เด็กชายผมขาวเอ่ยถาม “เจ้ายินดีจะเปลี่ยนความตั้งใจเดิม ปล่อยให้ข้าออกไปจากคุกแห่งนี้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องราวมีแบ่งก่อนหลัง เจ้าวางแผนเล่นงานข้าก่อน คิดจะช่วงชิงเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าไป ละโมบอยากได้ผลกรรมที่พัวพันและโชควาสนาบางส่วนของข้า เพื่อที่เจ้าจะได้อำพรางตนอย่างลึกล้ำมากขึ้น หากทำสำเร็จไม่แน่ว่าแม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังยากจะสังหารเจ้าได้อย่างสิ้นซาก ช่วงชิงเอาผลประโยชน์ไปหมดสิ้น แล้วเหตุใดข้าถึงต้องปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดออกไปจากคุกด้วย คิดว่าข้าเป็นปู่แท้ๆ เป็นบรรพบุรุษแท้ๆ ของเจ้าจริงๆ หรือ? หากเป็นบรรพบุรุษของเจ้าแล้วเจ้ามีพฤติกรรมเช่นนี้ ลูกหลานอกตัญญู ป่านนี้ก็คงกำจัดญาติเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่ไปแล้ว”
เด็กชายผมขาวเบ้ปาก เอ่ยว่า “เจ้าเองก็คิดจะเอาข้ามาปูทางให้ตัวเอง ให้ข้าเล่าเรื่องกฎเกณฑ์วงในของใต้หล้ามืดสลัวให้เจ้าฟังมากๆ หน่อย เป็นการเตรียมพร้อมในการถามกระบี่แก่ป๋ายอวี้จิงในอนาคตยามที่เจ้าไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวไม่ใช่หรือ”
“ข้าเคยบอกว่าไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางลูบหัวเด็กชายผมขาว “ทำไมไม่เรียกบรรพบุรุษแล้วเล่า”
เทวบุตรมารเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ได้เลย ท่านบรรพบุรุษ!”
เฉินผิงอันเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด ร่างเทวบุตรมารถูกต่อยให้แหลกสลาย จากนั้นก็ไปรวมตัวเป็นร่างคนอยู่ในจุดอื่น ต่างหูงูเขียว สวมชุดคลุมอาคม กระโดดโลดเต้นกลับมาตลอดทาง เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “หมัดนี้ของบรรพบุรุษอิ่นกวานเผยมาดของขอบเขตเดินทางไกลอย่างเต็มเปี่ยมเลย!”
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือเบาๆ เลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลแล้วก็แข็งแกร่งกว่าขอบเขตร่างทองอยู่มาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้เฉาสือผู้นั้นมีขอบเขตใดแล้ว
เด็กชายผมขาวยิ้มตาหยีเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า “คาถาหลอมวัตถุ ในมือของบรรพบุรุษอิ่นกวานมีคาถาเซียนอยู่สองอย่าง ทั้งสองฝ่ายต่างก็บอกว่าสามารถหลอมหมื่นวัตถุได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้คาถาหลอมคาถาสิ?”
เฉินผิงอันคิดตาม สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “หากจำเป็นต้องทิ้งหนึ่งเก็บหนึ่งก็ยากที่จะตัดสินใจได้จริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่หลังจากหลอมคาถาบทหนึ่งแล้ว สุดท้ายจะเป็นทัศนียภาพอย่างไร ในใจข้าก็ไม่มั่นใจเอาเสียเลย นอกจากนี้ขั้นตอนนี้ก็มีเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ระดับขั้นของคาถาเซียนทั้งสองบทสูงเกินไป ในฐานะผู้ฝึกลมปราณ ขอบเขตของข้าต่ำเกินไป ดังนั้นเจ้าสามารถบอกความคิดที่แท้จริงของเจ้ามาได้ การค้าครั้งแรกนี้จะคิดเงินกันอย่างไร มาลองคิดกันดูดีไหม?”
เด็กชายผมขาวยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วเอ่ยว่า “อันที่จริงเป็นครั้งที่สองแล้ว อีกไม่นานเหนี่ยนซินก็จะมาหาเจ้า”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อันนี้ไม่ถือว่าเป็นการค้าขาย ต้องถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปจากการที่บรรพบุรุษรับเจ้ากลับเข้าวงศ์ตระกูล”
เด็กชายผมขาวเองก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ กลอกตาไปมา แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “มีเหตุผลอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าไปแล้วว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ปรึกษากันไม่ได้ เป็นเจ้าที่ไม่เชื่อเอง”
เด็กชายผมขาวพูดอย่างจริงใจ “จะดีจะชั่วก็เป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ตัวลอยได้ง่ายนี่นะ”
ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่อยู่คอขวดก่อกำเนิดผู้นั้นไม่บำรุงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกต่อไป ลืมตามองบรรพบุรุษกับหลานที่ ‘พูดคุยกันอย่างกลมเกลียว’ อยู่นอกราวรั้วแสงกระบี่ ในใจหวงเฮ้อพลันเกิดความคิดหนึ่ง หากคนหนุ่มของใต้หล้าไพศาลล้วนชั่วร้ายเช่นนี้ เผ่าปีศาจของพวกเขาก็อย่าไปเสียเวลาที่นั่นเลยจะดีกว่า อ่านตำรารู้จักตัวอักษร หัวจิตหัวใจล้วนถูกหมึกดำแทรกซึมไปหมดแล้ว ความคิดจิตใจถึงได้ดำมืดไปหมด
หลังออกมาจากกรงขังแห่งนั้น เด็กชายผมขาวก็รู้แล้วว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้มาหยุดอยู่ที่นั่นนานขนาดนั้น เพียงแต่มันเคยเห็นภาพสองภาพในหัวใจของคนหนุ่มมาก่อน จึงไม่กล้าเล่นตลกกับเรื่องแบบนี้
เฉินผิงอันถาม “เกี่ยวกับห้าพิษ ใต้หล้ามืดสลัวมีประเพณีของชาวบ้านอยู่บ้างหรือไม่?”
ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับ “เยอะจะตายไป ยกตัวอย่างเช่นพวกชาวบ้านจะเอากระดาษหลากสีมาตัดเป็นรูปน้ำเต้าน้อยห้าสี แล้วติดกลับหัวไว้บนประตู มีชื่อว่าน้ำเต้าพลิกภัย ส่วนทางฝั่งที่ว่าการของทางการก็จะมีขุนนางน้ำใสที่ได้รับการรับรองเปลี่ยนมาสวมชุดขุนนางที่เป็นชุดคลุมอาคมซึ่งทางลัทธิเต๋ามอบให้โดยเฉพาะ บนชุดปักภาพห้าพิษ จากนั้นก็จะไปยังจุดที่พวกชาวบ้านในเขตการปกครองตักน้ำกัน แล้วโยนยันต์ฝนธัญพืชลงไปหลายๆ แผ่น”
เฉินผิงอันเอ่ย “ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป บนภูเขาล่างภูเขาก็มีความเคยชินในการแปะเทียบฝนธัญพืชเช่นกัน ตระกูลคนรวย หากมีเทียบที่เขียนด้วยลายมือเทพเซียนมาแปะไว้หน้าประตูก็จะเป็นเรื่องที่ควรค่าให้เอามาโอ้อวดอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากการที่แขวนกรอบป้ายเหนือห้องโถงหลักเลย”
ซวงเจี้ยงกล่าว “ขอบเขตสูงแล้ว บางทีอาจจะมีความกังวลอย่างใหม่พุ่งเข้ามาหาติดต่อกัน แต่มีดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ขอบเขตของผู้ฝึกตนสามารถกำจัดปัญหามากมายไปได้จริงๆ พอขอบเขตสูง ปัญหายุ่งยากหลายอย่างย่อมถอยร่นสลายหายไปเอง ความโชคดีมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ แขกชั่วร้ายก็จากไปเองโดยไม่ต้องด่าไล่”
เฉินผิงอันพยักหน้าคล้ายคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “เป็นคำพูดภาษาคน ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
ซวงเจี้ยงกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้า พูดสะอึกสะอื้นว่า “ท่านบรรพบุรุษเอ่ยเช่นนี้ช่างชวนให้คนซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
เหนี่ยนซินตามมาหาอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา ไม่จำเป็นต้องเขินอาย
นางไม่ใช่เฉินผิงอันผู้นั้นสักหน่อย เป็นบุรุษตัวโตจะเขินอายอะไรนักหนา อิดออดราวกับสตรีอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันรู้สึกสนใจเป็นทบทวี ตัดสินใจแล้วว่าจะคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง
ชุดถ้ำเซียนสวรรค์ชุดหนึ่งที่ขนาดอยู่ในใต้หล้าไพศาลยังมีจำนวนจำกัด เหนี่ยนซินจะใช้วิชาอภินิหารในการเย็บผ้าค่อยๆ แกะเส้นด้ายแนวตั้งแนวนอนที่ตัดสลับถักทอกันมากถึงสามหมื่นหกพันเส้นออกมาทีละเส้น ลำพังเพียงแค่ขั้นตอนนี้ก็เป็นการ ‘พิศมรรคา’ ที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครองแล้ว
เหนี่ยนซินเรียกยันต์ทองตำราหยกออกมาก่อน แล้วเอ่ยว่า “เดิมทีจะรอให้เจ้าฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จก่อน ให้เจ้าได้เจอกับความทุกข์ทรมานเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นค่อยช่วยสร้างห้องหัวใจให้เจ้า”
นางพลันเอ่ยว่า “เจ้ายังมีกระดาษยันต์ที่ระดับขั้นค่อนข้างสูงอีกหรือไม่? ไม่อย่างนั้นคงแบกรับตัวอักษรพวกนี้ไม่ไหว หากระดับขั้นไม่ได้เรื่องก็ต้องทับซ้อนเข้าด้วยกัน แล้วยังไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ด้วย”
เฉินผิงอันหยิบเอากระดาษยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
เด็กชายผมขาวหลุบเปลือกตาลงต่ำเล็กน้อย
เหนี่ยนซินพยักหน้า บอกให้เฉินผิงอันเอากระดาษยันต์วางไว้ข้างยันต์ทองตำราหยก
นางหยิบเอา ‘เส้นเอ็นหลิว’ มีดอาคมที่ถูกหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นออกมาแล้วเริ่มดึงตัวอักษรจากยันต์ทองตำราหยกออกมาทีละตัว มองดูเหมือนมีดธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วคมมีดกลับเล็กบางมาก
หลังจากที่ตัวอักษรทุกตัวออกมาจากตำรา เหนี่ยนซินก็จะรีบใช้ปลายมีดตวัดขึ้นแล้วโยนไปไว้บนยันต์กระดาษเขียว เมื่อตัวอักษรหล่นลงบนกระดาษก็จะฝังเลื่อมเข้าไปในกระดาษยันต์ทันที ทำให้ยันต์ยุบลงไปเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ถึงขั้นกดให้กระดาษยันต์ขาด
สุดท้ายเหนี่ยนซินหน้าซีดขาว เรือนกายด้านล่างนับตั้งแต่ศีรษะลงไป อวัยวะภายในทั้งหมดปั่นป่วนกดทับกันเอง เลือดโชกไหลเปรอะ คล้ายบ่อโคลนเละๆ บ่อหนึ่ง
เหนี่ยนซินเปิดถุงผ้าออก หยิบเอายาสีแดงสดจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหลอมอย่างไรออกมาโยนใส่ปากกำใหญ่ เคี้ยวกร้วมๆ แล้วกลืนลงท้อง
เฉินผิงอันพับยันต์แผ่นนั้น ยันต์อยู่ในมือมีน้ำหนักมาก เขาจึงเก็บมันเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็กุมหมัดขอบคุณด้วยท่าทางหนักแน่นจริงจัง
เหนี่ยนซินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
รากฐานได้รับความเสียหายอย่างหนักจนถึงขั้นทำให้สตรีที่เป็นขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งร่างเริ่มโงนเงน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หัวคิ้วของนางกลับไม่เคยขมวดเข้าหากันแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันรู้สึกว่าอันที่จริงเหนี่ยนซินสามารถหันไปฝึกวรยุทธได้
ถูกคนอื่นสลักมีดลงบนร่าง ยังคงยืนตระหง่านไม่เคลื่อนไหว กับการหยิบมีดมาแกะสลักลงบนร่างของตัวเอง แต่กลับยังแน่นิ่งไม่ขยับ คือขอบเขตสองอย่างที่แตกต่างกัน
เหนี่ยนซินมองไปทางเด็กชายผมขาว
เด็กชายผมขาวไม่ได้เปลี่ยนร่างเป็นร่างจริงของ ‘ซวงเจี้ยงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน’ แต่ชำเลืองตามองบรรพบุรุษอิ่นกวานที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็ทำคอย่น ยื่นสองนิ้วออกมาจับมุมหนึ่งแล้วดึงช้าๆ ทันใดนั้นประกายแสงพลันพร่างพราว แสงเรืองรองสว่างไกลเป็นหมื่นจั้ง ชุดคลุมอาคมลัทธิเต๋าตัวนั้นค่อยๆ ปรากฏออกมา เด็กชายผมขาวพลันกระชากมันอย่างแรง ถือชุดคลุมอาคมไว้มือ ชุดคลุมอาคมที่เป็นมายาเลื่อนลอยชิ้นหนึ่งมีประกายแสงไหลรินเหมือนน้ำตก ดุจเมฆอันเต็มไปด้วยแสงเรืองรองที่ลอยขึ้นช้าๆ
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “กายธรรมเป็นของปลอม ชุดคลุมลัทธิเต๋าก็เป็นของปลอม แต่เหตุใดถึงได้ดูเหมือนจริงขนาดนี้?”
ดวงตาของเหนี่ยนซินฉายประกายร้อนแรง รู้สึกเพียงว่าเฉินผิงอันช่างไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเอาเสียเลย จึงเอ่ยว่า “ปณิธานเต๋าที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ยามที่เผยกายบนโลกก็แทบจะเป็นการแสดงออกของมหามรรคาแล้ว เอาอะไรมาพูดว่าจริงหรือเท็จ”
เฉินผิงอันได้เปิดโลกกว้างครั้งใหม่ ชุดคลุมอาคมจินหลี่ของตนตัวนั้น แม้จะอาศัยเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ‘ป้อน’ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง กระทั่งระดับขั้นขยับไปถึงอาวุธเซียน แต่ย่อมไม่มีความลี้ลับมหัศจรรย์เช่นนี้แน่นอน
เด็กชายผมขาวเอ่ยอย่างเดือดดาล “นังหนู เจ้าพูดแบบนี้กับท่านบรรพบุรุษของข้าได้อย่างไร?! หัดมีความเคาพให้ท่านปู่ของเจ้าบ้าง!”
เหนี่ยนซินตอบแทนด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ชำเลืองตามองเฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงมองเด็กชายผมขาว เด็กชายผมขาวเหลียวซ้ายแลขวา หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เหนี่ยนซินรับชุดคลุมอาคมที่พอเข้ามาอยู่ในมือแล้วเบามาก แทบไม่มีน้ำหนักใดๆ เลย นางแบฝ่ามือออก เอามืออีกข้างค่อยๆ ลูบอย่างละเอียดละออ สีหน้าเหมือนผีขี้เหล้าที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับการดื่มเหล้า เหมือนชายมีรักที่ลูบไล้ผิวพรรณของคนรัก
เฉินผิงอันรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นคำพูดทะลึ่งของเซียนกระบี่เซี่ยซงฮวาก่อนหน้านี้ หรือสายตาที่เหนี่ยนซินใช้มองของที่ตัวเองรักชอบในตอนนี้ ล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกยากจะรับมือได้ทั้งสิ้น
เด็กชายผมขาวบอกเรื่องตราผนึกหนาชั้นของชุดคลุมอาคมนี้ให้เหนี่ยนซินทราบ นางนั่งลง วางชุดคลุมอาคมไว้บนเข่าสองข้างเบาๆ เรียกเอาเข็มเย็บผ้าที่เป็นวัตถุแห่งชะชาชีวิตสิบเล่มออกมา แล้วสิบนิ้วก็ร่วมแรงกันดึงด้ายเส้นหนึ่งขึ้นมา หลังจากค่อยๆ สาวด้ายออกมาแล้วก็พันกันให้เป็นก้อนด้าย เอาวางไว้ที่ข้างเท้า
ลำพังแค่สาวด้ายเส้นเดียวก็เสียเวลาไปถึงหนึ่งก้านธูปเต็มๆ
ดูเหมือนจิตวิญญาณของเหนี่ยนซินจะถูกเผาผลาญไปมาก นางจึงหลับตาลง ค่อยๆ พ่นลมหายใจเข้าออก
ระหว่างนี้มีความผิดพลาดในการดึงเข็มที่เล็กน้อยอย่างยิ่งเกิดขึ้น แต่กลับไปชักนำตราผนึกหนาชั้นจำนวนมาก ตะวันจันทราดาราและหมื่นสรรพสิ่งแห่งขุนเขาสายน้ำบนชุดคลุมเต๋าพากันเปลี่ยนสีสัน สุดท้ายชุดคลุมอาคมตัวนั้นถึงขั้นสวมครอบลงมาบนร่างของเหนี่ยนซินด้วยตัวเอง จิตวิญญาณของเหนี่ยนซินสะท้านไหว ร่างทั้งร่างเหมือนถูกโยนเข้าไปในฟ้าดินอันเป็นพื้นที่ต้องห้าม ซวงเจี้ยงรีบบังคับชุดคลุมอาคมให้ออกมาจากร่างของเหนี่ยนซิน นี่แสดงให้เห็นถึงความอันตรายได้แล้ว เหนี่ยนซินถ่มเลือดสดเหนียวๆ ออกมาคำหนึ่ง แล้วเก็บเลือดนั้นใส่ไว้ในถุงผ้า
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันได มองดูอยู่ชั่วยามหนึ่งถึงได้ลุกขึ้นจากไปเงียบๆ
ก่อนหน้านี้เขาเหมือนชาวบ้านธรรมดาที่มองดูสตรีเย็บผ้าอยู่ใต้แสงตะเกียง
เด็กชายผมขาวใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “ไม่จำเป็นต้องให้จวนน้ำปิดประตูแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีความจำเป็น จิตใจสงบแล้ว”
เด็กชายผมขาวไม่ได้ติดตามมาด้วยอย่างที่หาได้ยาก เขานั่งเอาสองมือเท้าแก้มจ้องมองการเย็บปักของเหนี่ยนซิน พลางเอ่ยเบาๆ ว่า “หากนี่เป็นของจริง เจ้าลงมือสนเข็มจะไปกระตุ้นตราผนึก หากไม่มีคนคอยช่วยถอดเสื้อให้เจ้า เจ้าอาจต้องตาย”
เหนี่ยนซินมีสมาธิไม่วอกแวก เพียงแค่ฟังเป็นลมที่พัดผ่านข้างหู
ก้อนด้ายข้างฝ่าเท้ามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ วางกองไว้รวมกันจึงเหมือนดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ขนาดจิ๋วหลายดวงที่แอบอิงกัน
เด็กชายผมขาวพลันเอ่ยว่า “เหนี่ยนซิน ทำไมทั้งๆ ที่เจ้าอยากมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่กลัวตายเลยสักนิด ไม่พูดถึงเฒ่าหูหนวกที่รักตัวกลัวตาย ต่อให้เป็นสิงกวานที่จิตใจสงบไร้อารมณ์ความรู้สึกก็ยังกลัวตายเหมือนกัน ในสายตาของข้า ในบรรดาคนที่อยู่ในคุกแห่งนี้ก็มีสภาพจิตใจของเจ้านี่แหละที่ใกล้เคียงกับของเฉินชิงตูที่สุด”
เหนี่ยนซินดึงเอาเส้นแนวตั้งเส้นหนึ่งที่ลอดทะลุขุนเขาสายน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนบนชุดคลุมอาคมออกมา คิดว่าจะพักสักครู่ จึงเอ่ยตอบว่า “ชีวิตมีเรื่องให้อาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่ถึงขั้นห่วงพะวงมากเกินไป หากตายไปก็น่าเสียดาย แต่กลับไม่ได้มีความเสียใจอะไรมากนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก”
เด็กชายผมขาวเอ่ย “ก็แค่ว่าคุณสมบัติก่อนกำเนิดของเจ้าแย่ไปสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงมีความหวังบนมหามรรคา เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็นับว่ามีความหวังสูงมาก”
เห็นว่าเหนี่ยนซินไม่มีท่าทีจะพูดคุยด้วย เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าที่ใต้หล้ามืดสลัวมีอุโมงค์หลิวหลี? ต่อให้เจ้าจะไม่หวังให้ตัวเองมีรูปโฉมงดงาม ไม่ต้องการเปลี่ยนเนื้อหนังมังสา แต่ก็สามารถเพิ่มตบะได้บางส่วน”
เหนี่ยนซินเอ่ย “แค่เคยได้ยินว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีถ้ำจิ้งจอก”
เด็กชายผมขาวรู้สึกจนใจเล็กน้อย คำพูดเสียดสีของเหนี่ยนซินง่ายที่จะทำให้บทสนทนาจบลงจริงๆ
และเวลานี้เอง เด็กชายผมขาวก็ขมวดคิ้วขึ้นมาก่อน เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่หาได้ยาก
เหนี่ยนซินที่เพิ่งจะร้อยเข็มก็หยุดชะงักเช่นกัน
มีคนผลักประตูเดินออกมา เสียงเต้นของหัวใจเขาดังเหมือนพลานุภาพยามเทพตีกลองสายฟ้า
ทุกครั้งที่หัวใจตีดังดุจรัวกลอง ฟ้าดินขนาดเล็กของคุกก็พากันโยกไหวสั่นคลอนตามไปด้วย
……
คฤหาสน์หลบร้อนได้รับกระบี่บินส่งจดหมายหนึ่งเล่ม
เซียนกระบี่โฉวเหมียวมอบจดหมายลับให้แก่ซ่งเกาหยวน จดหมายนี้มาจากตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัว บนจดหมายมีแค่ตราประทับดอกไม้ ไม่มีการลงนาม ไม่อาจยืนยันสถานะของเจ้าของตราประทับลายดอกไม้นี้ได้
ซ่งเกาหยวนกำลังดูสนามรบจุดหนึ่งบนม้วนภาพพร้อมกับเสวียนเซิน พออ่านจดหมายลับฉบับนั้นจบก็ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
ผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานในทุกวันนี้ผ่อนคลายกว่าเก่าเยอะมาก ขอแค่อยากไปเข่นฆ่าที่หัวกำแพงเมืองก็ไม่จำเป็นต้องผลัดกันไปทีละสามคนตามกฎเดิมอีกแล้ว จะไปคนเดียวก็ดี หรือจะจับกลุ่มกันสามคนห้าคนก็ช่าง อยากไปก็ไป ตอนนี้ผู้ฝึกกระบี่หญิงสามคนอย่างต่งปู้เต๋อ กวอจู๋จิ่วและหลัวเจินอี้จับกลุ่มกันออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อน นอกจากนี้แล้ว พวกสวีหนิง กู้เจี้ยนหลงและเฉากุ่นก็พากันขี่กระบี่รุดหน้าไปเช่นกัน
โฉวเหมียวยิ้มกล่าว “ลังเลอะไร ลองทำแบบหลินจวินปี้ดูสิ”
ซ่งเกาหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าจะส่งจดหมายตอบกลับตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัวเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการรอให้เซียนกระบี่เซี่ยจื้อถอยออกมาจากสนามรบเสียก่อน แล้วค่อยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวพร้อมกับผู้อาวุโสท่านนี้”
โฉวเหมียวถาม “จะทิ้งให้ผู้อาวุโสในสำนักของเจ้าต้องรออยู่ที่ภูเขาห้อยหัวแบบนี้น่ะหรือ? ไม่เหมาะกระมัง”
ซ่งเกาหยวนเอ่ย “บรรพจารย์หรงกวานไม่ถือสาหรอก เดิมทีนางก็อยากมาเที่ยวที่ภูเขาห้อยหัวอยู่แล้ว”
โฉวเหมียวเลยปล่อยตามใจเขา
วันต่อมาพวกผู้ฝึกกระบี่สามคนกลุ่มของต่งปู้เต๋อก็หวนกลับมาที่คฤหาสน์หลบร้อนด้วยกัน หลัวเจินอี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงบอกกับซ่งเกาหยวนว่านางเคยเดินสวนไหล่กับเซียนกระบี่เซี่ยจื้อบนสนามรบ อีกฝ่ายบอกให้นางนำความมาบอกซ่งเกาหยวนว่าไม่ต้องรอเขา
ผังหยวนจี้ลุกขึ้นยืน เดินก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูออกไป ก่อนจะขี่กระบี่ไปยังหัวกำแพงเมืองได้เอ่ยว่า “ซ่งเกาหยวน ข้าคงไม่ไปส่งเจ้าแล้ว”