ตอนที่ 1468 : การต่อสู้กับขอบเขตดั้งเดิม (1)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1468 : การต่อสู้กับขอบเขตดั้งเดิม (1)

พวกนั้นเคลื่อนที่ไปในอุโมงค์อย่างระมัดระวัง พวกนั้นเคลื่อนที่ช้าไม่ใช่เพราะกลัวลำแสงพลังงานภายในอุโมงค์แต่เพราะพวกนั้นกลัวว่าอุโมงค์จะถล่ม

แม้ว่าอุโมงค์นี้จะดูมั่นคงกว่าเดิมเยอะแต่มันก็ให้แค่จอมยุทธขั้นรับมอบผ่านได้เท่านั้น เมื่อคนที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเข้าไป อุโมงค์ที่ไม่มั่นคงนี้ยิ่งเปราะบางลงมากกว่าเดิมและเสี่ยงที่จะถล่มลงมา

พวกคนที่กำลังเดินทางนี้อยู่ที่ขั้นรับมอบ 6 คนคือขีดจำกัดของอุโมงค์ที่จะทนได้ ผลก็คือทั้ง 6 ต้องเดินหน้ากันอย่างระวังและพลังงานของพวกเขาก็ยังถูกกักไว้กับตัว

“เราเข้าใกล้โลกงดงามนั่นแล้ว ข้ารู้สึกได้ถึงพลังจากทางเข้า ข้าหวังว่าการเดินทางนี้จะราบรื่นไม่พบกับอุปสรรค”

“โลกที่มีจอมยุทธขั้นดั้งเดิม ข้าเชื่อว่ามันต้องมีจอมยุทธขั้นดั้งเดิมอย่างน้อย 1 คนที่ทางเข้าของอุโมงค์ตอนนี้ เมื่อเราไปถึงทางเข้า มันต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นแน่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านไปอย่างราบรื่น”

“เจ้าพูดถูก ข้าไม่เชื่อว่าผู้บ่มเพาะในโลกนี้จะโง่ มันต้องมีจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมที่ทางเข้าอุโมงค์ เมื่อเราถูกพบตัว เราต้องรีบออกมาเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ อุโมงค์นั้นอาจจะถล่มลงถ้าเราเดินทางด้วยความเร็วสูง แต่มันคงไม่ถล่มลงมาทันที เราจะผ่านมันออกมาได้ด้วยความเร็วของเราก่อนที่มันจะถล่ม และจากนั้นเราจะทำตามแผนของจิตวิญญาณราชันย์และใช้สมบัติจากจิตวิญญาณราชันย์เพื่อกักขังจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมเอาไว้ อันนารับหน้าที่ในการดูแลอุโมงค์ ส่วนจอมยุทธขั้นรับมอบ 4 คนและ 3 เซียนจักรพรรดิที่มีอาวุธเซียน เราจะจัดการเอง ไม่มีใครในโลกทวีปเทียนหยุนที่น่ากลัวยกเว้นแค่พวกขั้นย้อนกลับ

นี่เพราะทั้งหกคือจอมยุทธขั้นรับมอบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบคนของโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้ง

“เราต้องระวังชายที่มีกระบี่ 2 เล่ม จิตวิญญาณราชันย์ได้เน้นเตือนเราให้ระวังเขาไว้ เขาคือคนที่เข้าใจกฎเช่นเดียวกับจิตวิญญาณราชันย์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อ่อนแอกว่าเรา” ผู้หญิงเพียงคนเดียวในทั้งหมด 6 คนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฮ่าฮ่า ข้าได้ยินมาว่าโลกอันงดงามนี้ขาดพลังงานดั้งเดิม มันน่าแปลกใจที่ผู้บ่มเพาะนั้นเข้าใจกฎเดียวกับจิตวิญญาณราชันย์ย์ได้ด้วยเงื่อนไขแบบนี้ ข้าล่ะอยากรู้ ข้าไม่ได้มีสิทธิที่จะเห็นเส้นทางแห่งกระบี่ของจิตวิญญาณราชันย์ ดังนั้นคนในโลกนี้ก็เพียงพอจะไขข้อสงสัยของข้าได้” ชายแก่ที่มีแค่ผิวหุ้มกระดูกหัวเราะออกมาแปลก ๆ สายตาเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา

“เฒ่ากู่มู่ อย่าประมาทชายที่มีกระบี่ 2 เล่ม เขาถูกหมายหัวโดยจิตวิญญาณราชันย์ เขาอาจจะเป็นจอมยุทธขั้นรับมอบ แต่เขาเข้าใจกฎแบบเดียวกับจิตวิญญาณราชันย์ของเรา ถ้าเจ้าประมาทเขา จงระวังคมกระบี่ของเขาที่จะบั่นคอเจ้า” ผู้หญิงฮึดฮัดออกมา ร่างอันเพรียวบางของนางนั้นบิดเบี้ยวไปตามมิติที่ไม่มั่นคงเผยให้เห็นร่างที่พร่ามัว อีก 5 คนเองก็เช่นเดียวกัน

ชายแก่ที่ชื่อกู่มู่หัวเราะออกมา เขาพูดด้วยเสียงที่ไม่พอใจ “อันนา เจ้าไม่ให้ตีค่าชายคนนั้นมากไปหน่อยรึ ? ว่าจิตวิญญาณราชันย์จะเตือนเราเรื่องเขา แต่เขาก็แค่ขั้นรับมอบ ข้าอาจจะบอกไม่ได้ว่าข้าไร้เทียมทานหมู่ขั้นรับมอบ แต่การฆ่าข้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยพวกเจ้าทุกคนก็ไม่อาจจะเอาชนะข้าได้ในการสู้แบบ 1 ต่อ 1 ”

ทั้ง 6 ต่างก็สื่อสารกันด้วยทักษะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ส่งเสียงออกมา

ในอุโมงค์มิตินี้ไม่อาจจะสัมผัสถึงเวลาได้ แต่ทางออกไปยังทวีปเทียนหยุนในที่สุดก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า

ใบหน้าของพวกเขาดูสดในขึ้นมาเมื่อเห็นแบบนั้น ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงและไม่พบกับอุปสรรคใด ๆ การเดินทางนี้ราบรื่นจนทำให้พวกเขาแปลกใจ

“แม้ว่าเราจะถูกพบตัวแต่เราก็ระเบิดพลังพุ่งออกจากอุโมงค์ได้จากระยะนี้” อันนาคิดกับตัวเองด้วยความดีใจ

ในเวลาเดียวกันที่เมืองอัคนีซึ่งห่างออกไปกว่าล้านกิโลเมตร เจี้ยนเฉินเพิ่งจะทำการฟื้นคืนชีพเจ้าของยุทธภัณฑ์ธจักรพรรดิในห้องลับเสร็จ ตอนที่เขาวางแผนจะทำต่อ จู่ ๆ ตาเขาก็หรี่ลง เขาเงยหน้าขึ้นมองออกไป สายตาเขาคมกริบและสดใสขึ้นมา พวกมันเหมือนจะฉายลำแสงสองอันออกมาซึ่งได้ปะทะเข้ากับกำแพงห้องลับจนสร้างรูสองรูขนาดเท่ากับนิ้วมือขึ้นมา

“พวกมันมาแล้ว ! ” ใบหน้าของเจี้ยนเฉินดูสลดลงก่อนจะเผยความอาฆาตออกมา ในพริบตาเขาก็หายตัวไปจากห้องลับ

เกือบจะในตอนที่เจี้ยนเฉินหายตัวไป ท้องฟ้าเหนือเมืองอัคนีก็ดูปั่นป่วนขึ้น มีกระบี่ 2 เล่มพร้อมกับแสงสีม่วงปรากฏขึ้นมา มันได้พุ่งออกไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อก่อนจะหายไป แม้แต่เซียนจักรพรรดิก็ยากที่จะตามมันทัน

ตอนที่แสงสีม่วงหายไป ท้องฟ้าสีม่วงก็กลับเป็นปกติ แสงสีม่วงปรากฏขึ้นและหายไปในเวลาไม่ถึง 1 วินาที ในเวลาที่สั้นแบบนี้ คนอ่อนแอหลายคนในเมืองไม่อาจรับรู้การเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าได้ ที่พวกเขาได้ยินมีแค่เสียงกระบี่ที่ดังก้อง

แต่หลายคนในถนนก็ยังเห็นประกายแสงสีม่วง มันทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย

ไป๋ไฮ, โหยวเยว่, ไป๋เหลียน, หมิงตง, ตู่กูเฟิง, เซียวเทียนหยู, หยุนเจิ้ง และจอมยุทธคนอื่น ๆ ต่างก็ออกจากจวนเจ้าเมือง พวกเขามองไปที่ท้องฟ้าด้วยความแปลกใจและไม่มั่นใจ

“มันเป็นท่านพี่ ท่านพี่เพิ่งออกจากเมืองไป การที่เขาออกไปอย่างดุดันแบบนี้ โลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งมากันแล้วรึ ? ” ไป๋เหลียนพึมพำออกมา นางมองออกไปยังทางที่เจี้ยนเฉินหายไปแล้วแสดงสีหน้ากังวล

โหยวเยว่เองก็มองไปทางที่เจี้ยนเฉินบินไป นางกำหมัดแน่นและกังวล ความกังวลเอ่อล้นในใจของนาง

ในภูเขาทางเหนือ เฟิงเซียวเทียนกำลังอธิบายถึงค่ายกลให้กับเซียนจักรพรรดิของสี่เผ่าพันธุ์นับร้อย ๆ คนฟัง ไม่นานหลังจากที่เจี้ยนเฉินจากไป ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและก็หยุดพูด เขามองไปยังทางเมืองทหารรับจ้าง

กุยไฮ่ยี่เต่าและหยางลี่รับรู้บางอย่างได้เช่นกัน กุยไฮ่ยี่เต่าลุกขึ้นยืนพร้อมกับมีดที่ลอยอยู่บนหัว เขาแผ่พลังอันมหาศาลออกมาจนเสื้อผ้าปลิวไปตามลมก่อนจะเอ่ยออกมาว่า ” พวกมันมาแล้ว”

“มันมีการเปลี่ยนแปลงในอุโมงค์ จอมยุทธจากต่างโลกมาแล้ว ทุกคน ตามข้าไปจัดการกับศัตรู ! ” เฟิงเซียวเทียนร้องออกมา ผงหยกขาวปรากฏขึ้นมาในมือ เขาเปิดประตูมิติออกก่อนจะออกไปพร้อมกับหยางลี่และ กุยไฮ่ยี่เต่า

เซียนจักรพรรดิด้านล่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเองก็แผ่พลังออกมา พวกเขาได้สร้างประตูมิติแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองทหารรับจ้างด้วยเช่นกัน

เสี่ยวหลิงปรากฏตัวที่ทางเข้าอุโมงค์ที่ซากเมืองทหารรับจ้าง นางใช้ร่างกายตัวเองขวางทางเข้าเอาไว้ ใบหน้าใสซื่อของนางแสดงความกลัวออกมา แต่สายตาของนางนั้นดูมุ่งมั่น นางมองเข้าไปในอุโมงค์และกัดฟันแน่น นางพูดขึ้นมาอย่างกังวล “ข้าให้พวกมันเข้ามาไม่ได้ ข้าไม่อาจยอมให้พวกมันมาได้ ข้าต้องหยุดพวกมัน”