บทที่ 680.1 บนโลกมนุษย์ล้วนมีแต่นักเดินทางไกล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เหนี่ยนซินไม่ใช่คนที่ชอบดูเรื่องสนุก แต่ครั้งนี้นางกลับเกิดใจอยากสืบเสาะเรื่องราวของเทวบุตรมารนอกโลกที่มาจากใต้หล้ามืดสลัวตนนี้เป็นครั้งแรก ร่าง ‘เซียนผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริง’ ของเทวบุตรมารก่อนหน้านี้ทำให้เหนี่ยนซินพรั่นพรึงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดถ้ำเซียนสวรรค์อันน่าตะลึงพรึงเพริดที่ ‘นักพรตซวงเจี้ยง’ สวมไว้บนร่างตัวนั้นที่เหนี่ยนซินรู้สึกว่าหากนำ ‘เส้นตั้งเส้นนอน’ หลายหมื่นเส้นมาแก้ออกทีละเส้นจะทำให้วิชาการเย็บผ้าของตนเหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ หากโชคดีสักหน่อยไม่แน่ว่าอาจจะกลายมาเป็นจุดกำเนิดของโชควาสนาบนมหามรรคาเนื่องจากเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้มานานหลายปีก็เป็นได้

เหนี่ยนซินเอ่ย “เจ้าชื่ออู๋ซวงเจี้ยง”

เด็กชายผมขาวที่นั่งยองอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้น “จะพูดอะไรอีกล่ะ”

เหนี่ยนซินกล่าว “ตอนมีชีวิตอยู่อู๋ซวงเจี้ยงคือผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่ง ไม่ใช่นักพรตเต๋า”

พูดมาถึงตรงนี้ “จนถึงตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอู๋ซวงเจี้ยงจะต้องตายเสมอไป”

เด็กชายผมขาวหัวเราะทันใด “ทำไมถึงเป็นสำนักการทหาร เหตุผลล่ะ?”

เหนี่ยนซินกล่าว “อู๋ซวงเจี้ยง (吴霜降 ชื่อที่เทวบุตรมารใช้ในปัจจุบัน อู๋คือแซ่ ซวงเจี้ยงหมายถึงช่วงที่เริ่มเกิดน้ำค้างแข็ง) อู๋ซวงเจี้ยง (无双将 อ่านเหมือนกัน แต่แปลได้ว่าแม่ทัพผู้เป็นหนึ่ง) เป็นชื่อดีที่ฟังดูแล้วเหมาะแก่การโยนไปไว้บนสนามรบ หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารก็ออกจะสิ้นเปลืองไปสักหน่อย”

เฒ่าหูหนวกรู้สึกแค่ว่าสมองของสตรีผู้นี้ไม่ค่อยแจ่มชัดสักเท่าไร หากคิดตามคำบอกของเหนี่ยนซิน ฉายาของข้าคือเฒ่าหูหนวก ที่เทือกเขาใหญ่แสนลี้ทางทิศใต้มีเฒ่าตาบอดอยู่คนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นพวกเขาจะไม่ใช่คู่พี่น้องที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีหรอกหรือ? ก็จริงนะ หากสติของแม่นางน้อยดีจริงก็คงไม่เป็นคนเย็บผ้ามาตลอดเวลาหรอก ผู้ฝึกตนลัทธิมารที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่กระฉ่อนไปไกลอย่างพวกตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณ กว้อเค่อ เทพแห่งโรคระบาด ศพงาม ฯลฯ ต่างก็ถือว่าเป็นคนที่เดินบนทางหัวขาดซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเดินได้แล้ว ทว่าพวกผู้ฝึกตนประเภทคนเย็บผ้า เพชรฆาตหรือคนขายกระจก กลับสามารถเปลี่ยนไปฝึกวิชานอกรีตได้กลางทาง ขอแค่โชคดีมากพอ แอบไปเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ยังไม่ยาก แต่เหนี่ยนซินผู้นี้ ไม่ว่าช่วงแรกเริ่มสุดนางจะกลายเป็นคนเย็บผ้าได้อย่างไร ในใจของนางจะยินดีหรือไม่ แต่สรุปแล้วก็คือนางตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปบนเส้นทางสายนี้ให้สุดทาง

เด็กชายผมขาวถ่มน้ำลายออกมา ใช้มือสองข้างนวดคลึงแก้ม พูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?!”

เฒ่าหูหนวกถาม “เหนี่ยนซินพูดถูกแล้วจริงๆ หรือ?”

เด็กชายผมขาวเอามือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบท่านบรรพบุรุษของตัวเอง สายตาฉายแววเวทนา มองเหนี่ยนซิน แล้วก็มองเฒ่าหูหนวก คนโง่สองคนนี้ เหตุใดไม่รับกันเป็นบิดากับบุตรสาวไปเสียเลย

หากไม่เป็นเพราะตอนนี้ยังต้องคอยกังวลในเรื่องของมหามรรคา อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่อิงตามสถานะของบรรพบุรุษสำนักการทหารอย่างที่เหนี่ยนซินเอ่ยถึง เขาก็สามารถแต่งเรื่องราวอันตระการตาน่าสนใจอย่างเช่นว่าอู๋ซวงเจี้ยงทำให้น้ำท่วมตำหนักเทพวารี ไฟไหม้ศาลเทพอัคคี เหยียบย่ำอารามเสวียนตูจนเละ ตีกลองสวรรค์แหวกม่านฟ้า บุกขึ้นไปโจมตีป๋ายอวี้จิงออกมาได้เป็นชุดๆ อีกทั้งยังรับรองว่าต้องน่าเชื่อถืออย่างแน่นอน

เขาเบี่ยงตัว กระดกก้นขึ้น เอามือสองข้างและหูแนบติดไว้บนประตูบานเล็ก “เหตุใดถึงไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ข้าเป็นห่วงบรรพบุรุษอิ่นกวานยิ่งนัก ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของเขาผู้อาวุโส หากหลอมวัตถุไม่สำเร็จ ต้องมาคิดบัญชีกับข้าแน่ๆ หลานชาย หลานสาว พวกเจ้าสองคนรีบช่วยขอพรพระโพธิสัตว์ให้กับข้าที เอาแบบจริงใจหน่อย หากทำสำเร็จ ข้าจะจดจำคุณความชอบของพวกเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง นับแต่วันนี้ไปพวกเราสามคนในครอบครัวก็จะสร้างภูเขากันขึ้นมา บูชาอิ่นกวานเป็นบรรพบุรุษร่วมกัน ไม่ต้องคอยอิจฉาฝ่ายของสิงกวานที่มีคนมากกำลังมากอีก ถึงเวลานั้นตอนที่ข้ารับมือกับสตรีทุบผ้าและเด็กสาวซักผ้านั่น เฒ่าหูหนวกก็คอยต่อยตีกับสิงกวานจนน้ำในสมองไหลออกมา เหนี่ยนซินเจ้าที่อยู่ด้านข้างก็ไปหิ้วถังน้ำใส่…”

เหนี่ยนซินใช้เท้าข้างหนึ่งยันบนหน้าผากของเด็กชายผมขาว ค่อยๆ เพิ่มพละกำลังช้าๆ เป็นเหตุให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเทวบุตรมารตนนี้แนบติดกับประตูไปแล้ว

เด็กชายผมขาวไม่โมโหแม้แต่น้อย

เฒ่าหูหนวกรู้สึกอิจฉาเหนี่ยนซินอยู่บ้ง ช่วงเวลาหลายปีที่ตนเพิ่งเจอกับเทวบุตรมารก็เคยงัดข้อกับอีกฝ่ายมาไม่น้อย ส่วนระหว่างมันกับสิงกวาน นั่นก็คืองัดข้อกันมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีเพียงกับเหนี่ยนซินเท่านั้นที่ซวงเจี้ยงไม่เคยถือสา เฒ่าหูหนวกไม่ได้กลัวว่าเทวบุตรมารผู้นี้จะก่อปัญหาอะไรได้ แต่อีกฝ่ายพูดมากเสียงดังหาความสงบไม่ได้แบบนี้ก็ชวนให้คนรำคาญนัก ตอนนั้นเทวบุตรมารติดตามไม่ห่างกายเฒ่าหูหนวกถึงแปดสิบปี เฒ่าหูหนวกอยากจะฝึกตนอย่างสงบสักชั่วครู่ชั่วยามยังเป็นเรื่องยาก ภายหลังแค่เรียกอีกฝ่ายว่าท่านปู่ไม่กี่คำก็พอจะสลัดการพัวพันจากมันไปได้บ้าง

เหนี่ยนซินดึงเท้ากลับมา

เด็กชายผมขาวยังคงค้างอยู่ในท่านั้น เอ่ยว่า “เจ้าบอกกล่าวกับท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานสักคำ แล้วให้เขาผู้อาวุโสมาบอกกับข้า ข้าจะร่ายชุดคลุมอาคม ‘เจี้ยงจื่อ’ ชุดนั้นออกมาให้เจ้าดู รับรองว่าเจ้าจะได้ดูจนพอใจ”

คล้ายว่าเด็กชายผมขาวจะกังวลว่าเหนี่ยนซินที่เป็นผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลจะไม่เข้าใจถึงความเลิศล้ำมหัศจรรย์ของชุดคลุมอาคม ‘เจี้ยงจื่อ’ จึงอธิบายว่า “ชุดอวี่อี (ชุดที่ทำจากขนนกหรือชื่อเรียกชุดของนักพรตเฒ่าหรือเทพเซียน) ของข้า คือหนึ่งในของเลียนแบบสามชิ้นของชุดคลุมที่มรรคาจารย์เต๋าขี่วัวสวมใส่ตอนออกจากด่าน แม้ว่าจะเป็นการถักทอในรุ่นหลัง แต่ปณิธานแห่งเต๋าก็ยังมีมากมายนับไม่ถ้วน นั่นคือหนึ่งในสมบัติพิทักษ์ภูเขาของตำหนักสุ้ยฉู คือแกนกลางของค่ายกลภูเขาสายน้ำ แค่ต้องให้บรรพบุรุษสะบัดเสื้อ ภูเขาก็จะเหมือนถูกห่มทับด้วยชุดอวี่อี ต่อให้เจ้าที่เป็นเซียนกระบี่จะออกกระบี่กี่ร้อยกี่พันครั้ง มันก็ยังแข็งแกร่งมิอาจทำลาย”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กชายผมขาวก็หัวเราะเสียงเย็น “ตำหนักสุ้ยฉูมีชื่อเสียงทัดเทียมกับอารามเสวียนตูใหญ่ เหนี่ยนซิน เจ้าลองชั่งน้ำหนักดูเอาเถอะ”

เหนี่ยนซินเอ่ยขอบคุณคำหนึ่ง ไม่เสียเวลาอยู่ตรงหน้าประตูนี้อีก ตัวอักษรบนยันต์ทองตำราหยกนางสามารถใช้มือสาวมันออกมาได้

เฒ่าหูหนวกเอ่ยชมหนึ่งคำ “ช่างเป็นวิธีการที่ดี”

ซวงเจี้ยงลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อ “หลานชายคนดี”

เขาทำเช่นนี้ก็ช่วยให้เหนี่ยนซินได้รับโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้า แล้วก็ช่วยเฉินผิงอัน ไม่ให้เขาต้องได้รับความทุกข์ทรมานที่เกินความจำเป็นจากน้ำมือของเหนี่ยนซิน ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้คืนหนี้ในเรื่องของยันต์ทองตำราหยกนี่ได้ด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการช่วยตัวเองไปในทางอ้อม ก่อนหน้านี้เขาได้รับคำบอกอย่างลับๆ จากเฉินชิงตูแล้ว แทนที่จะเลือกเป็นศัตรูกับเฉินผิงอันในหัวใจ ก็ไม่สู้เลือกเป็นสหายที่อยู่ข้างกายของเฉินผิงอันจะดีกว่า คำชี้แนะนั้นเป็นเรื่องโกหก แค่คำขู่กลับเป็นเรื่องจริง ชัดเจนว่าต้องการให้เขาหยุดมือ ไม่ให้เล่นตุกติก หยุดวางแผนเล่นงาน หรือขุดหลุมหลอกล่อบนจิตใจของเฉินผิงอันอีก

ก่อนหน้านี้ซวงเจี้ยงไม่ได้ข่มขู่เฉินผิงอันจริงๆ เขาไปเยือนทะเลสาบหัวใจอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง ใช้เวทซานซานจิ่วโหวเป็นรากฐาน จากนั้นก็แปลงออกมาเป็นวิชายี่สิบสี่ทิศทางภูเขา ทำการค้นหามังกร จากนั้นก็เลือก ‘พื้นที่มงคล’ แห่งหนึ่ง เลือกช่องโพรงในมุมห่างไกลในฟ้าดินร่างกายมนุษย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ขุดหลุมกลมขนาดใหญ่เท่ากระจกออกมา แล้วทำการขุดดินลึกลงไป หลุมกลมมีชื่อว่า ‘บ่อทอง’ จากนั้นก็กลบทับด้วยกล่องไม้รูปร่างเหมือนหู (เครื่องตวงวัดของจีนในสมับโบราณ ปากแคบก้นใหญ่) หลุมในใจจึงเหมือนถูกปิดทับ เหมือนน้ำในบ่อที่แห้งขอด มองไม่เห็น ‘แสงตะวัน แสงจันทร์ แสงดาว’ อีก

ตามหาเส้นทางมังกร เลือกช่องโพรง ขุดดิน กลบทับด้วยกล่อง การท่องเที่ยวในแต่ละครั้งล้วนทำไปทีละหนึ่งขั้นตอน อีกทั้งยังต้องคอยหลบเลี่ยงมังกรเพลิงที่สำรวจตรวจตราไปทั่วทุกแห่งตัวนั้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจิ๋วสีทองที่ขี่มังกร พกกระบี่ ห้อยคัมภีร์ผู้นั้นที่ทุกครั้งยามเข้าไปในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน เทวบุตรมารก็ล้วนต้องคอยเล่นซ่อนแอบกับเจ้าตัวเล็กนั่น

วิธีการครั้งนี้ซุกซ่อนอำพรางไว้อย่างลึกล้ำ ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตบะและขอบเขตของเฉินผิงอันในเวลานี้ เพียงแต่ว่าหากจิตใจของบัณฑิตผู้นี้สกปรก มีมุมหนึ่งที่มองไม่เห็นแสงสว่าง ต่อให้จะเล็กน้อยแค่ไหน รอกระทั่งขอบเขตเฉินผิงอันสูงขึ้น มันก็จะใหญ่โตดุจขุนเขา หรือไม่ตอนนี้ซวงเจี้ยงก็จะทำลายบ่อทองนั่นให้เละไปอย่างสิ้นซากเสียเลย ทำให้สภาพจิตใจของเฉินผิงอันมีจุดด่างพร้อยนับแต่นี้ไป รากฐานมหามรรคาไม่ครบถ้วนอีก แล้วจะสามารถชดเชยได้หรือไม่? แน่นอนว่าได้ เพียงแต่ต้องให้เฉินผิงอันมอบบ่อทองนี้ให้เทวบุตรมารอย่างมันเอาไปใช้เป็นถ้ำสถิต ไม่เพียงสามารถชดเชยแก้ไขช่องโหว่ ยังมีประโยชน์ต่อขอบเขต กลายเป็นต้นกำเนิดแห่งมรรคกถาของผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง

ส่วนวิธีการหลอมสามขุนเขานั้น ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับซวงเจี้ยงแม้แต่น้อย เขาจะแค่เคยได้ยินมาเสียที่ไหน

เพียงแต่ว่าจนถึงตอนนี้ซวงเจี้ยงก็ยังไม่เข้าใจเรื่องหนึ่ง นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายถามชื่อของตน จนกระทั่งพูดถึงวิชาหลอมวัตถุสามขุนเขาที่ฮว่อหลงเจินเหรินถ่ายทอดให้ นี่เป็นการกระทำโดยเจตนาของเฉินผิงอันหรือไม่ เป็นเพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงความประหลาดของสถานที่แห่งนั้น เขาถึงได้ยอมฉีกหน้าแตกหักกันโดยไม่เสียดาย แล้วเรียกเฉินชิงตูมาช่วยคุมหลังให้หรือไม่

เด็กชายผมขาวอดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ “ได้แต่ทำพิธีกรรมอยู่ในเปลือกหอย ช่างพันธนาการวิชาอภินิหารอันยิ่งใหญ่ของท่านปู่อย่างข้าจริงๆ”

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันทยอยหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสี่ชิ้น บนทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่า โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนซึ่งเป็นจุดที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่ทะเล ถ้ำสวรรค์วังมังกร ห้องลับจวนหนิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่

การหลอมวัตถุห้าธาตุชิ้นสุดท้ายยังมีผู้ปกป้องมรรคาสองคนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเฉิงซาน เทวบุตรมารขอบเขตบินทะยาน ซวงเจี้ยง

ประตูบานเล็กเปิดออกช้าๆ เฉินผิงอันปรากฏตัว

เด็กชายผมขาวรีบเอ่ยประจบทันที “บรรพบุรุษอิ่นกวานมีพรสวรรค์เลิศล้ำจนถึงขั้นที่ทำให้คนขนลุกชัน หลอมวัตถุได้เร็วขนาดนี้จะไปสนเฉาสือกับมารดามันทำไม ขนาดถือรองเท้าให้บรรพบุรุษอิ่นกวานเขายังไม่คู่ควรเลย…เอ๊ะ? เหตุใดบรรพบุรุษอิ่นกวานถึงยังไม่ได้เริ่มการหล่อหลอมเสียทีล่ะ? เป็นเพราะว่าบนร่างมีโชคชะตาบู๊มากเกินไป ก็เลยยังไม่สามารถทำการหลอมได้อย่างเต็มที่? ความกลัดกลุ้มเช่นนี้ บนโลกจะมีผู้ฝึกยุทธสักกี่คนที่เข้าใจได้?”

เฒ่าหูหนวกรู้สึกว่าในเรื่องของการประจบสอพลอจนคนรู้สึกสะอิดสะเอียนนี้ แค่ต้องเรียกอีกฝ่ายไม่กี่คำว่าท่านปู่ เขาก็ไม่รู้สึกเสียเปรียบแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันกล่าว “ออกมาสูดอากาศสักหน่อย”

เฉินผิงอันเดินเล่นไปตามขั้นบันได รอบด้านล้วนมีแต่ความมืดมนตามธรรมชาติ สามารถมองไปได้ไกลแค่ไหนก็ต้องดูแค่ที่ตบะเท่านั้น

เพราะอิ่นกวานหนุ่มเดินลงไปด้านล่าง ดังนั้นเด็กชายผมขาวจึงเดินนำอยู่ด้านหน้า เดินเอียงข้าง ค้อมตัวยื่นสองมือออกไป คอยเตือนว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานว่าเวลาเดินระวังด้วย

หากเดินขึ้นบันได เด็กชายผมขาวก็จะคอยตามอยู่ด้านหลัง ยื่นมือสองข้างออกไปเช่นกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้บรรพบุรุษอิ่นกวานไม่ระวังผงะหงายลงมา

ถ้าพูดกันถึงระดับของการเป็นสุนัขรับใช้ คาดว่าสายอิ่นกวานในคฤหาสน์หลบร้อน หมี่อวี้บวกกับกู้เจี้ยนหลง เฉากุ่นสี่คน ก็ยังไม่มีใครสู้เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ได้

สำหรับการกระทำที่เหลวไหลไร้แก่นสารของเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ เฉินผิงอันไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย ปล่อยให้มันทำไปตามใจ

เฉินผิงอันยังไม่ได้หลอมเตาหลอมลาวาแห่งนั้นจริงๆ สาเหตุไม่ได้เป็นเพราะโชคชะตาบู๊ในร่าง ก่อนหน้านี้เหนี่ยนซินได้ช่วยดึงเอาเมล็ดพันธ์เปลวเพลิงสองเมล็ดออกมาจากมังกรเพลิงตัวนั้นให้แล้ว ก็คือดวงตาสองดวงของมังกรเพลิง เมื่อเทียบกับมังกรเพลิงที่คอยสำรวจตรวจตราซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้ว การที่ต้องคอยหลอมเมล็ดพันธ์เปลวเพลิงสมองเมล็ดนี้เป็นดวงตาของมังกรเพลิง เดิมทีก็เป็นวัตถุนอกกายอยู่แล้ว เมื่อเหนี่ยนซินดึงออกมาจึงไม่ทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิดของมังกรเพลิง เพียงแต่ว่าขั้นตอนการ ‘ดึงดวงตา’ นั้นค่อนข้างจะไม่คาดฝันเล็กน้อย ในฐานะคนเย็บผ้าขอบเขตหยกดิบ นางกลับไม่สามารถควบคุมมังกรเพลิงลมปราณแท้จริงที่พยศยากจะกำราบตัวนั้นเอาไว้ได้ หากคิดจะบังคับดึงดวงตาสองดวงออกมาจริงๆ คาดว่าคงต้องลงแรงครั้งใหญ่ จะทำร้ายไปถึงรากฐานร่างกายของเฉินผิงอัน คาดว่านี่ก็คือการเป็นปฏิปักษ์มาตั้งแต่กำเนิดระหว่างผู้ฝึกลมปราณกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัว

เฉินผิงอันได้แต่ปรึกษากับคนจิ๋วสีทอง ทั้งพูดดีทั้งพูดข่มขู่ ยอมถูกอีกฝ่ายด่าจนหูชา สุดท้ายฝ่ายหลังถึงได้ใช้เท้ากระทืบหัวมังกรเพลิงหนึ่งที ทำให้มันยอมหยุดนิ่งอย่างว่าง่าย แล้วปล่อยให้เหนี่ยนซินเอาของไป

มาจนถึงขั้นนี้ ทุกอย่างล้วนถือว่าราบรื่นดี ทว่ารอกระทั่งเฉินผิงอันเข้าไปในประตูบานเล็ก เริ่มโคจรคาถาเซียนเก่าแก่โบราณที่ฮว่อหลงเจินเหรินถ่ายทอดให้ ถึงได้ค้นพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน บทหลอมวัตถุที่ได้มาจากป้ายศิลาขอฝนนอกศาลเทพวารีจวนปี้โหยวกลับเหมือนคนคนหนึ่งที่ผิดหวัง จึงไปหลบซ่อนตัวแล้วตำหนิติโทษตัวเอง ก่อนจะเริ่มทำการโคจรเวทคาถาด้วยตัวเอง ชักนำให้เกิดริ้วคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนบนทะเลสาบ หากเป็นเวลาปกติ นี่ก็คือนิมิตหมายอันดีว่าการฝึกตนประสบความสำเร็จ คนและฟ้าจึงสัมผัสได้ถึงกันและกัน ถือเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่ในช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญที่ต้องหล่อหลอมวัตถุธาตุไฟ นี่กลับกลายเป็นปัญหาร้ายแรง รอกระทั่งเฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ปล่อยดวงจิตเมล็ดงาไปดูที่จวนน้ำก็เห็นว่าพวกคนจิ๋วชุดเขียวทั้งหลายกระวนกระวายไม่เป็นสุขดังคาดจริงๆ พวกมันพากันขดตัวอยู่ใต้ภาพวาดฝาผนังเซียนน้ำนมัสการนั้น เห็นได้ชัดว่าในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ของเฉินผิงอันเริ่มมีต้นกำเนิดของการช่วงชิงกันระหว่างน้ำและไฟเกิดขึ้น แล้วก็เพราะว่ามหามรรคาของเฉินผิงอันใกล้ชิดกับน้ำ แต่ต้องการเอาหัวใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับขั้นน่าเหลือเชื่อมาหลอมเป็นวัตถุธาตุไฟ การช่วงชิงกันระหว่างไฟและน้ำครั้งนี้จึงเด่นชัดที่สุด ก่อนหน้านี้มีจวนน้ำก่อน แล้วค่อยหลอมศาลภูเขา เนื่องจากภูเขากับสายน้ำแอบอิงกัน จึงเป็นประโยชน์ต่อขั้นตอนของการหล่อหลอม จากนั้นพอหลอมวัตถุธาตุไม้ ทั้งน้ำและดินล้วนช่วยเหลือกันและกัน ภาพบรรยากาศในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์จึงไม่มีการกระชากถ่วงรั้งใดๆ แก่กัน

หลังจากนั้นไม่ว่าเฉินผิงอันจะพยายามสยบภาพบรรยากาศในจวนน้ำของทะเลสาบหัวใจอย่างไร ประสิทธิผลที่ได้ก็น้อยนิดยิ่งนัก

เฉินผิงอันยืนอยู่นอกกรงขังแห่งหนึ่ง ด้านในพันธนาการเผ่าปีศาจขอบเขตก่อกำเนิดตนหนึ่งเอาไว้ มีนามว่าหวงเฮ้อ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือ ‘หลินหลี’ ร่างจริงคือแมงป่องตัวหนึ่ง ตามบันทึกที่มีอยู่ใน ‘ภาพค้นภูเขา’ ถือเป็นเผ่าพันธุ์ของแมลงสาบ

เฉินผิงอันมักจะมายืนอยู่ที่นี่เป็นประจำโดยที่ไม่เอ่ยอะไร ส่วนหวงเฮ้อก็เอาแต่ตั้งใจหล่อเลี้ยงกระบี่บิน แล้วก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็นคนหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้น

เฉินผิงอันเปิดปากเอ่ยถาม “มีเวทคาถาในการสยบกำราบหรือไม่? ร่ายเวทผนึกภูเขาแล้วปิดประตูของจวนน้ำน่ะ”

เด็กชายผมขาวทำหน้าม่อยเหมือนจะร้องไห้ “บรรพบุรุษอิ่นกวาน เรื่องของลำดับอาวุโสก็คือลำดับอาวุโส ค้าขายส่วนค้าขาย เวลานี้พวกเราสองคนต่างก็สะบั้นความเกี่ยวข้องทั้งหมดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาเอาเปรียบข้าอีกเลย”

เฉินผิงอันเอ่ย “ทำไมถึงไม่ทำการค้าล่ะ นับแต่ตอนนี้ไปพวกเราก็จะเริ่มทำการค้ากันอย่างแท้จริงแล้ว ขอแค่เจ้าให้มากพอก็จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เจ้าสาบานไปก็ไร้ประโยชน์ แต่หากข้าสาบานกลับเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะไปขอร้องเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอง แต่ก็มีเส้นขีดจำกัดเหมือนกัน เจ้าต้องไปเล่นงานคนอื่น ข้าบอกกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอาไว้แล้ว หากเจ้ายังหันมาแว้งกัดข้าอีก ก็จะฟันเจ้าให้ตายด้วยกระบี่เดียว”