วันนี้ซ่งเกาหยวนจะออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อน ก่อนจะจากไป โฉวเหมียวยื่นห่อสัมภาระใบหนึ่งให้แก่ผู้ฝึกตนของตำหนักเขากวางคนนี้ บอกว่าใต้เท้าอิ่นกวานเป็นคนมอบให้
ซ่งเกาหยวนสะพายห่อสัมภาระเอียงๆ ไว้บนบ่า เดินข้ามประตูใหญ่ไปถึงภูเขาห้อยหัวเพียงลำพัง เขาไปที่ตำหนักสุ่ยจิงก็ได้เจอกับบรรพจารย์หญิงของสำนักตนอย่างบรรพจารย์หรงกวาน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเจอบรรพจารย์ของตนก็ไม่สนใจว่าข้างกายบรรพจารย์หรงกวานยังมีเซียนซือหญิงจากสำนักอวี่หลงอยู่อีกหลายคน คนหนุ่มดวงตาแดงก่ำ พูดเสียงสั่นว่า “คนตายไปตั้งหลายคน ผู้อาวุโสเซี่ยจื้อก็ไม่คิดจะกลับบ้านเกิดแล้ว”
บรรพจารย์หรงกวานถอนหายใจหนึ่งที ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเด็กรุ่นหลังผู้นี้อย่างไร
เสวียนเซินผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มจากเกราะทองทวีป วันนี้ก็เดินข้ามผ่านประตูใหญ่มาพร้อมกับซ่งพิ่นเซียนกระบี่หญิงที่สะพายกระบี่เล่มยาว มาที่ภูเขาห้อยหัวแล้วตรงไปที่ท่าเรือทันที
ปราณสังหารปราณดุร้ายทั่วร่างของซ่งพิ่นเข้มข้นอย่างมาก ราวกับว่าจิตใจยังไม่ได้ออกมาจากสนามรบแห่งนั้นอย่างแท้จริง
คนที่ติดตามพวกเขามายังมีเด็กหญิงตัวน้อยอีกสองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่ตีหน้าเคร่งนั้นชื่อซุนจ่าว พี่สาวของนางอย่างซุนฉวีกำลังเรียนวรยุทธ ไม่เหมือนกับซุนจ่าว เด็กคนที่กวาดตามองไปรอบด้านไม่หยุดนิ่งคนนั้นชื่อจินหลวน
พวกนางต่างก็ติดตามเซียนกระบี่ซ่งพิ่นไปฝึกตน พอไปถึงสำนักของซ่งพิ่นก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการของศาลบรรพจารย์
คนทั้งกลุ่มไปถึงท่าเรือของหน้าผาหมีลู่แล้วก็จะโดยสารเรือข้ามทวีปลำหนึ่งไปยังฝูเหยาทวีป
ซ่งพิ่น เสวียนเซินสองคนกลับบ้านเกิด ส่วนเด็กสองคนนี้กลับต้องห่างบ้านเกิดไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้
เซียนกระบี่หญิงแค่ซื้อป้ายหยกขึ้นเรือสองแผ่นที่ท่าเรือ รอกระทั่งขึ้นเรือมาแล้วผู้ฝึกลมปราณที่ตรวจสอบการขึ้นลงเรือจึงถามว่าเหตุใดถึงได้ไม่มีป้ายหยกของแม่นางน้อยสองคน แบบนี้ไม่ถูกกฎ
แน่นอนว่าเขาต้องรู้จักเซียนกระบี่ซ่งพิ่น เขาไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย สตรีที่หน้าตางดงามล่มบ้านล่มเมืองเช่นนี้ อีกทั้งยังสะพายกระบี่ยาว ‘ฝูเหยา’ ที่เล่าลือกันว่าซุกซ่อนโชควาสนาของกระบี่ในหนึ่งทวีปเอาไว้มากมาย ผู้ฝึกตนของฝูเหยาทวี เกราะทองทวีป แค่เห็นก็ต้องจำอีกฝ่ายได้แล้ว
ซ่งพิ่นเอ่ย “ให้หน้าพวกเจ้าแล้วก็รับไว้ให้ดี”
เสวียนเซินสีหน้าเป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าประโยคนี้ของผู้อาวุโสซ่งพิ่นพูดได้สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอย่างยิ่ง
สุดท้ายผู้ดูแลเรือก็รีบรุดมาหา เปิดทางให้คนทั้งสี่ขึ้นเรือด้วยตัวเอง
จินหลวนอ้าปากค้างเล็กน้อย เวลานี้แม่นางน้อยยังมึนงงอยู่เล็กน้อย เวลาที่เซียนกระบี่ซ่งพิ่นอยู่กับพวกนางไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนะ ใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงอ่อนโยน นิสัยดีสุดๆ ไปเลย
ฝ่ายของเรือข้ามฟากหาห้องมาให้พวกเขาสองสามห้อง ซ่งพิ่นจึงพาแม่นางน้อยสองคนไปที่หอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็คือทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาลแล้ว”
จินหลวนเอ่ยเสียงเบา “ปราณกระบี่น้อยเกินไป”
ซุนจ่าวกลอกตามองบน “พูดเหลวไหล จะเปรียบเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราได้อย่างไรกัน?”
จินหลวนไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ไม่ใช่ว่านางกลัวซุนจ่าว หลักๆ แล้วเป็นเพราะยังนึกอยากจะฟังเรื่องเล่าแห่งขุนเขาสายน้ำที่แปลกประหลาดพวกนั้นจากซุนจ่าวอีก
ซ่งพิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องรีบปรับตัวให้ทัน รอกระทั่งไปถึงสำนักที่เกราะทองทวีปแล้ว อาจารย์จะช่วยพวกเจ้าเก็บยอดเขาที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นไว้สองแห่ง กระทั่งเลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองก็จะสามารถจัดพิธีเปิดขุนเขาได้อย่างเป็นทางการ จากนั้นพวกมันก็จะกลายมาเป็นจวนของพวกเจ้าเองแล้ว นับตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นไป พวกเจ้าถึงจะถือว่าปักหลักหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างแท้จริง”
บนระเบียงชมทัศนียภาพของห้องที่อยู่ติดกัน ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งยื่นมือออกมาโบกเบาๆ ทักทายแม่นางน้อยสองคน
จินหลวนเขย่งปลายเท้า คลี่ยิ้มเจิดจ้า “พี่เสวียนเซิน”
เสวียนเซินทำหน้าผีใส่
ซุนจ่าวพลันรู้สึกเสียใจ กระตุกชายแขนเสื้อของเซียนกระบี่หญิงเบาๆ พูดเสียงสะอื้น “อาจารย์ ข้าคิดถึงบ้านแล้ว”
ซ่งพิ่นกุมมือของแม่นางน้อย เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “วันหน้านอกจากอาจารย์แล้วก็ห้ามพูดแบบนี้กับใครอีก”
ซุนจ่าวไม่เข้าใจ ได้แต่รีบเช็ดน้ำตา พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่ง ผู้เฒ่าร่างผอมสูงใบหน้าแห้งตอบเดินข้ามผ่านประตูใหญ่มาแล้วก็รีบหยุดยืนนิ่ง หลับตาลง แหงนหน้าสูดจมูก ก่อนจะหัวเราะหึหึ “ไม่ได้กลิ่นนี้มานานแล้ว”
ก็คือผูเหอเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ เพียงแต่ว่าตอนนี้ขอบเขตถดถอยมาอยู่ก่อกำเนิด ต่อให้จะสวมชุดคลุมอาคมก็ยังยากจะปิดบังกลิ่นคาวเลือดบนร่างของเขาได้
คนที่เข้ามาในภูเขาห้อยหัวพร้อมกับผูเหอยังมีเฉากุ่น รวมไปถึงเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ตอนที่เฉากุ่นได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวาน เขาเพิ่งจะเป็นขอบเขตประตูมังกร แต่ตอนนี้กลับเป็นโอสถทองแล้ว
เด็กหนุ่มเด็กสาวที่ผูเหอพามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เด็กหนุ่มเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต คุณสมบัติของเขาเมื่ออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ถือว่าโดดเด่น ไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ใดๆ
แต่กลับถูกใจผูเหออย่างมาก
ส่วนเด็กสาวที่เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้นก็ยิ่งมีคุณสมบัติดีกว่า แต่ผูเหอกลับคิดว่าจะยกนางให้สหายรักบนภูเขาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา ในฐานะเซียนกระบี่ของหลิวเสียทวีปที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหาร จะไม่มีสาวงามคนรู้ใจเลยได้อย่างไร ต่อให้อีกฝ่ายจะมีขอบเขตสูงกว่าตนหนึ่งขั้น ต่อให้นางจะยังมีรูปโฉมเป็นเด็กสาว แต่ยามเห็นหน้ากันก็ยังเรียกตนว่าพี่ใหญ่ผูอย่างเคยอยู่ทุกครั้ง
เด็กหนุ่มบ่นขึ้นมาว่า “ตาเฒ่าผู เมื่อไหร่ท่านถึงจะกลับไปเป็นเซียนกระบี่สักทีล่ะ ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์อย่างข้าก็ขายหน้าแย่น่ะสิ”
ผูเหอหลุดหัวเราะพรืด “รับขอบเขตถ้ำสถิตอย่างเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ เจ้าคิดว่าข้าผู้อาวุโสมีหน้ามีตามากนักหรือ? รู้หรือไม่ว่ายามอยู่ในงานเลี้ยงสุราที่หลิวเสียทวีป ผู้ฝึกตนโอสถทองยังไม่มีคุณสมบัติมานั่งร่วมโต๊ะกับข้าผู้อาวุโสด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนคีบกับแกล้มดื่มเหล้า?”
เฉากุ่นที่อยู่ด้านข้างไม่เอ่ยอะไร เพราะสิ่งที่เซียนกระบี่ผูเหอพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ขอแค่เป็นเซียนดินโอสถทองที่พอจะมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีอยู่บ้างก็มักจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงที่มีผูเหออยู่ด้วย แต่คนที่ยินดีไปกลับมีมากยิ่งกว่า
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเดือดดาล “ท่านเลิกเรียกตัวเองคำก็ผู้อาวุโสสองคำก็ผู้อาวุโสเสียทีเถอะ”
ผูเหอไม่โกรธกลับยังขำ “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของข้าผูเหอ เวลาไม่ดื่มเหล้าพูดจาเหมือนคนเมามาย พอดื่มเหล้าแล้ว พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็จะออกกระบี่ คนทั้งทวีปต้องหันมอง!”
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มกลับไม่รับน้ำใจ ยังคงเอ่ยว่า “ก่อกำเนิดตัวน้อยๆ ลมปากกลับใหญ่โตถึงเพียงนี้ นี่หากว่าไม่ใช่คนสนิทคุ้นเคยกันคงนึกว่าเป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่กำลังหาวอยู่ตรงนี้เสียแล้ว”
เฉากุ่นหมดคำจะพูด
อาจารย์แบบไหนก็มีลูกศิษย์แบบนั้น ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกัน
เด็กสาวที่เงียบขรึมพูดน้อยคนนั้นค่อนข้างจะอิจฉาในความใจกล้าของคนวัยเดียวกัน นางไม่มีทางกล้าพูดกับเซียนกระบี่ผูเหอแบบนี้เด็ดขาด
เด็กหนุ่มเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าอยู่ที่หลิวเสียทวีปท่านมีศัตรูเยอะมาก ตอนนี้ขอบเขตถดถอยแล้ว จะเดือดร้อนให้ข้าถูกศัตรูของท่านฆ่าตายไปด้วยหรือไม่?”
ผูเหอยื่นมือไปกดหัวของเด็กหนุ่มแล้วผลักออกไปไกล “พูดจาอัปมงคลให้น้อยๆ หน่อย”
เรือข้ามทวีปที่พวกเขานั่งโดยสารจะไปจอดที่ท่าเรือใกล้กับหอหลิงจือ ผูเหอคิดว่าจะไปซื้อของสองสามชิ้นที่ร้านตระกูลเซียนแห่งนั้นพอดี ในกระเป๋าไม่มีเงินสักเท่าไร คงได้แต่เลือกของราคาถูกแล้ว หากไม่ได้จริงๆ ก็ต้องขอยืมเงินจากเจ้าเด็กเฉากุ่นนั่น อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จะดูว่าสนิทกันหรือไม่ก็ต้องดูที่ว่าสามารถยืมเงินกันได้หรือไม่ เลี้ยงเหล้ากันได้หรือไม่ เพราะไม่ว่าจะแบบไหนก็ล้วนมีแต่ไปไม่มีได้กลับคืนทั้งนั้น
ตอนที่ไปถึงหอหลิงจือ เด็กสาวมีสีหน้าสดใสตื่นเต้น แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ยินดีจะเข้าไป จึงไปนั่งรออยู่บนขั้นบันได
เฉากุ่นไปนั่งอยู่ด้านข้างเขา
คนทั้งกลุ่มขึ้นเรือเดินทางกันต่อตอนกลางคืนเลย เด็กหนุ่มฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว พูดอย่างมีอารมณ์แต่ไร้กำลังว่า “ตาเฒ่าผู ที่นี่ก็คือใต้หล้าไพศาลของพวกท่านแล้วหรือ ดูแล้วไม่เห็นจะยังไงเลย”
ผูเหอยิ้มเอ่ย “จำเรื่องหนึ่งเอาไว้ให้ดี ฝึกตนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กับฝึกกระบี่อยู่ที่ใต้หล้าไพศาลคือคนละเรื่องกันเลย ดังนั้นในอนาคตหากขอบเขตติดขัดก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องร้อนใจ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าผูเหอ ไม่ช้าก็เร็วต้องได้กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่แน่นอน!”
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากยืนอย่างสำรวมอยู่ห่างไปไม่ไกล
พายัพหลิวเสียทวีปของพวกเขา แม้ข่าวคราวของเซียนกระบี่ผูเหอจะหายไปนาน อย่างมากสุดก็แค่ได้ยินข่าวว่าผูเหอพ่ายแพ้ในการถามกระบี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
แต่พลานุภาพชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของผูเหอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยที่ดุร้ายแปลกประหลาดของเขากลับยังคงทำให้พวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนและเซียนดินมากมายหวาดผวาไม่คลาย
มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า แค่ผูเหอยิ้มก็ต้องมีคนตาย
มารดามันเถอะ นั่นต้องหมายถึงการออกกระบี่ฟันคนน่ะสิ
ผูเหอคือบรรพจารย์ของสำนัก คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องตามระบบ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมากลับทำอะไรตามใจชอบ ฆ่าคนชิงทรัพย์ หลอกลวงต้มตุ๋น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แล้วยังเชี่ยวชาญการเสแสร้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญเรื่องการใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น วิธีการที่ใช้ป่าเถื่อนจนผู้ฝึกตนอิสระยังต้องเรียกว่าท่านบรรพบุรุษ ดังนั้นชื่อเสียงของผูเหอบนภูเขาจึงไม่ดี แต่ในยุทธภพ ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระกลับมีชื่อเสียงบารมีสูงส่งยิ่ง ตอนนั้นเจียงซ่างเจินไปสร้างเรื่องก่อราวที่อุตรกุรุทวีป ตอนแรกยังเคยถูกขนานนามว่าเป็นผูเหอคนที่สอง ต่างก็เป็นพวกตะพาบที่ขี้เต็มกางเกงแล้วยังวิ่งวุ่นไปทั่ว
เพียงแต่ว่าผู้ดูแลเรือข้ามฟากมองผู้เฒ่าในเวลานี้กลับยากที่จะเอาเขาไปรวมกับเซียนกระบี่ผูเหอในความทรงจำได้
ไปถึงที่หน้าประตูห้อง ผูเหอก็โยนยาสองขวดให้กับลูกศิษย์ บอกให้เด็กหนุ่มทาบาดแผลภายนอกและกินเข้าไป เด็กหนุ่มปิดประตูลงแล้วก็ถอดเสื้อผ้า เจ็บจนต้องแยกเขี้ยว บนร่างยังมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ยังไม่ประสานตัวหายดี
เป็นผูเหอที่หิ้วเขาออกมาจากกองศพ
ทายาแล้ว กินยาแล้วก็สวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ตั้งใจฝึกตน บำรุงความอบอุ่นให้แก่กระบี่บิน
ครู่หนึ่งต่อมา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เฉากุ่นแจ้งชื่อของตัวเอง
เวลาอยู่กับผูเหอเด็กหนุ่มปากไร้หูรูด แต่สำหรับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มาจากสายอิ่นกวานคนนี้ ต่อให้ขอบเขตของเฉากุ่นจะไม่สูง แต่เด็กหนุ่มกลับเคารพยำเกรงเขาอย่างมาก
เด็กหนุ่มรีบไปเปิดประตู เฉากุ่นมองเห็นว่าเด็กหนุ่มค่อนข้างระมัดระวังตัวจึงยิ้มเอ่ยว่า “จะมาบอกเรื่องที่ต้องระวังเวลาฝึกตนอยู่ในใต้หล้าไพศาลให้กับเจ้า อย่าได้รำคาญเลย ในฐานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล พิธีการยิบย่อยต่างๆ อาจไม่น่าชอบใจ แต่เจ้าก็ลองฟังไว้บ้าง”
เด็กหนุ่มเงี่ยหูฟังท่าทางตั้งใจอย่างยิ่ง
สุดท้ายเฉากุ่นเอ่ยว่า “เหย่ตู้ วันหน้าฝึกตนอยู่ข้างกายเซียนกระบี่ผูเหอต้องรู้จักเห็นค่าและทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี”
เด็กหนุ่มที่ชื่อเหย่ตู้พยักหน้ารับอย่างแรง “อาจารย์ของข้า…ก็คือคนผู้นี้แล้ว!”
เฉากุ่นมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าสดใสยกนิ้วโป้งขึ้นแล้วก็กลั้นยิ้ม ผู้เฒ่าผูที่ยืนนิ่งอยู่ตรงระเบียงด้านนอกเป็นนานก็พยักหน้ายิ้มตาหยี ก่อนจะไปหาเหล้าดื่ม
เติ้งเหลียงผู้ฝึกกระบี่แห่งธวัลทวีปออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่คนเดียวด้วยสีหน้าเปลี่ยวเหงา
หลายปีที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ได้แค่ขยับขอบเขตไปทีละนิดจนถึงคอขวดก่อกำเนิดเท่านั้น ไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้เสียที
ก่อนหน้านี้ทางสำนักได้ขอให้เรือข้ามทวีปช่วยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวจากภูเขาห้อยหัวไปที่คฤหาสน์หลบร้อนอยู่สองครั้ง ต่างก็ถามเขาว่าจะกลับไปเมื่อไหร่ เติ้งเหลียงล้วนไม่ได้สนใจ
แม้จะบอกว่ายามอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อน เติ้งเหลียงไม่ได้ ‘โดดเด่น’ เหมือนเซียนกระบี่เด็กหนุ่มอย่างพวกเฉากุ่น เสวียนเซิน แต่ความจริงแล้วมีเรื่องหนึ่งที่ผู้คนมักหลงลืมกันไปได้ง่ายก็คือ เติ้งเหลียงคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่อายุน้อยมาก!
ไม่เพียงแต่มีที่นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักในธวัลทวีป ที่นั่งของเขายังอยู่ค่อนไปด้านหน้าด้วย
เติ้งเหลียงมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ล้มลุกคลุกคลานเปื้อนฝุ่นดินมานานหลายปี หลังจากกลายมาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ไม่ว่าจะรับรองดูแลผู้คนหรือจัดการกับเรื่องราวก็ล้วนรัดกุมรอบคอบ เป็นเหตุให้มีสหายเยอะมาก ยิ่งเป็นคนที่ได้รับความสำคัญและฝากความหวังไว้สูงจากเจ้าสำนัก
ก่อนที่เติ้งเหลียงจะออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาไปที่ร้านเหล้าแห่งนั้น เขียนประโยคหนึ่งลงไปบนป้ายสงบสุขปลอดภัย ‘ยามมาเป็นก่อกำเนิด ยามจากไปเป็นก่อกำเนิด ไม่เคยเลื่อนขั้น ละอายใจต่อสุราเลิศรส’
สะพายห่อสัมภาระไว้บนไหล่ เดินขึ้นเรือข้ามฟาก
ผู้ดูแลเรือออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แย้มยิ้มพูดคุยกับเติ้งเหลียงด้วยมารยาทที่เหมาะสม
ก่อนหน้านี้เติ้งเหลียงได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปที่สำนัก บอกแค่ว่าตนเดินทางกลับแล้ว
พอไปถึงห้องในเรือก็ปลดห่อสัมภาระลง นอกจากป้ายสงบสุขหลายแผ่นที่กลายเป็นของที่เจ้าของคนเก่าทิ้งไว้แล้ว ยังมีของจุกจิกอย่างอื่นอีกบางส่วน เติ้งเหลียงหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา เซียนกระบี่โฉวเหมียวบอกเขาว่าขึ้นเรือมาแล้วค่อยเปิดมันออก บอกว่าเป็นจดหมายที่ใต้เท้าอิ่นกวานเขียนเองกับมือ ลายมือคุ้นตาอย่างยิ่ง บนจดหมายเขียนบอกไว้สองสามเรื่อง เรื่องหนึ่งในนั้นคือให้เติ้งเหลียงช่วยนำจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้เซียนกระบี่เซี่ยซงฮวา นอกจากนี้ก็ขอให้เติ้งเหลียงช่วยดูแลลูกหลานผู้ฝึกกระบี่ที่เซียนกระบี่เซี่ยซงฮวาพาไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ช่วงท้ายของจดหมายยังพูดถึงเรื่องลับเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับใต้หล้าแห่งที่ห้า ต้องการให้เขานำความนี้ไปบอกแก่ศาลบรรพจารย์ของสำนัก หากทางสำนักของเติ้งเหลียงมีวิธีการจริงๆ ก็สามารถเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ได้
เติ้งเหลียงเก็บจดหมาย ออกมาจากห้อง ไปชมทัศนียภาพยามค่ำคืน ฟ้าสูงดวงจันทร์กระจ่าง
คิดถึงคฤหาสน์หลบร้อนยิ่งนัก เลื่อมใสอิ่นกวานหนุ่มยิ่งนัก
เรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัวเพิ่งจะปรึกษาเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจบ เยี่ยนหมิงก็ลุกขึ้นยืนจากด้านหลังโต๊ะหนังสือ ยิ้มเอ่ยว่า “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ได้ร่วมปรึกษาพูดคุยธุระกับทุกท่าน มีความสุขอย่างมาก”
หมี่อวี้ เส้าอวิ๋นเหยียน น่าหลันไฉ่ฮ่วน เหวยเหวินหลงต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
หมี่อวี้ไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแค่กุมหมัดอำลา
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเซียนกระบี่เยี่ยน นับเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวง และเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกุมหมัดเอ่ยว่า “เยี่ยนหมิง ในเรื่องของการเป็นเจ้าประมุขตระกูล การหาเงินทอง ข้าอาจไม่แพ้ให้กับเจ้าเสมอไป แต่ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ ข้าสู้เจ้าไม่ได้”
หมี่อวี้สีหน้าหม่นหมอง “ข้าก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น”
เยี่ยนหมิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ ก้าวยาวๆ เดินออกไปจากห้อง เพียงแค่เอ่ยประโยคหนึ่งกับคนบ้านเดียวกันสองคนอย่างหมี่อวี้และน่าหลันไฉ่ฮ่วนว่า คนที่มีชีวิตอยู่จะทำตัวผ่อนคลายเกียจคร้านได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องละอายใจ
คฤหาสน์หลบร้อน ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นต่างก็พากันจากไปแล้ว เซียนกระบี่โฉวเหมียวลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “นับแต่วันนี้ไป ก่อนที่อิ่นกวานจะกลับมา ต่งปู้เต๋อและสวีหนิงร่วมกันรับผิดชอบในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ”
หลัวเจินอี้ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ยังไม่อาจเอ่ยถ้อยคำเหนี่ยวรั้งออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ
โฉวเหมียวก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้ว เขาที่หันหลังให้กับทุกคนยิ้มเอ่ยว่า “ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”
เยี่ยนหมิงที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างห้อยตราประทับชิ้นหนึ่งไว้ตรงเอว กลับไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็หวนกลับคืนสู่หัวกำแพงเมืองด้วยสถานะของผู้ฝึกกระบี่อีกครั้ง
ผู้ฝึกยุทธหญิงขอบเขตเก้าป๋ายเลี่ยนซวงไม่ได้สอนวิชาหมัดป้อนหมัดให้พวกเด็กๆ อีก นางออกมาจากคฤหาสน์หลบหนาว กลับไปยังจวนหนิง ทำความสะอาดเก็บกวาดทั่วทั้งจวนหนิงไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็หยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูใหญ่เนิ่นนาน พึมพำถ้อยคำมากมาย แล้วถึงได้ไปที่หัวกำแพงเมือง
อินเฉินผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดออกจากสถานที่ฝึกตนเป็นครั้งแรก ขี่กระบี่ออกมาแล้วกระโจนเข้าสู่สนามรบ จากไปอย่างไม่คิดจะหวนคืน
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกระชากดวงจันทร์บนฟ้าดวงหนึ่งลงมายังโลกมนุษย์ ขว้างเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งซานเกิงที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองหลุดพ่นเสียงหัวเราะ เอ่ยมาคำหนึ่งว่าแม่..เถอะ ครั้นจึงขี่กระบี่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์