“ความจริง?”
หญิงผมม่วงกล่าวอย่างเฉยเมย “ความจริงก็คือลั่วชิงสวินขโมยห้องโถงมรรคาสวรรค์ไป และเจ้า ลู่ป๋อหยา ก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”
ลู่ป๋อหยาหัวเราะร่วน สีหน้าเปี่ยมแววเย้ยหยัน “นายของเจ้าอาจปิดฟ้าด้วยมือเดียวได้ แต่หากไม่มีห้องโถงมรรคาสวรรค์ สุดท้ายก็ไม่อาจไร้เทียมทานและเป็นอมตะได้อย่างแท้จริง นี่ก็ลิขิตแล้วว่าความจริงอาจถูกปิดบังได้ แต่สุดท้ายย่อมมีช่วงที่น้ำลดตอผุดอยู่ดี!
ชิ้ง!
ด้านหลังหญิงผมม่วง ทวนสีเงินเล่มนั้นพุ่งออกมาฉับพลันราวกับอสนีคดเคี้ยวสีเงินแล่นปราด ซัดห้วงอากาศกระจุย แผ่ไอเข่นฆ่าน่าสะพรึง
“หากเจ้ากับลั่วชิงสวิน รวมถึงมารหัวขนนั่นตายกันหมด เจ้าคิดว่า… ยังจะมีตอนที่น้ำลดตอผุดอยู่อีกหรือไม่”
บนเงาร่างอ้อนแอ้นสายนั้นของนางคละคลุ้งไอสังหารระฟ้า
“ยังอยากลงมือต่ออีกหรือ”
ลู่ป๋อหยากล่าว “ในเมื่อข้ากล้าปรากฏตัวที่นี่ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมยื่นมือให้จับง่ายๆ หรือ”
ขณะพูดจู่ๆ ปลายนิ้วของเขาปรากฏใบไม้สีทองประหลาดใบหนึ่ง บางเหมือนปีกจักจั่น ประหนึ่งหล่อขึ้นจากทองคำเทพ เส้นใบแน่นขนัดนั่นราวกับร่องรอยมหามรรค!
“ใบต้นกำเนิดจากต้นอมตะหมื่นมรรค!?”
พลันนั้นหญิงผมม่วงร้องอุทานออกมา ก่อนหน้านี้นางสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดมาตลอด แต่ยามนี้กลับเริ่มประหม่าขึ้นมาอย่างหาพบได้ยาก ถึงขั้นตกใจแกมโมโห
ตูม!
นางลงมือโดยไม่ลังเลใดๆ ทวนสีเงินโฉบออกไป คมประกายดุจรุ้งเทพ เพียงการโจมตีเดียวก็คล้ายกับจ้วงทะลวงจักรวาล ซัดทำลายมหามรรคได้ตรงๆ!
กลับเห็นลู่ป๋อหยาแค่นหัวเราะคราหนึ่ง ใบไม้สีทองที่ปลายนิ้วพุ่งออกไปทันใด
วู้ม!
ชั่วขณะเดียวใบไม้นั้นราวกับกลายเป็นจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไหลเวียนด้วยกลิ่นอายไม่เสื่อมคลาย
จากนั้น…
ตูม!
หลินสวินรู้สึกเพียงว่าภาพเบื้องหน้าพลันแตกสลาย ขาวโพลนไปทั้งแถบ มองไม่เห็นอะไรอีก
สีหน้าเขาวูบไหวไม่แน่นิ่ง อารมณ์จิตใจไหวสะเทือน
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้ทำให้หลินสวินเพิ่งตระหนักว่า ไม่ว่าจะเป็นลู่ป๋อหยาหรือลั่วชิงสวินมารดาของตน ล้วนมีความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ได้!
เขาสูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง เริ่มครุ่นคิดเงียบๆ
ในกาลเวลาที่ไหลผ่านก่อนหน้านี้ ลั่วชิงสวินบาดเจ็บสาหัส ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดถูกทำลาย นางพกห้องโถงมรรคาสวรรค์หนีออกมา เดินทางข้ามทางเดินโบราณฟ้าดาราและมายังโลกชั้นล่างนี้…
จากนั้นเพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ลั่วชิงสวิจมสู่ภวังค์เงียบงันแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุด จนกระทั่งเมื่อหลายสิบปีก่อนเพิ่งฟื้นขึ้นมา แต่กลับสูญเสียความทรงจำไปมากมาย…
นี่คือคำบอกเล่าของลู่ป๋อหยา!
และจากการคาดเดาของหลินสวิน หลังจากสูญเสียความทรงจำ ท่านแม่ลั่วชิงสวินก็เริ่มใช้ชีวิตในจักรวรรดิ เข้าร่วมการทดสอบของจักรวรรดิ และเข้าสู่สำนักศึกษมฤคมรกตด้วยอันดับหนึ่งจากการทดสอบระดับอาณาจักร จากนั้นก็ได้รู้จักกับท่านพ่อหลินเหวินจิ้ง…
จนกระทั่งหลังจากโศกนาฏกรรมนองเลือดของตระกูลหลินในปีนั้น ท่านแม่ลั่วชิงสวินก็หายตัวไปอีกครั้ง!
และท่านลู่ จะต้องหนีตายไปพร้อมกับท่านแม่ลั่วชิงสวินในปีนั้น ข้ามทางเดินโบราณฟ้าดารามายังโลกชั้นล่างนี้อย่างแน่นอน
อีกทั้งคอยปกป้องลั่วชิงสวินในเงามืดเรื่อยมาในฐานะประหนึ่งผู้คุ้มกัน
ตอนที่เกิดโศกนาฏกรรมนองเลือดกับตระกูลหลินในปีนั้น ท่านลู่ลงมือช่วยชีวิตตนที่ยังแบเบาะหนีไป สิบกว่าปีต่อมาก็ซ่อนตัวอยู่ในคุกใต้เหมืองนั่น
ไม่สิ!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินสวินยังนึกขึ้นได้ว่าในบทสนทนาระหว่างลู่ป๋อหยาและหญิงผมม่วงนั้น ยังพูดถึง ‘พี่ชาย’ ของท่านแม่ลั่วชิงสวินด้วย
ซ้ำยังระบุชัดเจนว่าตอนที่หนีตายปีนั้น ‘พี่ชาย’ คนนี้มีพลังระดับราชันอริยะ และตอนที่มาเยือนโลกนี้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด เกรงว่าคงเป็นระดับจักรพรรดิไปนานแล้ว!
‘หญิงผมม่วงนั่นบอกว่าสายเลือดของท่านแม่ข้าถูกทำลาย ไม่สามารถเปิดประตูสวรรค์ได้ ขณะเดียวกันพี่ชายของนางก็หมดคุณสมบัติในการเปิดประตูสวรรค์บานนั้น ด้วยเหตุของพลังปราณ…’
‘เมื่อสรุปเช่นนี้ พี่ชายของท่านแม่ก็น่าจะมีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดเหมือนกับข้าถึงจะถูก หรือว่า… เป็นเขา!’
คิดถึงตรงนี้ในหัวหลินสวินราวกับมีสายฟ้าแล่นผ่าน นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
คนผู้นั้นเงาร่างกำยำ ห้อทะยานไปยังส่วนลึกของวัฏจักรว่างเปล่าฟ้าดาราราวกับบ้าคลั่ง ทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน ดวงดาวแตกดับระเบิดกระจุยดวงแล้วดวงเล่า…
สุดท้ายเงาร่างสายนั้นก็หยุดอยู่กลางห้วงอากาศ เพราะเบื้องหน้าไร้หนทาง เวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีหนทางข้างหน้าอีกแล้ว
คนผู้นั้นเริ่มสิ้นหวัง เศร้าสลด โดดเดี่ยว ส่งเสียงทอดถอนใจเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง
‘ข้าใช้จักรวาลเป็นกระดานหมาก มองอดีตและปัจจุบันเป็นตารางหมาก ให้มหามรรคเป็นบันทึกหมาก ใช้ชีวิตของข้าเป็นตัวหมาก หมายประลองหมากกับสวรรค์’
‘แต่สุดท้าย ก็พ่ายแพ้อยู่ดี…’
เสียงนั้นเจือแววไม่ยินยอมและขุ่นเคืองเปี่ยมล้น
‘‘เส้นทางนี้ขาดไปแล้ว ควรไปทางใด’
ทันใดนั้นคนผู้นั้นพลันเหยียดหลังตรง สายตาสาดประกายน่าสะพรึงออกมา เงาร่างกำยำทั้งตัวคล้ายกับลุกโชน ระเบิดแสงเจิดจ้านับไม่ถ้วนออกมา
‘เช่นนั้นก็…”
‘ใช้ร่างกายของข้า สร้างเส้นทางที่ถูกตัดขาด!’
‘ใช้วิญญาณของข้า ชี้นำหนทางที่สับสนเบื้องหน้า!’
และจากนั้นคนผู้นั้นก็กลายเป็นแสงไร้จำกัด พุ่งเข้าไปในความว่างเปล่าที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่แถบนั้น มองไม่เห็นอีกเลย
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ นี้คือสิ่งที่หลินสวินเห็น ตอนที่หยั่งรู้มรรคดับดารากลืนกินที่ป่าศิลาบนเขาพยับครามในเทศกาลโคมกถามรรค
ต่อมาที่หน้าทะเลหมากดาราเบื้องหน้าภูเขาไร้มรณะ หลินสวินถึงรู้ว่าเงาร่างที่ท่าทางเหมือนคลุ้มคลั่งสายนั้นก็คือ ‘จักรพรรดิสงครามดับดารา’!
ระดับจักรพรรดิที่แท้จริงคนหนึ่ง!
และยามนี้…
หลินสวินกลับผุดความคิดที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมาในใจ จักรพรรดิสงครามดับดารา… มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพี่ชายของท่านแม่ลั่วชิงสวิน
ซึ่งก็คือท่านลุงของตน!
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ เขาครอบครองมรรคดับดารากลืนกิน จะต้องมีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินด้วยเช่นกัน และจากที่ท่านลู่ว่ามา พรสวรรค์สายเลือดระดับนี้ก็มีแต่สายเลือดท่านแม่เท่านั้นที่จะมีได้…’
จิตใจหลินสวินไหวสะท้านกวัดแกว่ง สีหน้าวูบไหวไม่นิ่ง
ทุกสิ่งที่เห็นในวันนี้ทำให้เขาไม่อาจสงบได้สักนิด!
‘เพียงแต่พวกท่านแม่ถูกใครไล่ล่าสังหารกันแน่’
หลินสวินนิ่งงัน
ตอนนี้สิ่งที่เขามั่นใจได้คือ ท่านแม่ลั่วชิงสวินและท่านลู่ล้วนไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่มาจากที่ใดที่หนึ่งในอีกฟากฝั่งทางเดินโบราณฟ้าดารา
และสามารถมั่นใจได้ว่า บางทีอาจเพราะการมีอยู่ของ ‘ห้องโถงมรราคสวรรค์’ ถึงทำให้พวกท่านแม่ต้องเผชิญการไล่ล่าสังหารครั้งใหญ่!
อีกทั้งการล่าสังหารครั้งนี้ก็กินเวลามายาวนานไม่รู้จบ อีกฝ่ายราวกับจะไม่ยอมเลิกราไปเอง
จากเหตุนี้แสดงให้เห็น ว่าห้องโถงมรรคาสวรรค์สำคัญกับศัตรูพวกนั้นปานใด!
‘หากคาดเดาเช่นนี้ มือใหญ่ปิดคลุมฟ้าที่ทำลายคุกใต้เหมืองในปีนั้น เกรงว่าก็คงมาจากหนึ่งในศัตรูพวกนั้นด้วย…’
ถึงแม้หลินสวินจะคาดคะเนความจริงมากมายออกมา แต่เขากลับพบว่าหลังจากได้รู้ความจริงเหล่านี้ กลับมีความสงสัยมากมายผุดขึ้นเรื่อยๆ
อย่างเช่น พวกท่านแม่ลั่วชิงสวินมาจากไหนกันแน่
ศัตรูพวกนั้นเป็นใครกัน
ในโถงมรรคาสวรรค์ซ่อนความลับสะท้านโลกปานใด ถึงทำให้ศัตรูไม่ยอมตัดใจจนป่านนี้
ท่านแม่ลั่วชิงสวินเล่า หลังเกิดคดีนองเลือดที่ตระกูลหลินในปีนั้น หากนางและท่านพ่อหลินเหวินจิ้งยังไม่ล่วงลับ แล้วไปอยู่ที่ไหนกัน
เหตุใด… ท่านลู่ถึงไม่เคยบอกความลับเหล่านี้แก่ตนมาก่อน
เพราะเป็นห่วงว่าหลังจากตนรู้ความจริงจะรับไม่ได้อย่างนั้นหรือ
…ความสงสัยข้อแล้วข้อเล่าทำให้หลินสวินนิ่งงันไปวูบหนึ่ง ไม่อาจดึงสติกลับมาเนิ่นนาน
‘หลินสวิน… คิดไม่ถึงว่านี่ถึงกับเป็นชื่อที่ท่านแม่ตั้งให้ เพราะอยากให้ในภายภาคหน้าข้าไปค้นหาความจริงและคำตอบทุกอย่างดังเช่นที่ท่านลู่ว่ามาอย่างนั้นหรือ’
หลินสวินพึมพำในใจ
กลางลานวัชพืชพลิ้วไหว หยากไย่ทอใยลามทั่ว พลังผนึกต้องห้ามแปลกประหลาดที่แต่เดิมปกคลุมรอบบ้านหลังนั้นอันตรธานหายไปนานแล้ว
ยามโพล้เพล้ล่วงเลย
หลินสวินที่นิ่งเงียบเนิ่นนานสาวเท้าก้าวเดินในลานบ้านที่ตนเคยอาศัยแห่งนี้
เขารู้ว่าหลายปีก่อนหน้านี้ท่านลู่เคยมาที่นี่ ซ้ำยังรู้เรื่องส่วนหนึ่งของตนแล้วปลาบปลื้มดีใจยิ่งนัก
เขารู้ด้วยว่าหญิงผมม่วงปรากฏตัวขึ้น และประลองฝีมือสะท้านโลกกับท่านลู่ที่ลานแห่งนี้
แต่สุดท้ายผลลัพธ์เป็นอย่างไรนั้น หลินสวินกลับไม่รู้แน่ชัด
เขายืนนิ่งอยู่ใต้ต้นหลิวสีเขียวต้นนั้นที่ท่านลู่เคยยืน คิดเรื่องในใจเงียบๆ
ม่านราตรีมาเยือนอย่างรวดเร็ว ดาราส่องแสงพร่างพราว สาดแสงใสเย็นลงมาปกคลุมหมู่บ้านเฟยอวิ๋นให้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ
‘ไม่ถูก! ท่านลู่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน!’
ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินทอประกาย นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ก่อนหน้าตอนที่ตนจะมาถึง รอบลานปกคลุมด้วยพลังผนึกต้องห้ามแปลกประหลาดอยู่ก่อนแล้ว
และเพราะพลังผนึกต้องห้ามนี้ ทำให้ห้วงเวลาเสมือนย้อนกลับไปยังหลายปีก่อน ถึงทำให้ตนเห็นภาพเหตุการณ์ระหว่างท่านลู่และหญิงผมม่วง
และที่แน่ใจได้คือ ผนึกต้องห้ามนี้ท่านลู่เป็นคนกางเอาไว้ เพื่อที่ตนจะได้เห็นในสักวัน!
ผู้คนในโลกนี้เกรงว่าคงคิดไม่ถึงสักนิด ว่าภายในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกทิ้งร้างมานานแห่งนี้จะยังมีผนึกต้องห้ามเช่นนี้คงอยู่!
หากท่านลู่ตายในการต่อสู้กับหญิงผมม่วงนั่น มีหรือจะทิ้งผนึกต้องห้ามเช่นนี้ไว้ได้
‘ท่านลู่ยังมีชีวิตอยู่… พวกท่านแม่… จะต้องเฝ้ารอให้ข้าค้นหาความจริงในปีนั้นอยู่แน่ๆ…’
จิตใจที่หดหู่แต่เดิมของหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมขึ้นทันที นัยน์ตาดำเปลี่ยนเป็นแน่วแน่หาใดเปรียบ
ทางเดินโบราณฟ้าดารา!
สักวันหนึ่งเขาต้องไปที่นั่นให้จงได้!
คืนวันนั้นหลินสวินยืนอยู่ใต้ต้นหลิวสีเขียวต้นนั้นเพียงลำพัง ยืนนิ่งเงียบตลอดทั้งคืน
จนกระทั่งฟ้าสว่างย่ำรุ่ง สีท้องฟ้าสว่างจ้า เขาจึงหมุนตัวเดินออกไป
ตูม!
ด้านหลังของเขา หมู่บ้านเฟยอวิ๋นที่ไร้กลิ่นอายผู้คนมานานหลายปีก็พลอยดับสลาย กลายเป็นฝุ่นควันระฟ้าตามไปด้วย
เพียงแต่ตอนที่เดินมาถึงบริเวณป่าทึบเก่าแก่ หลินสวินหยุดเท้าทันควัน จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ปีนั้นเขาได้พบกับซย่าจื้อที่กำลังถูกจอมพลังพ่อมดเถื่อนไล่ล่าสังหารในส่วนลึกของป่าทึบนี้ด้วย!
สวบ!
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อย ก็ยกเท้าเดินเข้าไปในส่วนลึกของป่าทึบแห่งนั้น
เพียงแต่ที่ทำให้เขาผิดหวังคือหลายปีผ่านไป กลางป่าทึบนี้ก็ไม่มีเบาะแสและร่องรอยใดๆ ตั้งนานแล้ว
‘ซย่าจื้อนาง… มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร พ่อแม่นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดปีนั้นถึงได้ถูกจอมพลังพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งล่าสังหารได้’
หลินสวินนึกถึงตรงนี้ก็อดยิ้มขื่นไม่ได้
หลายปีมานี้เพื่อค้นหาปริศนาชาติกำเนิดของตน ก็ได้ผ่านจุดพลิกผันมาพอควร แต่เมื่อเทียบกันแล้วที่มาของซย่าจื้อยิ่งลึกลับกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ปีนั้นนางเหมือนกับโผล่มาจากอากาศก็ไม่ปาน ไร้พ่อไร้แม่ ตัวคนเดียวลำพัง ที่น่าแปลกที่สุดคือ นางเพียงยินดีติดตามข้างกายตน…
หลินสวินนึกถึงประโยคหนึ่งที่ซย่าจื้อเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
‘หลินสวิน เจ้าจำไว้ โลกของข้าเล็กยิ่งนัก เล็กจนบรรจุเจ้าไว้ได้เพียงคนเดียว’
นึกถึงตรงนี้หลินสวินก็อดทอดถอนใจในใจไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กคนนี้จะอยู่ที่ไหนกันแน่…
ผ่านไปครู่หนึ่ง
นอกเมืองตงหลิน หลินสวินยืนตระหง่านกลางอากาศ เหลียวหลังมองหมู่เขาสามพันคีรีอีกครั้ง ก่อนพาดผ่านห้วงอากาศออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เรื่องในอดีตดั่งหมอกควัน
การเดินทางยังรออยู่เบื้องหน้า!
…………………