะเห็นความขัดแย้งภายในของทัพตะวันตก ย่อมไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อจอมพลเช่นกัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องมาระแวงกันเองให้แผนชั่วของคนนอกสำเร็จ!”

ลั่วหม่างพยักหน้า “รอให้ข้าเตรียมการเสร็จแล้ว อีกประเดี๋ยวจะไปล้างมลทินต่อท่านอ๋องด้วยตัวเอง ยินดีติดตามรับใช้อยู่ข้างกายท่านอ๋อง!” ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้กำลังสื่อว่า เพื่อที่จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก็ยินดีออกจากกำลังพลของตัวเองแล้วไปเป็นตัวประกันอยู่ข้างกายก่วงลิ่งกง

โกวเยว่เข้าใจความหมายนี้ ไม่ต้องพูดให้ชัดเจน ถ้าพูดชัดเจนแล้วเดี๋ยวทุกคนจะมองหน้ากันไม่ติด ทางฝั่งท่านอ๋องระดมทัพอารักขาเพื่อเตรียมป้องกันเหตุไม่คาดคิดได้ ลั่วหม่างก็ย่อมต้องให้ลูกน้องเตรียมตัวป้องกันเหตุไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน ถ้าท่านอ๋องทำเรื่องอะไรไม่ดีต่อเขา ฝั่งนี้ก็จะไม่ให้ท่านอ๋องได้อยู่สบายดีเหมือนกัน

ทุกคนล้วนไม่ใช่เด็กสามขวบ ในจุดเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ คำพูดปากเปล่าเทียบไม่ได้กับการเตรียมตัวที่น่าเชื่อถือ สิ่งที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายวางใจอย่างแท้จริงกลับเป็นวิธีการโต้ตอบศัตรูที่สอดคล้องกับความจริง

โกวเยว่พยักหน้าปลอบใจ “ดี! ความคิดของจอมพล ข้าจะนำไปบอกท่านอ๋อง ข้าขอตัวก่อน จะรอจอมพลมาเยือน!”

“ส่งตรงนี้!” ลั่วหม่างกุมหมัดคารวะ

หลังจากมองคล้อยหลังโกวเยว่ไปแล้ว หลางจวี๋ก็เข้ามาใกล้แล้วถามว่า “นายท่าน คงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

ลั่วหม่างกล่าวช้าๆ ว่า “คงจะไม่มีปัญหาอะไร ตราบใดที่ข้ายินดีเป็นตัวประกัน ในช่วงเวลานี้ก่วงลิ่งกงไม่อยากให้เกิดเรื่อง แต่ปัญหาก็คืออ๋องผู้นี้ไม่ไปหรอก!”

หลางจวี๋งงงวย ลั่วหม่างถามกลับว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังพลสายวอกอยู่ข้างกายอ๋องผู้นี้หมด กอปรกับตอนนี้เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ทำให้ก่วงลิ่งกงไม่กล้าทำอะไรวู่วาม ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าก่วงลิ่งกงจะทำอย่างนี้เหรอ?”

หลางจวี๋เงียบไปครู่เดียว แล้วบอกว่า “ถ้าไม่มีกำลังพลสายวอกอยู่ข้างกาย ไม่ว่านายท่านจะมีปัญหาหรือ ก่วงลิ่งกงก็จะต้องควบคุมนายท่านเอาไว้ก่อนเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดแน่ ไม่มีทางให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในเวลานี้แน่นอน”

ลั่วหม่างบอกอีกว่า “ข้าเปิดเผยไปแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อติดต่อกับข้าจริงๆ เจ้าคิดว่าก่วงลิ่งกงมองไม่ออกจริงเหรอ ว่าสาเหตุที่ตอนนี้ข้าไม่ไปเข้าข้างหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเพราะโอกาสยังมาไม่ถึง? ตอนนี้ก่วงลิ่งกงไม่แสดงออกอะไรหรอก แต่ในใจมีรอยร้าวแล้ว ถ้าผ่านวิกฤตตรงหน้าไปได้จริงๆ เจ้าคิดว่าก่วงลิ่งกงยังจะวางใจให้ข้านั่งในตำแหน่งนี้ต่อไปอีกหรือ?”

“เช่นนั้นนายท่านเตรียมจะ…” หลางจวี๋ลองถาม

“เฮ้อ!” ลั่วหม่างถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หลังจากเอาสองมือไขว้หลัง ก็บอกอีกว่า “ใช้ดาบฆ่าคนเรียกว่าโหดร้าย แต่ตั้งแต่สมัยโบราณมา สิ่งที่โหดร้ายที่สุดก็คือการเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน! นอกเสียจากเจ้าจะไม่มีภัยคุกคามใดๆ ต่ออีกฝ่ายเลย อีกฝ่ายไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาเลย ไม่อย่างนั้นเรื่องบางเรื่องก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ต่อให้อธิบายชัดเจนก็ไม่มีประโยชน์ ใจมีหนามแล้ว!”

หลางจวี๋ถามอีกว่า “นายท่านตัดสินใจแล้วหรือขอรับ?”

ลั่วหม่างพยักหน้า แล้วถือโอกาสหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “บอกให้แม่ทัพทุกคนมาพบข้า มาวางแผนงานใหญ่ร่วมกัน!”

ตอนนี้หลางจวี๋เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อครู่นี้เขาถึงบอกกับโกวเยว่ว่าจะไปเป็นตัวประกันให้ก่วงลิ่งกง จอมพลพวกนั้นบางก็ล้มลงจากตำแหน่ง นายท่านยังสามารถมั่นคงไม่สั่นคลอนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็แสดงว่าไม่ใช่ไก่อ่อนอยู่แล้ว บอกว่าเตรียมตัวสักประเดี๋ยวจะไปหาก่วงลิ่งกง ก็เพียงเพื่อจะทำให้โกวเยว่กับก่วงลิ่งกงสงบเท่านั้น ตอนนี้แม้จะเรียกรวมแม่ทัพอย่างโจ่งแจ้ง ก็ไม่ทำให้ฝั่งนั้นสงสัยอยู่ดี

ใช้เวลาไม่นาน ในหุบเขาแห่งหนึ่ง แม่ทัพทุกคนมากันครบ ไม่เห็นกำลังพลที่กระจายตัวอยู่รอบๆ หุบเขา บรรดาแม่ทัพก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทำไมถึงรู้สึกว่าจอมพลกำลังจะควบคุมทุกคนเอาไว้ล่ะ

ลั่วหม่างยืนอยู่ตรงหน้าแม่ทัพทุกคน กวาดสายตามองพวกเขา กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “คนที่ตั้งใจดูเมื่อครู่ก็คงเห็นแล้ว ทัพอารักขาของท่านอ๋องกำลังเคลื่อนไหวนิดหน่อย เขามาเพื่ออะไรน่ะเหรอ? พุ่งเป้าหมายที่จอมพลผู้นี้ไง เขาอยากจะลงมือกับข้า เมื่อครู่เขาให้ข้าไปพบเขา แต่ข้าก็ปฏิเสธแล้ว!”

“หา…” บรรดาแม่ทัพฮือฮา ไม่ค่อยเข้าใจว่าอยู่ดีๆ ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้

ลั่วหม่างกดฟังมือสองข้างไปทางทุกคน หลังจากเสียงฮือฮาเงียบลงแล้ว ก็เป็นฝ่ายอธิบายว่า “หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน ก่วงลิ่งกงเชื่อแล้ว บีบให้ข้ามาถึงทางตัน! ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องที่ร่วมทางกันมาตลอด ข้าจะไม่พูดอะไรอ้อมค้อมมากนัก ที่เรียกทุกคนมาก็เพราะอยากจะให้รู้ถึงความคิดของข้า ข้าอยากจะฟังความเห็นของทุกคนสักหน่อย!”

มีคนบอกว่า “พวกเราตั้งใจรอฟัง จอมพลพูดมาได้เลย!”

ลั่วหม่างสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะให้ข้าทำอะไร คาดว่าคงไม่ต้องให้ข้าอธิบายมาก เงื่อนไขที่เขาเสนอมาก็คือ จะให้ตำแหน่งอ๋องกับข้า! ข้าครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ชิงและพุทธะทำศึกตัดสินกับกับหนิวโหย่วเต๋อ ก่วงลิ่งกงถูกขนาดอยู่ตรงกลาง สิ้นไร้อนาคตแล้ว หลังจากจบเรื่องนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ ก็ล้วนต้องโดนกำจัดทิ้งเพราะมีความเห็นต่าง มีหรือที่จะยอมให้คนมานอนกรนข้างเตียง! เมื่อไม่มีกำลังมาคานอำนาจ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ล้วนไม่เก็บก่วงลิ่งกงสวยทั้งนั้น ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ตาม ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่นิ่งเฉยรอดูก่วงลิ่งกงมาชุบมือเปิบตอนสุดท้าย ทั้งสองฝ่ายล้วนยื่นมือมาหาก่วงลิ่งกง! ภายใต้รางพิกุลคว่ำไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ แม้ข้าจะมีใจที่เห็นแก่ตัว แต่ก็มิอาจไม่สนใจใยดีพี่น้องที่ติดตามทำงานมาด้วยกันหลายปีขนาดนี้ได้ จึงตัดสินใจจะนำพี่น้องเลือกอนาคตอีกทาง! หากยินดีช่วยข้าอีกแรง ข้าก็ย่อมซาบซึ้งใจ หากไม่ยินดีช่วย ข้าก็ไม่บังคับเช่นกัน ไม่ทราบว่าพี่น้องทุกคนมีความคิดเห็นยังไง?”

ทุกคนรู้สึกอย่างไรนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่หันมองกำลังพลที่อยู่รอบๆ โดยจิตใต้สำนึก ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ท่านจอมพลพูดเปิดเผยชัดเจนแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ไม่สนับสนุนจะรอดชีวิตออกไปได้หรือไม่ อย่างน้อยก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะหนีออกไปได้ง่ายๆ มีหรือที่จะปล่อยให้ข่าวหลุดได้?

“ยินดีติดตามจอมพลไปบุกน้ำลุยไฟ!”

มีคนแสดงท่าทีก่อน จากนั้นคนอื่นก็ทยอยกันขานรับ

ลั่วหม่างพยักหน้าไม่หยุด แววตาเผยความปลาบปลื้มยินดี แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกอะไร…

การเข่นฆ่าดำเนินมาถึงตอนท้ายแล้ว กองทัพองครักษ์สิบล้านแทบจะพินาศย่อยยับหมด เหลือเพียงกำลังพลอยู่ไม่กี่พันคนที่คุ้มครองอยู่รอบๆ โพ่จวินกับจ้านหรูอี้ เมื่อประโยค “จับเป็น” ดังขึ้น พวกเขาก็หยุดใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี ทัพใหญ่กรูกันเข้ามาแล้ว

การรบราฆ่าฟันตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสายตาเหมียวอี้ ตอนนี้สายตาของเหมียวอี้เลื่อนลอยเล็กน้อย ความคิดไปอยู่กับสถานที่อีกแห่งหนึ่ง

ลั่วหม่างตอบตกลงแล้ว แผนการเสี้ยมเขาควายให้ชนกันของตัวเองได้ผลแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาดีใจ ถ้ายังไม่ถึงตอนสุดท้าย ไม่ว่าใครก็บอกไม่ได้ทั้งนั้นว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร บอกได้เพียงว่าตอนนี้แผนการยังคืบหน้าอย่างราบรื่น

สิ่งที่เขากังวลที่สุดตอนนี้ก็ยังเป็นฝั่งของเหยียนซู่ เหยียนซู่นำทัพใหญ่หนึ่งพันล้านไปโจมตีสกัดกำลังพลสองพันกว่าล้านของชิงและพุทธะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาอยู่หรือเปล่า ถึงแม้เหมียวอี้จะใช้หลายวิธีการพร้อมกัน ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่สามารถใช้ได้ไปสนับสนุนเหยียนซู่ แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าความกดดันที่เหยียนซู่เผชิญเป็นอย่างไร การที่เหยียนซู่จะยับยั้งทัพใหญ่ของชิงและพุทธะได้อย่างราบรื่นหรือไม่นั้น ส่งผลไปถึงว่าจะช่วงชิงเวลาให้ชิงเยว่จัดการกับกำลังพลของก่วงลิ่งกงได้หรือเปล่า

“ท่านอ๋อง สู้กันพอสมควรแล้ว!” เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเตือน

เหมียวอี้ดึงความคิดกลับมา สายตาไปหยุดอยู่ในสนามรบ ข้างกายโพ่จวินเหลืออยู่ไม่กี่ร้อยคนกำลังต่อต้านอย่างดื้อรั้น โพ่จวินลงสนามรบด้วยตัวเองแล้ว ถือดาบใหญ่สังหารไปทั่วทิศ

จ้านหรูอี้แบกท้องใหญ่อาบเลือดสู้ตาย ท้องใหญ่แล้ว เห็นได้ชัดว่าสวมเกราะรบไม่ได้ สวมชุดชาววังลงสนามรบแล้วสะดุดตามาก มงกุฎสะเทือนกระเด็นไปนานแล้ว ผมงามดำขลับปลิวสะบัดตามการโจมตีที่ดุเดือดของนาง ห้าวหาญมาก สะบักสะบอมมากเช่นกัน แต่กลับให้ความรู้สึกว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมแพ้ เป็นความงามหยาดเยิ้มบนสนามรบ

เหมียวอี้มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย บางครั้งในดวงตาก็ฉายแววสับสน ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าในใจเขากำลังคิดอะไร อย่างน้อยภายนอกเขาก็ไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกมา

จ้านผิงกับอิ๋งลั่วหวนปกป้องอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของลูกสาว กำลังต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตเช่นกัน

ศึกนี้ตัดสินถูกตัดสินจุดจบตั้งนานแล้ว คนน้อยนิดเท่านี้เผชิญหน้ากับการบุกโจมตีจากกำลังพลหลายร้อนล้าน มิหนำซ้ำยังมียอดฝีมือมากมายราวกับเมฆบนฟ้า คนไม่กี่ร้อยที่ต่อต้านอย่างดึงดันถูกทัพใหญ่โจมตีจนกระจัดกระจาย ยามเผชิญหน้ากับการบุกโจมตีจากทั่วทุกทิศ มีคนล้มตายอย่างต่อเนื่อง

“…” หยินซวงตัวสั่นเทิ้มขณะมองที่หน้าอกตัวเอง มองดูหัวทวนเปื้อนเลือดที่แทงทะลุหน้าอกตัวเองออกมา

“ข้ายอม…” ไป๋เสวี่ยที่อยู่อีกจุดหนึ่งส่งเสียงร้องออกมาอย่างหวาดกลัว แต่กลับถูกดาบรัวฟันจนตายเหมือนเดิม

เบื้องบนมีคำสั่งมาแล้ว ว่าต้องการจับเป็นเพียงโพ่จวินกับจ้านหรูอี้เท่านั้น คนอื่นไม่ต้องเก็บไว้ ไม่หวังให้กองทัพองครักษ์ยอมสวามิภักดิ์ ตอนที่ออกคำสั่งนี้ย่อมไม่พิจารณาสาวใช้สองคนนี้ไว้ด้วย เบื้องล่างย่อมลงมือสังหารอย่างถึงอกถึงใจ

“เอื้อ…” จ้านผิงเสียงครางออกมาอย่างเจ็บปวด มือข้างหนึ่งจับด้ามทวนที่แทงเข้ามาตรงซี่โครง มือข้างหนึ่งโบกทวนต้านการบุกโจมตีจากสี่ด้านแปดทิศ

แม่ทัพใหญ่พี่แทงเข้ามาโบกทวนตวัดขึ้น สอยทั้งร่างจ้านผิงขึ้นมาโดยตรง ทำให้ร่างของจ้านผิงขาดความสมดุล ชั่วพริบตาเดียวก็มีทวนยาวนับไม่ถ้วนแทงทะลุแผ่นหลังของจ้านผิงแล้ว มีคนหนึ่งถลันตัวผ่านพร้อมดาบ ฟันศีรษะจ้านผิงกระเด็นทันที

“จ้านผิง!” อิ๋งลั่วหวนที่กลายเป็นสามหัวหกแขนอยู่ไม่ไกล พอเห็นฉากนี้แล้วกรีดร้องออกมาอย่างเศร้าสลด นางควบคุมอารมณ์ไม่ได้ การป้องกันทำได้ช้าลง ถูกคนใช้ดาบฟันบนบ่า เกราะรบหนาบนบ่าต้านไว้ได้ แต่กลับสะเทือนจนร่างกายโซเซ เกิดช่องโหว่มากมาย ทำให้ชั่วพริบตานั้นถูกทวนแทงมั่วไปหมด ปนกับดาบที่ฟันรัวๆ มีดอกเลือดสาดกระจายออกมา

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอันเศร้าสลดของมารดา จ้านหรูอี้สะบัดผมยาวหันมามองแวบหนึ่ง ในดวงตาเผยความโศกเศร้าคับแค้นออกมาเต็มที่ กัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก นางโบกทวนยาวหกด้ามในมือพร้อมตะโกนเข่นฆ่าราวกับเป็นบ้าไปแล้ว

………