บทที่ 2222 พระปีศาจปรากฏตัว เรือมังกรปรากฏตัว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ครั้นรู้ว่าเหมียวอี้ส่งทัพใหญ่สองพันล้านมาช่วยแล้ว ตอนหลังยังจะมีกำลังพลของเหยียนซิวกับเหิงอู๋เต้ามาช่วยอีก เหยียนซู่ก็สงบใจมาก ต่อให้ไม่พร้อมอย่างไร แต่เขาก็เชื่อว่าตัวเองจะรอจนกว่าทัพใหญ่สองพันล้านมาช่วยได้อย่างไม่มีปัญหา

เมื่อรู้ว่าเหมียวอี้กำลังจะทำศึกตัดสินครั้งสุดท้ายกับชิงและพุทธะ เหยียนซู่ก็เริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของเหมียวอี้อีก เพราะก่อนหน้านี้เคยเห็นพลังอันห้าวหาญของชิงและพุทธะ นั่นคือตัวละครที่สามารถเด็ดหัวแม่ทัพท่ามกลางกองทัพนับพันหมื่นได้ มิหนำซ้ำยังมีกันตั้งสองคน เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าเหมียวอี้เป็นอะไรไป ต่อให้เอาชนะกำลังพลของชิงกับพุทธะได้ก็ไม่มีประโยชน์ ฝั่งนี้จะต้องตกอยู่ในสภาพวุ่นวายแน่นอน กำลังพลจากแต่ละสายจะมีใครยอมใครล่ะ? ตอนนี้คนที่ทำให้พวกเขายอมอยู่ใต้อำนาจได้มีเพียงเหมียวอี้เท่านั้น!

“เทพสตรีทั้งสอง พลังของชิงและพุทธะไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะต้านไหว เกรงว่าฝ่าบาทจะมีอันตราย หวังว่าทั้งสองจะรีบไปช่วยเร็ว” เหยียนซู่ที่ในใจมีความกังวลกล่าวขอร้องต่อเทพสตรีเผ่าหงส์อย่างจริงใจ

ทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยรับแล้วรีบออกไปทันที ทิ้งหงส์และมังกรไว้คอยช่วยเหลือที่นี่ ถ้าฝั่งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้น หงส์และมังกรที่รวมตัวเป็นฝูงก็จะพยายามคุ้มครองเหยียนซู่ให้หนีออกไปทันที

อวี้หลัวช่านำลูกศิษย์จำนวนหนึ่งหมื่นติดตามคุ้มครองไปด้วย

เดิมทีเฮยทั่นก็ต้องการจะไปด้วยเหมือนกัน แต่ถูกเทพสตรีทั้งสองห้ามไว้ เพราะคนอื่นไม่เข้าใจว่าจะบัญชาการตั๊กแตนทมิฬให้คุ้มครองทัพกลางอย่างไร…

หลังจากเหมียวอี้รอจนชิงเยว่นำทัพมาเจอกันแล้ว ก็นำกำลังพลเลี้ยวไปทันที ใช้ตาทิพย์เล็งเป้าหมายไปที่ชิงและพุทธะตลอดทาง

ฝั่งหนึ่งมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ต้องการจะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว

ฝั่งหนึ่งทุบหม้อข้าวจมเรือ ต้องการจะสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ

ทัพใหญ่สองฝั่งมาเผชิญหน้าและคุมเชิงกันอยู่ในดาราจักรอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฝั่งหนึ่งเป็นกำลังพลเกือบเจ็ดพันล้านกำลังขยายตัวอยู่ในดาราจักร ลักษณะท่าทางดุดันสะเทือนขวัญ

ฝั่งหนึ่งเป็นกำลังพลหนึ่งพันล้านที่จัดกระบวนทัพอยู่ในดาราจักร ไม่ยอมถอยเด็ดขาด

สองทัพกำลังคุมเชิง แม่ทัพหลักของทั้งสองฝ่ายเผยโฉมมาพบกัน ต่างคนต่างมีความรู้สึกต่างกันไป

เหมียวอี้ยังนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับประมุขชิงครั้งแรกที่อุทยานหลวงได้รางๆ ตอนนั้นเขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะมีสิทธิ์นำทัพมาตั้งป้อมประจัญหน้ากับทัพของประมุขชิง และนึกไม่ถึงด้วยว่าตัวเองจะมีโอกาสแทนที่ประมุขชิง นึกย้อนไปถึงปีนั้นที่ประมุขชิงพูดประโยคเดียวก็สามารถทำให้เขาดิ้นรนอยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นความตายได้เลย เรื่องในอดีตที่ตัวเองดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างลำบากยากเข็ญราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เกรงว่าประมุขชิงในปีนั้นก็คงนึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีวันนี้!

ประมุขพุทธะขยับนับลูกประคำในมือ กำลังประเมินเหมียวอี้อย่างละเอียด

ส่วนประมุขชิง พอเห็นเหมียวอี้ก็เกิดไฟโกรธสุมทรวง พอนึกว่าภรรยาคู่ชีวิตอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกอยู่ในมืออีกฝ่าย ชิงหยวนจุนถูกอีกฝ่ายวางแผนทำร้าย จ้านหรูอี้และลูกในท้องก็ตายด้วยน้ำมืออีกฝ่าย และเจ้าสารเลวนี่ก็เป็นเขาเองที่คัดเองมาเองกับมือ

สำหรับเขา เขารู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้

แต่สำหรับเหมียวอี้ กลับไม่คิดว่าในปีนั้นประมุขชิงดูแลตัวเองเท่าไรนัก คิดว่าทุกสิ่งที่ได้มาล้วนเป็นตัวเองที่วางแผนรับมือเองอย่างระมัดระวัง

สรุปก็คือสำหรับประมุขชิงแล้ว นี่คือแค้นเก่าผสมแค้นใหม่ เมื่อเห็นเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าตาแดงทันที ชี้หน้าด่าอย่างโมโห “โจรกบฏ! ยังไม่รีบรับความตายไปอีก!”

เหมียวอี้ตอบเสียงดังว่า “ใจคนในใต้หล้าล้วนต่อต้าน ทุกสิ่งแสดงอยู่ตรงหน้าหมดแล้ว ยังไม่รีบยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีอีก แบบนั้นจะรอดตายได้!” มือข้างหนึ่งคว้ากระบี่เก้าเตามาไว้ในมือ

เมื่อเห็นกระบี่เก้าเตา ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวที่พ่อลูกโดนเสี้ยมให้กลายเป็นศัตรูกัน ประมุขชิงชักกระบี่ขึ้นมาคำราม “กล้าสู้ตายกับเจิ้นหรือเปล่า!”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เป็นตะพาบในไหแท้ๆ ยังกล้าพูดอีก?”

ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ แต่ใครจะไปคิดว่าในดาราจักรจะมีเสียงเยาะเย้ยถากถางที่ดูแคลนทุกสิ่งมีชีวิตดังขึ้น “พูดไม่ผิดหรอก เป็นตะพาบในไหทั้งนั้น!” เสียงนี้ทรงพลัง

ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน มองไปตามทิศทางที่เสียงดังมาพร้อมคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ เห็นเพียงเส้นสีดำเส้นหนึ่งลอยมจากจุดไกลๆ

พอเส้นสีดำเข้ามาใกล้ฝั่งนี้ จู่ๆ ก็พลิกหมุน แต่กลับเป็นผ้าสีดำเส้นหนึ่งที่ลอยอยู่ในดาราจักรเท่านั้น บนนั้นมีลวดลายที่ปักด้วยเส้นสีทอง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นจีวรสีดำตัวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะมีเสียงดังมา ก็เกรงว่าคงจะสังเกตเห็นได้ยากจริงๆ

“มีมานีโอม…” เสียงสวดมนต์ดังมา เสียงไม่ดังมาก แต่กลับหมือนเสียงระฆังที่ดังก้องกังวานสะท้านใจคน

เพียงชั่วพริบตานี้ มีคนไม่น้อยที่ตกอยู่ในภวังค์

แม้แต่เหมียวอี้เองก็ใจลอยไปชั่วครู่ แต่ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายกลับดีดคลื่นใสระลอกหนึ่งขึ้นมาชำระล้าง ชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาได้สติอีกครั้ง

ชั่วพริบตาที่ได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็ตกใจมาก ในหัวนึกถึงคนคนหนึ่งทันที พระปีศาจหนานโป!

ในตอนนี้ เหมียวอี้แอบร้องในใจแล้วจริงๆ พระปีศาจโผล่มาตอนนี้ อย่าบอกนะว่าพลังอิทธิฤทธิ์ฟื้นฟูกลับมาอยู่จุดสูงสุดเหมือนในปีนั้นแล้ว? ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็เกรงว่าจะเกิดปัญหายุ่งยากแล้ว อีกฝ่ายกล้าปรากฏตัวตอนนี้แสดงว่าต้องมีที่พึ่งแน่นอน

เขาจำที่เซี่ยโห้วท่าเคยกล่าวไว้ได้ ว่าพระปีศาจต้องใช้เวลาหมื่นปีกว่าจะกลับมามีพลังสูงสุดเหมือนในปีนั้น แต่นี่ยังไม่ถึงหมื่นปี ซ่อนตัวมานานขนาดนี้ ทำไมโผล่ออกมาตอนนี้ได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าปีศาจเฒ่านี่กำลังรอเวลานี้?

เหมียวอี้รีบมองซ้ายมองขวา พบว่ามีคนที่ทำสีหน้าเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย แม้จะเตรียมพร้อมป้องกันพระปีศาจไว้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะปิดหกประสาทสัมผัสเอาไว้ตลอด

ในทางกลับกัน ดูจากสีหน้าชิงและพุทธะก็เหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าอย่างไร

ทั้งชิงและพุทธะเผยสีหน้าหวาดผวาเช่นกัน

ในขณะนี้เอง มีเสียงฉิน “ติงติงตังตัง” ดังขึ้น เป็นเสียงที่แผ่วเบาอ่อนโยน เสียงนี้เริ่มดังและขยายวงกว้างทีละนิด ดังเข้ามาราวกับจะปูฟ้าคลุมดิน

กำลังพลที่ตกอยู่ในภวังค์ทยอยกันตัวสั่น ราวกับตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ตอนที่อารมณ์ความคิดตกลงสู่เหวลึก พวกเขาราวกับถูกเสียงฉินนี้ดึงกลับมา

ชิงและพุทธะสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง หันขวับไปมองพร้อมกัน

ทุกคนมองไปทางจุดที่เสียงฉินดังมา เห็นเพียงเรือมังกรยักษ์สีหยกขาวลำหนึ่งขับเข้ามาจากจุดลึกในดาราจักร เรือมังกรทั้งใหญ่ทั้งงามประณีต เป็นภาพที่โอ่อ่าอลังการ บนตัวผีดิบมากมายถูกล่ามโซ่ไว้ กำลังลากเรือมังกรไปข้างหน้า ทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านใจอย่างบอกไม่ถูก

คนของสิบปราสาทดำเนินยืนเรียงแถวเป็นรูปตัว ‘V’ อยู่ตรงหัวเรือ บนตึกเรือมีเทพพยากรณ์สวมหมวกงอบถือไม้ขักขระยืนอยู่ทางขวา เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำกับชุดคลุมสีดำทั้งตัวยืนอยู่ฝั่งซ้าย ประมุขไป๋อยู่ตรงกลาง มือกำลังดีดกู่ฉินที่ยาวประมาณหนึ่งจั้ง

บนกู่ฉินแกะสลักเป็นรูปดาราจักร หัวมังกรสามตัวราวกับชะเง้อขึ้นมาจากทะเลเมฆ ตัวมังกรสามสีคือสายฉิน ดูถูกจากรูปแบบแล้วคงจะเป็นกู่ฉินแปดสายแบบดั้งเดิม ไม่รู้ว่าทำไมจึงเหลือเพียงสามสาย

จอนผมสองข้างเป็นสีขาว ผ้าคลุมสีเขียวแกมฟ้าคลุมบนชุดขาว มือข้างหนึ่งไขว้หลังอยู่ใต้ชุดคลุม ห้านิ้วเรียวยาวกำลังดึงดีดฉินสามสายอย่างสง่างาม สีหน้าท่าทางเยือกเย็น สถานการณ์ที่ทัพใหญ่กำลังคุมเชิงกันอยู่ในดวงตางามดุจประกายดาวคู่นี้หมดแล้ว เสียงฉินก็มาจากเรือมังกรลำนี้ มาจากการบรรเลงด้วยมือของประมุขไป๋

เรือมังกรอเวจี! เทพพยากรณ์! เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง จ้องชายที่กำลังดีดฉิน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้พบเขาอีกครั้ง แต่กลับเลือกที่จะปรากฏตัวในเวลานี้ เขาไม่กล้าแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหรือมิตร

พลังอำนาจของชิงและพุทธะยามต้องการทำศึกตัดสินถูกกลบแล้ว ทั้งสองจ้องชายที่ดีดฉินอยู่บนเรือมังกรไม่ละสายตา มีสง่าราศีเหมือนเดิม อิสระสง่างามเหมือนอย่างเคย ถูกขังมาหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมีเพียงความกร้านโลกเท่านั้น

เหมียวอี้ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร แต่พวกเขากลับแน่ใจได้ว่าประมุขไป๋ไม่ได้มาดี!

ก่อนหน้านี้ทั้งสองคิดมาตลอดว่าต่อให้แพ้แต่ก็สามารถหนีไปได้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีความมั่นใจแล้ว

ทั้งยังมีผีดิบที่ลากเรือมังกรพวกนั้นอีก พวกชิงและพุทธะไม่ได้แปลกหน้ากับผีดิบพวกนี้ มีคนเก่าคนแก่ไม่น้อยที่มองหน้ากันเลิกลั่ก

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนตึกเรือทำให้ประมุขชิงกระตุกแก้มอย่างรุนแรง พอนึกถึงซ่างกวนชิงที่ถูกตัวเองฆ่าทิ้งไป ก็เหมือนจะตระหนักได้แล้วว่าตัวเองทำอะไรผิดไป

จีวรสีดำที่ลอยมาพลันคลายออก ที่แท้ก็เป็นจีวรที่พับไว้ พอคลายจีวรออกใน ข้างในก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มา เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อจำอิ๋งเยว่ได้ จำลูกน้องเก่าของอิ๋งจิ่วกวงได้ เพียงแต่จำจั่วเอ๋อร์ที่กลับมาเป็นสาวอีกครั้งไม่ได้

พระที่รูปร่างสูงใหญ่ยืนเท้าเปล่าอยู่ข้างหน้า จมูกโด่งแก้มตอบเบ้าตาลึก หน้าเป็นโครงกระดูกชัดเจน เป็นพระปีศาจหนานโปนั่นเอง ยกมือดึงจีวรที่ปลิวสะบัดข้างละมุม ดึงจีวรม้วนเข้ามาพาดเฉียงไว้บนบ่า ปิดคลุมกล้ามเนื้อแน่นแข็งแรงบนท้องและหน้าอก

มีตู้เฉียว ลูกน้องคนสนิทของซ่างกวนชิงอยู่ในนั้นด้วย ถ้าเขาอยากจะรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่ก็ไม่ยาก เพียงแต่ตอนหลังซ่างกวนชิงโดนประมุขชิงสังหารแล้ว ตู้เฉียวในฐานะที่เป็นคนสนิทของซ่างกวนชิงก็ไม่รอดเช่นกัน ที่จริงเขาติดตามขบวนของชิงและพุทธะมาตลอด รอโอกาสปรากฏตัวมาตลอด เพียงแต่อาศัยทักษะพิเศษของเขา จึงทำให้ไม่มีใครพบเห็นก็เท่านั้นเอง

เหมือนกับที่เขาเคยบอกไว้กับจั่วเอ๋อร์ เขาต้องการรอให้คนมากันครบ ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้ใครหนีไปได้ แม้จะเป็นเขาก็ตาม ก็ตามหาให้เจอได้ยากอยู่ดี

ชิงและพุทธะมองพระเปลือยเท้าที่ห่มจีวรดำ ดวงตาฉายแววหวาดกลัว ถ้าจะบอกว่าให้เผชิญหน้ากับประมุขไป๋ เขาก็ยังมีความกล้าที่จะเผชิญหน้า แต่ถ้าให้เผชิญหน้ากับพระปีศาจหนานโป ในใจทั้งสองก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่

สายตาลึกล้ำของพระปีศาจหนานโปกวาดมองชิงและพุทธะ สองคนนี้ต้องการจะเล่นงานให้ตนสิ้นชีวิตที่สถานที่ผนึก สายตาหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกือบตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มพิลึก “หนิวโหย่วเต๋อ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ!”

เมื่อเทียบกับชิงและพุทธะ เขาแค้นเหมียวอี้ยิ่งกว่า ตั้งแต่เป็นใหญ่ใต้หล้า ยังไม่เคยมีใครหลอกต้มเขาเหมือนเป็นคนโง่มาก่อน อาศัยฐานะของเขาทำงานให้เหมียวอี้เพื่อบัวโลหิต เมื่อทำงานเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าเหมียวอี้เบี้ยวสัญญา ไม่ทำตามสัญญาก็ว่าหนักแล้ว ทั้งยังจะเล่นงานเขาให้ถึงแก่ความตายอีก ใต้หล้ามีใครที่ไร้ยางอายจนน่าแค้นขนาดนี้บ้าง?

เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ตอบอะไร สายตามองไปทางประมุขไป๋ รู้อยู่ชัดเจนว่าพระปีศาจมาแล้ว แต่ประมุขไป๋ก็ยังโผล่หน้ามา แสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน หรือเพราะมีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัว?

เสียงฉินเงียบลง เรือมังกรอเวจีก็หยุดอยู่ตรงจุดไกลๆ เช่นกัน

พระปีศาจหนานโปพลันหันไปจ้องที่เรือมังกรอเวจี จ้องประมุขไป๋พลางแสยะหัวเราะ แล้วก็จ้องที่เทพพยากรณ์อีก ยิงฟันเผยรอยยิ้มที่สื่อความหมายล้ำลึก

เทพพยากรณ์ที่สวมหมวกงอบสงบนิ่งเยือกเย็นมาตลอด ตอนนี้ก้มหน้าเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาพระปีศาจ รู้สึกตัวสั่นเล็กน้อยด้วย

สายตาของพระปีศาจหนานโปกลับไปมองทัพใหญ่ที่กำลังคุมเชิงอีก แล้วถามด้วยเสียงดังก้องว่า “สู้กันสิ! สู้กันต่อไป ทำไมไม่สู้แล้วล่ะ?”

ตรงนั้นไม่มีเสียงใครตอบ ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักพระปีศาจหนานโป แต่เสียงสวดมนต์ก่อนหน้านี้ก็แทบจะควบคุมทุกคนได้แล้ว ทำให้พอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร

การปรากฏตัวของพระปีศาจ การปรากฏตัวของเรือมังกรอเวจี ทำให้กลิ่นอายของศึกที่กำลังจะปะทุอันตรธานหายไปแล้ว

กำลังพลเก่าสายตระกูลอิ๋งเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บางคนก็ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจ พวกเขารอวันนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะอิ๋งเยว่ แววตาที่อาฆาตแค้นมองไปบนใบหน้าประมุขชิง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อและเหมียวอี้เป็นระยะ

ตรงจุดที่อยู่ไกลๆ คนกลุ่มหนึ่งหยุดเหาะกระทันหัน เป็นสองเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์ แล้วก็มีอวี้หลัวช่าด้วย

สองเทพสตรียื่นมือขวาง กล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พระปีศาจหนานโป!”

พวกนางคือคนที่เคยสู้กับพระปีศาจหนานโปซึ่งๆ หน้าเมื่อนานมาแล้ว รู้ว่าพระปีศาจน่ากลัวขนาดไหน

อวี้หลัวช่าแค่เคยเห็นวิญญาณศักด์สิทธิ์ของพระปีศาจ ไม่เคยเห็นตัวจริง พอได้ยินแล้วก็ตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจเฒ่าจะปรากฏตัวอีกครั้งที่นี่ เป็นเรื่องที่อันตรายร้ายแรงถึงชีวิตจริง

ขบวนเดินทางนี้จึงไม่กล้าเข้าใกล้อีก

…………………………