เมืองหมอกอำพราง
หลินเสวี่ยเฟิงมองหลินสวินด้วยความประหลาดใจ กล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ท่านกลับมาเร็วขนาดนี้เชียว”
นับดูแล้วหลินสวินเพิ่งออกไปแค่สองวันเท่านั้น
หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง เอ่ยถามว่า “จนป่านนี้ยังไม่มีข่าวของราชันอินทรีแดงอีกหรือ”
หลินเสวี่ยเฟิงส่ายหน้า “ฝั่งใต้เท้าซ่งผู้บังคับการมณฑลตรวจสอบข่าวราชันอินทรีแดงอยู่ตลอด แต่ป่านนี้ก็ยังไม่พบอะไรเลย”
หลินสวินขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดมากความอะไร
“จริงสิ นี่คือรายงานส่วนหนึ่งที่ใต้เท้าซ่งส่งมาให้ช่วงเช้า”
หลินเสวี่ยเฟิงหยิบม้วนหยกออกมายื่นให้หลินสวิน “ผู้นำตระกูล ท่านลองดูสิ เพราะเรื่องที่สังหารราชันเกราะทอง ตอนนี้ภายในจักรวรรดิอึกทึกครึกโครมกันหมด ราชันอสูรมารส่วนหนึ่งต่างพากันประกาศก้อง ช้าเร็วต้องให้ท่าน…”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “ให้ข้าทำไม”
หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวอึกอัก “ท่านดูเอาเองดีกว่า”
หลินสวินคลี่ม้วนหยกออก อ่านผ่านๆ ครู่หนึ่งคิ้วพลันเลิกขึ้นทันที กล่าวแค่นหัวเราะว่า “ข้ากำลังเตรียมการไปสังหารเดรัจฉานชั่วพวกนั้นอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเรียกร้องขึ้นมาก่อน”
จิตสังหารไร้รูปแผ่กว้าง ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิงหายใจติดขัด หนาสะท้านขึ้นมา สัมผัสได้ว่าผู้นำตระกูลเกรงแต่จะเริ่มเข่นฆ่าครั้งใหญ่แล้ว!
……
“หลินสวินนี่อยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว มาดูกันว่าเขาจะกระโดดโลดเต้นได้อีกกี่วัน!”
นี่คือเสียงแค่นหัวเราะจากพญาอสูรมารที่ถูกขนานนามว่า ‘ราชันมังกรดิน’ ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในมณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ
เรื่องนี้ก่อคลื่นมรสุมขึ้นมาในจักรวรรดิทันที
หลินสวินเพิ่งสังหารราชันเกราะทอง เหยียบเขาวิญญาณหยินราบคาบไปไม่นาน อานุภาพแกร่งกล้าปานใด ในเวลาเช่นนี้ถึงกับยังมีราชันอสูรมารกล้ายั่วยุเช่นนี้อีก นี่ย่อมทำให้ผู้คนประหลาดใจเป็นธรรมดา
“ราชันมังกรดิน ลือกันว่าเป็นไส้เดือนยักษ์ที่กินโคลนตมดำรงชีวิตฝึกปราณจนแจ้งมรรค ถึงกับกล้าคุยโวปานนี้ ช่างหน่ายจะมีชีวิตแล้วชัดๆ!”
“ตัวกินโคลนตม แม้แต่ปากยังเหม็นเน่าเป็นที่สุด คำพูดของเขามีแต่ผีเท่านั้นที่เชื่อ”
ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิมากมายพากันแสดงความเห็น คิดว่าราชันมังกรดินนี่กำลังรนหาที่ตายแท้ๆ
จากการสนทนาเหล่านั้นก็สังเกตได้ไม่ยาก ทั่วทั้งจักรวรรดิต่างเชื่อมั่นในตัวหลินสวินอย่างที่สุด วางท่าดูหมิ่นถิ่นแคลนต่อคำพูดของราชันมังกรดิน
“เหอะๆ ความตายอาจมาช้าแต่ไม่เคยขาดหายไป เมื่อหลินสวินตาย หวังว่าพวกเจ้าเผ่ามนุษย์หน้าโง่ทั้งหลายจะยังยิ้มออกกันอยู่!”
ไม่ทันไร ‘ราชันผึ้งขาว’ ก็กล่าวออกมา ทำให้บรรยากาศทั่วจักรวรรดิเปลี่ยนไปในทันที ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเริ่มรู้สึกฉงน
ราชันผึ้งขาว นี่เป็นถึงหนึ่งในสิบพญาราชันอสูรมารที่มีชื่อเสียงที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ สิบกว่าปีมานี้ ผู้แข็งแกร่งระดับราชันของจักรวรรดิที่ตายด้วยน้ำมือราชันผึ้งขาวมีมากกว่าสิบคน!
ลือกันว่ากายเนื้อของราชันผึ้งขาวเป็นสายพันธุ์ประหลาดบรรพกาล พรสวรรค์น่าสะพรึงอย่างที่สุด ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในศัตรูที่อันตรายที่สุดในรายงานของจักรวรรดิ
ตอนนี้แม้แต่ราชันผึ้งขาวก็ยังแสดงออกอย่างแข็งกร้าว ตั้งท่าขัดแย้งกับหลินสวิน จะไม่ให้ผู้คนตกใจได้อย่างไร
หลังจากนั้นก็มีราชันอสูรมารชื่อเสียงเหี้ยมโหดอีกหลายตนกล่าวออกมา ดูแคลนและประกาศเตือนหลินสวิน ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งจักรวรรดิเริ่มหนักอึ้งและเคร่งขรึมขึ้นมา
เช่น ‘ราชันหลอมเพลิง’ ที่ปักหลักในทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ เอ่ยคำพูดแสนเรียบง่าย “หลินสวินนี่ ต้องพินาศ!”
หรืออย่างเช่น ‘ราชันแพะดำ’ ที่ปักหลักในมณฑลเว่ยสุ่ยก็กล่าวด้วยไอสังหารทะยานฟ้าว่า “ยามกำจัดเจ้าเด็กหลินสวินนี่ได้ ทุกชีวิตในจักรวรรดิอย่างพวกเจ้าก็รอถูกชำระเลือดแล้วกัน!”
ชั่วขณะเดียวคลื่นลมในใต้หล้าพลันเปลี่ยนไป เพราะเสียงประกาศเลื่อนลั่นของราชันอสูรมารแต่ละตนทำให้จักรวรรดิสะท้านสะเทือนตามไปด้วย แต่ละพื้นที่ไม่สงบ
ผู้คนนับไม่ถ้วนหวั่นวิตก สัมผัสได้ว่าหายนะใหญ่ยิ่งที่พุ่งเป้าเล่นงานหลินสวินกำลังจะมาแล้ว!
“คราวนี้ยุ่งยากแล้ว ต่อให้คุณชายหลินกร้าวแกร่งปานใด แต่สองหมัดยากจะต่อการสี่มือ ยามนี้ถูกราชันอสูรมารจ้องเล่นงานมากขนาดนี้ สถานการณ์น่าวิตกนัก”
ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งทอดถอนใจปลงตก
“เห็นได้ชัดว่าเพราะเรื่องที่คุณชายหลินสังหารราชันเกราะทอง ทำให้ราชันอสูรมารพวกนั้นได้กลิ่นภัยคุกคาม ดังนั้นจึงเห็นคุณชายหลินเป็นเป้าหมายที่ต้องกำจัด”
“ก็จริง ตอนนี้คุณชายหลินอำนาจบารมีพุ่งผงาด หากเขาไม่ตาย ราชันอสูรมารพวกนั้นต้องกินไม่ได้หลับไม่ลงแน่ แต่หากคุณชายหลินตายไป นั่นก็เป็นการโจมตีอันหนักหน่วงหาใดเปรียบต่อจักรวรรดิของพวกเรา!”
ในจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ ทุกแห่งหนล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ข่าวพวกนี้
แม้แต่ในวังหลวงจ้าวจิ่งเซวียนเองก็ยังตื่นตระหนก ไม่อาจไม่เรียกรวมตัวขุนนาง หารือว่าควรรับมือกับคลื่นมรสุมลูกนี้อย่างไร
“ราชันอสูรมารพวกนี้ช่างวางโตนัก! อยู่ในเขตแดนจักรวรรดิเรายังกล้าแยกเขี้ยวกางเล็บเช่นนี้ เห็นจักรวรรดิของเราไม่มีตัวตนอย่างนั้นหรือ”
ในตำหนักเฉียนหยวนมีคนฉุนเฉียว เสนอให้ระดมพลังทั้งหมดของจักรวรรดิไปสู้ตัดสินกับราชันอสูรมารพวกนั้น
“องค์หญิง อย่าใช้อารมณ์ตัดสินเป็นอันขาด ตอนนี้จักรวรรดิของพวกเราไม่เพียงแต่เผชิญหน้ากับหายนะของสัตว์อสูรมารเท่านั้น ในพื้นที่ชายแดนยังมีพ่อมดเถื่อนเก้าสายจับจ้องเหมือนเสือรอตะครุบเหยื่ออยู่ หากเลือกเปิดศึกเต็มรูปแบบโดยไม่สนใจสิ่งใดเพราะหลินสวินเพียงคนเดียว เช่นนั้นผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการ”
มีคนห้ามปราม เสนอให้จ้าวจิ่งเซวียนคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
“องค์หญิง ในความคิดกระหม่อมเรื่องราวยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น ไม่สู้… รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีหรือไม่”
“รอดูสถานการณ์? นี่ไฟไหม้ลามถึงขนคิ้วแล้ว ยังจะรอดูสถานการณ์กับผีสิ!”
“มาๆๆ เจ้าว่าข้อเสนอของข้าใช้ไม่ได้ ไหนเจ้าลองเสนอแผนการวิเศษเลิศล้ำคลี่คลายอันตรายตรงหน้านี้หน่อยสิ”
กลางตำหนักใหญ่ชุลมุนวุ่นวาย เหล่าขุนนางมากคนก็มากความ โต้เถียงกันจนหน้าแดงก่ำคอเป็นเอ็น จ้องกันด้วยสายตาโกรธเคือง ไม่มีใครยอมใคร
ปึง!
จ้าวจิ่งเซวียนตบฝ่ามือลงบนโต๊ะทำงานฉาดหนึ่ง
เหล่าขุนนางหุบปากทันควัน เงียบปานจักจั่นหน้าหนาว บรรยากาศในตำหนักใหญ่ขึงขังขึ้นมา
“แค่การข่มขู่ของเดรัจฉานชั่วกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ก็ทำให้พวกเจ้าลนลานเสียกระบวนแล้ว หากแพร่งพรายออกไปไม่กลัวคนจะหัวเราะเยาะเอาหรือ”
เสียงจ้าวจิ่งเซวียนเย็นเยียบ ดังก้องทั่วตำหนักใหญ่ ทำให้เหล่าขุนนางต่างก้มหน้า ละอายใจไม่สิ้น
“พวกเจ้าออกไปให้หมด เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง”
จ้าวจิ่งเซวียนคร้านจะพูดมากความอีก สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
และในวันนั้นเอง หลินสวินได้รับจดหมายจากส่วนลึกของราชวังที่เขียนด้วยลายมือจ้าวจิ่งเซวียน มีเพียงประโยคเดียวว่า
‘ใต้เท้าเทพมาร ต้องการให้แม่นางน้อยช่วยหรือไม่’
มุมปากหลินสวินกระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น เขาคิดไม่ถึงว่าแค่เสียงร้องขู่ของราชันอสูรมารส่วนหนึ่งถึงกับทำให้จ้าวจิ่งเซวียนวิตกกังวลแทนตนได้
‘แม่นางน้อยเจ้าฟังให้ดี รอดูก็พอ’
หลินสวินตอบจดหมายโดยไม่ละล้าละลังหยุดคิด และมีประโยคเดียวเช่นกัน
หลังจากจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จหลินสวินก็หยัดตัวลุกขึ้น นัยน์ตาดำทอดมองออกไปไกลๆ แค่นหัวเราะในใจ ‘บรรพจารย์อสูรมารเย่างเจ้าอำนาจบารมีใหญ่โต ปลุกระดมราชันอสูรมารทั้งกลุ่มมาจัดการข้าหรือ น่าเสียดาย เจ้าถูกกำหนดให้ต้องผิดหวังแล้ว!’
สวบ!
ในวันเดียวกันนั้น หลินสวินบังคับยานขนส่งอวกาศออกไปจากมณฑลซีหนานของจักรวรรดิ
บรรพจารย์อสูรมารคิดจะปลดพันธนาการที่จองจำ จะต้องอาศัยพลังของราชันอสูรมารพวกนั้นในการรวบรวม ‘ของเซ่นไหว้’ มาเสริมพลังให้เขาอย่างสม่ำเสมอ
เดิมทีหลินสวินตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดเขี้ยวเล็บพวกนี้ของบรรพจารย์อสูรมารทิ้งทีละตน ดับความหวังที่จะหลุดพ้นภายในสิบปีของบรรพจารย์อสูรมารลงเสีย
แต่ยามนี้ราชันอสูรมารพวกนั้นกลับเป็นฝ่ายกระโจนออกมาเอง ซ้ำยังเอะอะจนใต้หล้าเดือดพล่าน นี่ตรงตามความตั้งใจของหลินสวินพอดี
สวบ!
ในห้วงอากาศกลางฝ่ามือหลินสวินปราฏม้วนหยกม้วนหนึ่ง กลายเป็นแผนที่อาณาเขตของจักรวรรดิโดยละเอียด
หลังจากศึกษาครู่หนึ่ง หลินสวินก็กำหนดเป้าหมายที่อยู่ใกล้กับตนที่สุด
“มณฑณเยี่ยนเป่ย เทือกเขาผีเผ่น ยึดครองโดยพญาราชันอสูรมารแปดตนและสัตว์อสูรมารในปกครอง โดยมีผู้นำคือ ‘ราชันค้างคาวดำ’…”
“ดูเหมือนว่าขุมอำนาจของราชันค้างคาวดำนี้จะไม่ด้อยไปกว่าราชันเกราะทองนั่นสักเท่าไหร่ ถึงขั้นเหมือนจะเหนือกว่าหน่อยด้วยซ้ำ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีที่สุด”
หลินสวินนึกขึ้นได้ ในข่าวระยะสองสามวันมานี้ ราชันค้างคาวดำนี่ก็เคยประกาศก้องว่าจะทำให้ตนได้เห็นดีกัน
“หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังเกินไปนัก…”
นัยน์ตาดำของหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบแวบหนึ่ง เขาเก็บม้วนหยกลงไป ยานขนส่งอวกาศเป็นดั่งแสงพริบไหว เลือนหายไปกลางฟ้าดินกว้างใหญ่โดยพลัน
……
มณฑลเยี่ยนเป่ย
เช่นเดียวกับมณฑลซีหนาน ในอาณาเขตมีภัยร้ายสัตว์อสูรมารปะทุอยู่บ่อยครั้ง มีแต่ภาพควันเพลิงเสียดฟ้า โขมงคลุ้งทุกแห่งหน
เมืองมากมายล้วนเปลี่ยนสภาพเป็นซากปรักหักพัง กองทัพใหญ่ของจักรวรรดิที่ประจำการอยู่ที่นี่ล้วนต่อสู้กับสัตว์อสูรมารที่อาละวาดรอบทิศพวกนั้นไม่เว้นแต่ละวัน
เมืองเขี้ยวโลหิต
หลายวันก่อนเคยมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้นที่เมืองนี้ กองทัพใหญ่ของจักรวรรดิพ่ายแพ้ ทำให้เมืองนี้ถูกยึด ยามนี้มีสภาพพังทลาย
เพียงแต่ในวันนี้กลับมีขบวนผู้ฝึกปราณราวๆ เจ็ดแปดคนปรากฏตัวขึ้นในเมืองนี้
ผู้นำเป็นชายชุดดำรูปร่างผอมสูง ใบหน้าเด็ดเดี่ยว
“จากข่าวที่ข้าสืบรู้มา ในหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองนี้มีราชันอสูรมารตนหนึ่งครองพื้นที่ เป็น ‘ราชันไก่ฟ้าโลหิต’ หนึ่งในสิบพญาราชันอสูรมารบริวารของราชันค้างคาวดำ อานุภาพไม่อาจดูเบา”
ชายชุดดำเอ่ยปากเสียงต่ำลึก
ผู้ฝึกปราณข้างกายเขาเหล่านั้นมีทั้งชายหญิง ท่าทางล้วนดูหนุ่มสาวยิ่ง แต่กลิ่นอายกลับดุดันและเจนจัดชัดเจน ทั่วกายแผ่กลิ่นอายอำมหิต เห็นได้ชัดว่าเป็นมือฉมังที่ผ่านสนามรบมานาน
ยามสายตาพวกเขามองไปทางชายชุดดำซึ่งเป็นผู้นำ ต่างเจือแววเคารพยำเกรงที่มาจากก้นบึ้งหัวใจไม่มากก็น้อย
“เพื่อความปลอดภัย พวกเจ้าก็คอยอยู่ที่นี่แล้วกัน ราชันไก่ฟ้าโลหิตนั่นให้ข้าจัดการคนเดียวก็พอแล้ว”
ชายชุดดำออกคำสั่ง
“ใต้เท้า!”
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างตกใจยกใหญ่ “ราชันไก่ฟ้าโลหิตนั่นทรงพลังกร้าวแกร่ง ซ้ำยังมีกองทัพใหญ่หลายแสนในครอบครอง ท่านจะไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวได้อย่างไร แม้จะฆ่าศัตรูก็ต้องพาพวกเราไปด้วย”
ในมุมมองพวกเขา การกระทำครั้งนี้ของชายชุดดำนั้นสิ้นคิดและบุ่มบ่ามเกินไป ท่าทางเหมือนจะสู้จนตัวตายอย่างสิ้นเชิง
ชายชุดดำโบกมือห้ามไม่ให้ทุกคนเอ่ยปาก สายตาทอดมองไปทางเมืองเขี้ยวโลหิตที่เหลือสภาพเป็นซากปรักหักพัง หว่างคิ้วผุดความเศร้าสลดและเคียดแค้นอย่างบอกไม่ถูก
“พวกเจ้าไม่เข้าใจ ข้าโตมาในเมืองนี้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ พี่น้อง และคนในตระกูลข้า… ล้วนต้องมาตายในหายนะเมื่อหลายวันก่อนกันหมด แค้นนี้มีหรือข้าจะไม่ชำระได้”
ขณะพูดดวงตาเขาแดงก่ำ แค้นจนกัดฟันจวนจะหัก
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างตะลึงงัน พวกเขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้เรื่องราวก็มีสาเหตุเช่นนี้เอง
“พวกเจ้ายังเด็ก ยังมีหนทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดินในภายหน้า ฟังข้า จงอยู่ที่นี่ให้หมด ศึกครั้งนี้ให้ข้าเป็นคนสู้เอง!”
ชายชุดดำสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหนักแน่นหาใดเปรียบ
“ยังจำประโยคนั้นได้หรือไม่ ‘ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!’ ภัยสัตว์อสูรมารนี้ย่อมไม่อาจล้มจักรวรรดิของพวกเราได้ และพวกเจ้า จะต้องถอดคราบผงาดง้ำในการต่อสู้ กลายเป็นเสาหลักของจักรวรรดิในภายภาคหน้า!”
กล่าวจบชายชุดดำก็ตั้งท่าจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็คล้ายสัมผัสถึงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้าขึ้นขวับ
ก็เห็นยานสมบัติลำหนึ่งไม่รู้ว่าปรากฏเหนือเวิ้งฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ บนหัวยานเงาร่างสายหนึ่งยืนตระหง่าน กำลังทอดสายตามองมา
——