ตอนที่ 2969

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,969 : ธาตุดิน

คุกศิลาทมิฬ เป็นวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน เคล็ดความที่สำคัญและทรงพลังที่สุดของวรยุทธ์นี้ก็คือสนามพลังโน้มถ่วง

 

ด้วยมีสนามพลังโน้มถ่วงอันรุนแรง กอปรด้วยการปิดกั้นของลูกกรงทมิฬที่เกิดขึ้นจากการควบแน่นขององค์ประกอบธาตุดิน ก็ทำให้มันกลับกลายเป็นคุกแรงดึงดูดอันน่ากลัว!

 

หากสามารถกักขังศัตรูได้ ไม่เพียงกักกันให้อีกฝ่ายไม่อาจหลบหนีไปไหนได้แล้ว ด้วยความลึกซึ้งพื้นที่แรงโน้มถ่วง ก็จะทำให้ภายในคุกเต็มไปด้วยสนามพลังโน้มถ่วงอันน่าพรั่นพรึง ที่จะคอยเคี่ยวกรำให้ผู้ถูกขังพบเจอกับแรงดึงดูดอันมหาศาลที่บดขยี้ร่างกายจากทุกทิศทาง

 

หากคิดจะสำเร็จวรยุทธ์คุกศิลาทมิฬนั้น ก่อนอื่นเลยก็จำต้องเข้าใจความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐานของธาตุดินรวมถึงความลึกซึ้ง พื้นที่แรงโน้มถ่วงเสียก่อน

 

ในบรรดาความลึกซึ้งทั้ง 2 ของที่แฝงมากับวรยุทธ์อมตะคุกศิลาทมิฬนั้น ความหมายพื้นฐานของธาตุดินเป็นดั่งรากฐาน และไม่ว่าจะวรยุทธ์อมตะระดับราชาหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุใด ก็มักจะแฝงความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐาน เอาไว้ทั้งสิ้น

 

เพราะเหตุนี้ผู้คนมากมายจึงพากันเรียกวรยุทธ์อมตะระดับราชาหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุต่างๆ ว่าประตูสู่กฏ!

 

หากไม่ได้ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุต่างๆมาก่อน แล้วคิดจะกระโดดไปฝึกวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับจอมราชันหรือแม้กระทั่งระดับจักรพรรดิธาตุต่างๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนได้สำเร็จ ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าถึงกฏของธาตุนั้นๆ!

 

เพราะในวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจอมราชันและจักรพรรดินั้น มันไม่ได้แฝงความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐานแห่งธาตุเอาไว้อีกแล้ว…

 

เช่นนั้นเพื่อที่จะเปิดประตูสู่พลังแห่งกฏ จำต้องได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชามาฝึกปรือให้เข้าใจความหมายพื้นฐานของธาตุนั้นๆก่อน…

 

หาไม่แล้วก็ต้องใช้เวลายาวนานเพื่อสัมผัสถึงการคงอยู่ของกฏ ซึ่งไม่ใช่อะไรที่จะกระทำได้ในเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปีแน่นอน! และคงไม่มีใครคิดจะทำแบบนั้น เพราะชนรุ่นก่อนได้ทุ่มเทเวลามากมายเพื่อหาแนวทาง ให้ชนรุ่นหลังสัมผัสถึงประตูได้ง่ายๆแล้ว ใครจะไปบ้านั่งงมโข่งเองตั้งแต่แรก!!

 

เรื่องนี้เป็นดั่งสามัญสำนึกของระนาบเทวโลก

 

“เจ้าหนู ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกเจ้าไว้แล้วว่าด้วยมีความช่วยเหลือจากปฐพีเทพแรกกำเนิดขั้นที่ 3 อย่างข้า เจ้าย่อมสามารถเข้าใจความลึกซึ้งต่างๆของกฏแห่งโลกได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆถึง 10 เท่า…อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่ข้ากล่าวถึงนั้น ไม่รวมความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐาน ที่เป็นดั่งประตูสู่ธาตุดิน…”

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกำลังเตรียมจะตีความฝึกฝนวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินอย่างคุกศิลาทมิฬ เพื่อเข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่าง ความหมายพื้นฐาน เพื่อเปิดประตูสู่พลังแห่งกฏธาตุดิน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็กล่าวเกริ่นออกมาเสียกอน

 

“หืม? ที่เจ้าพูดหมายความว่าอะไร…ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อาจช่วยให้ข้าเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายพื้นฐานของธาตุดินได้เร็วกว่าคนอื่น 10 เท่าหรอกนะ?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่นั่งหลับตาและทุ่มจิตสมาธิไปกับการตีความคุกศิลาทมิฬ อดขมวดคิ้วไม่ได้

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น…”

 

เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอีกครั้ง และยังแฝงความเย่อหยิ่งถือดีถึงขีดสุด “ที่ข้าบอกว่าไม่รวมความหมายพื้นฐานของธาตุดิน เพราะข้าไม่ใช่แค่จะช่วยให้เจ้าเข้าใจมันเร็วกว่าผู้อื่น 10 เท่า แต่ข้าสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจมันได้ในเวลาชั่วข้ามคืน!!”

 

“เจ้ารู้หรือไม่ ผู้อื่นนั้น ต่อให้มีไหวพริบปฏิภาณเลิศล้ำถึงเพียงใด หากแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งแรก อย่างความหมายพื้นฐานแห่งธาตุ ให้ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลา 3-5 ปี! ส่วนเจ้าพวกที่ไม่ใช่อัจฉริยะดั่งสัตว์ประหลาด ก็ไม่พ้นต้องใช้เวลานับร้อย แม้กระทั่งนับพันๆปี!!”

 

ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “และหากใครที่หัวทึบไหวพริบปฏิภาณต่ำตม เผลอๆกระทั่งความลึกซึ้งอย่างความหมายพื้นฐานแห่งธาตุ ชั่วชีวิตพวกมันก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ด้วยซ้ำ…และคนจำพวกนี้ก็เสมือนถูกลิขิตให้ไร้วันเข้าถึงพลังแห่งกฏไปชั่วกาล!!”

 

“อะไร? ช่วยให้ข้าเข้าใจได้ในเวลาชั่วข้ามคืน!?”

 

ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด

 

เพราะฟังจากที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว ไม่ได้หมายความว่า…

 

ก่อนที่การประมูลของราชวงศ์ประเทศตันจี้จะเริ่มขึ้นหัวค่ำพรุ่งนี้ ด้วยมีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินช่วยเหลือ เขาจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่าง ‘ความหมายพื้นฐาน’ ของธาตุดินได้แล้วงั้นเหรอ!?

 

แต่…

 

ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะมีความสามารถเลิศล้ำถึงขนาดนั้นจริงๆ?

 

“เข้าใจความหมายพื้นฐานในเวลาชั่วข้ามคืน…นี่เจ้าคงไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่หรอกนะ?”

 

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถามปฐพีเทพแรกกำเนิดด้วยความแคลงใจ

 

“อุบ๊ะ! เจ้าคิดว่าข้าพูดโอ้อวดรึไงหา…เพ่ย! พรุ่งนี้เดี๋ยวรู้เรื่อง!!”

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงคลางแคลงสงสัยของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็รู้สึกขุ่นขึ้งไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายทำราวกับมันเป็นเด็กน้อยไร้ความน่าเชื่อถือ “ตอนนี้เจ้าผ่อนคลายร่างกายเสีย อย่าเกร็ง! ทำจิตให้ว่าง แล้วก็ปล่อยสำนึกเทวะให้แผ่ออกมาอย่างอิสระล่องลอยไปไม่ต้องกำหนดเสีย…”

 

“เดี๋ยวพี่ใหญ่ผู้นี้จะชักนำสำนึกเทวะของเจ้าให้เข้าถึงองค์ประกอบของธาตุดินระหว่างสวรรค์และโลก…และหลังจากนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำก็เพียงจมจ่อมกับความรู้สึก สดับฟังรับรู้องค์ประกอบของธาตุดินทั้งหมดซะ!”

 

“เมื่อเจ้าคุ้นเคยกับองค์ประกอบของธาตุดินแล้วเข้าถึงมันได้ วันหน้าเมื่อเจ้าโคจรพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเพื่อสู้กับผู้อื่น เจ้าสามารถอาศัยการผสานพลังธาตุดินเข้าไปได้…และลำพังเพียงแค่เจ้าผสานพลังของธาตุดินเข้าไป พลังของเจ้าก็เพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิมมากมายแล้ว!”

 

หลังปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ตอบอะไรกลับไปอีก

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เริ่มทำตามคำแนะนำของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอย่างเคร่งครัด เริ่มผ่อนคลายร่างกาย ทำจิตให้ว่าง จากนั้นก็ปล่อยให้สำนึกเทวะเป็นอิสระล่องลอยออกมาทั่วร่างกายอย่างไร้จุดหมาย

 

ตอนแรกหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนทำจิตให้ว่าง และปล่อยสำนึกเทวะให้เป็นอิสระแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไร…

 

ทว่าหลังจากผ่านไปไม่กี่สิบลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสำนึกเทวะของเขาได้เริ่มชำแรกลงสู่พื้นดินใต้เท้าอย่างง่ายดาย ยังพุ่งลึกลงไปยังใต้โลก…

 

กระบวนการทั้งหมดราบรื่นง่ายดาย เสมือนสำนึกเทวะเขาคือสว่านพลังสูง สามารถเจาะทะลวงได้ทุกสรรพสิ่ง

 

‘นี่คือ…ผลงานของปฐพีเทพแรกกำเนิดงั้นหรือ?’

 

ในขณะที่ตื่นตระหนกกับเรื่องราวดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เมื่ออยู่ๆเขาพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง…

 

หลังสำนึกเทวะของเขาชำแรกลึกลงไปใต้พิภพแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนมากมาย บ้างรุนแรงบ้างแผ่วเบา คล้ายบังเกิดแผ่นดินไหวไกลๆ ทำให้สำนึกเทวะของเขาพลอยสั่นพ้องตามไปด้วย

 

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

 

 

จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนที่เป็นจังหวะจะโคนทำนองเอื่อย ราวกับหัวใจของมนุษย์กำลังเต้นอยู่

 

ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!

 

บ้างก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนที่รัว ประหนึ่งทัพม้านับหมื่นยาตรา ให้ความรู้สึกทรงพลังรุนแรงประหนึ่งจะฉีกแยกปฐพีให้เป็นเสี่ยงๆ

 

จากนั้นการสั่นสะเทือนทั้งหลายก็ประดังเข้ามาให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสถึง ทำให้รู้สึกยากจะกล่าวราวกับได้ยินเสียงชีพจรของสรรพสิ่งกำลังเต้น

 

เรียกว่ากระบวนการดังกล่าว ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนว่าสำนึกเทวะของเขาได้ผสานเข้ากับสรรพสิ่ง…สรรพสิ่งที่ผืนแผ่นดินโอบอุ้มเอาไว้

 

ไม่ว่าจะเป็นอาคารปลูกสร้างที่ตั้งบนพื้นดิน รากไม้ที่หยั่งลึกลงไปในดิน ฝีเท้าผู้คน สัตว์อมตะ สรรพชีวิตทั้งหลาย…

 

นอกจากนั้นยังตระหนักได้ถึงขุนเขาตระหง่านที่เชื่อมต่อกับพื้นดินอย่างแข็งขัน ราวกับจะเชื่อมผนึกไม่แยกจาก…

 

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบว่าเวลามันล่วงเลยผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว เขารู้แค่ว่าสำนึกเทวะของเขาเสมือนได้หลอมรวมเข้ากับผืนดิน รับรู้ได้ถึงทุกสิ่งอย่าง

 

ในระหว่างกระบวนการสดับฟังชีพจรปฐพีและสรรพสิ่งนี้ ต้วนหลิงเทียนยังเข้าใจกระบวนการก่อเกิดของดินอย่างลึกซึ้ง จึงทราบว่าดินนั้นหาได้มีแค่ดินร่วนดินเหนียวดินทรายที่เอาไว้ปลูกพืช ทั้งเป็นรากฐานรองรับสรรพสิ่งแต่อย่างใด

 

กระทั่งดินที่ควบรวมก่อตัวเป็นภูเขา ดินที่ควบแน่นมานานหลายหมื่นพันปี จนกลับกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ราวกับมันได้รับการขัดเกลาส่งเสริมจากฟ้าดินผ่านวันเวลามาอย่างยาวนาน…

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าบัดนี้สำนึกเทวะของเขาได้หลุดออกมาจากผืนดิน และเริ่มล่องลอยขึ้นไปในอากาศ

 

เขาพลันพบว่า…

 

แม้แต่ในอากาศ ก็ยังมีลมหายใจของปฐพี มันเป็นลมหายใจที่ค่อนข้างแผ่วเบา หากแต่หนักแน่นและมั่นคงนัก ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความปลอดภัย

 

‘นี่คือ…ธาตุดินหรือ?’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

 

เวลายังคงไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

จนเมื่อต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าค่ำคืนได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปแล้ว แสงอัสดงยามเช้ากำลังส่องลอดหน้าต่างแทรกผ่านผ้าม่านเข้ามาอาบไล้ผิวกาย ให้ความอบอุ่น…

 

“ธาตุดิน…”

 

จากนั้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุมหนึ่งแผ่ซ่านออกมา จากนั้นมันก็เข้าไปจับกับธาตุดินที่สถิตย์อยู่ในอณูอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆชักนำเข้ามาหลอมรวมผสาน จนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาเริ่มทอแสงสีเหลืองออกมาเรืองๆ

 

และไม่นานหลังจากนั้น พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสีเหลืองของเขา ก็ค่อยๆกลับกลายเป็นสีกากี จากนั้นก็โคจรม้วนวนไปทั่วร่างกายของเขา ราวอสรพิษตัวเขื่องเลื้อยลดขดพัน

 

“พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดหลังหลอมรวมกับธาตุดินแล้ว…มันทรงพลังถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่อัดแน่นอยู่ในพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดหลังผสานกับธาตุดิน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!

 

แม้เขาจะพึ่งได้วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินอย่าง คุกศิลาทมิฬ มาเมื่อวาน ทว่าบัดนี้เขาตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างวรยุทธ์อมตะและเวทยย์พลังระดับขุนนางกับราชาชัดเจน!

 

เพราะเมื่อเข้าใจถึงความลึกซึ้งที่แฝงเร้นอยู่ในวรยยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาแล้ว ยังสามารถใช้พลังดังกล่าวผสานเข้ากับทักษะความสามารถเดิมๆได้…

 

ก็เหมือนกับสภาพเขาในตอนนี้

 

พลังแห่งของธาตุดิน ที่เขาใช้อยู่มันก็แค่พลังจากความลึกซึ้งแรกอย่าง ความหมายพื้นฐานของธาตุดินเท่านั้น ไม่ใช่วรยุทธ์หรือวิธีการใดๆ…

 

กล่าวได้ว่า

 

หลังจากที่เขาชักนำพลังธาตุดินมาหลอมรวมเข้ากับพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดแล้ว เขาสามารถใช้วรยุทธ์เก่าๆที่เคยใช้มาได้ และมันยังจะทรงพลังอานุภาพขึ้นอีกด้วย!

 

เพราะพลังธาตุดินที่ผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมันไม่ได้ขัดแย้งกับกับวิธีการเหล่านั้น

 

‘ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่มีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง แต่ก็มากพอจะเอาชนะพี่เจียหลงในฝ่ามือเดียว!’

 

ในอดีตถึงแม้ภายนอกจะเห็นว่าเขาสามารถเอาชนะหวงเจียหลงได้ในกระบวนท่าเดียว แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเขาพึ่งพาพลังที่เหลืออยู่ของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองทั้งสิ้น…

 

หากให้ประมือกับหวงเจียหลงอีกครั้ง เกรงว่านอกจากจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกรอบ ไม่งั้นเขาคงไม่มีหนทางเอาชนะหวงเจียหลงได้เลย

 

ทว่าตอนนี้ การเข้าใจความหมายพื้นฐานแห่งธาตุดิน อันเป็นความลึกซึ้งแรกของกฏแห่งธาตุดินในเวลาชั่วข้ามคืน กลับทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง!

 

เขาบังเกิดความมั่นใจถึงขีดสุด ว่าตอนนี้ต่อให้ออกไปประมือกับหวงเจียหลงอีกครั้ง เขาอาศัยแค่ 1 ฝ่ามือก็สามารถสยบอีกฝ่ายได้ง่ายดาย!

 

เรียกว่าในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนได้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

 

‘มิน่าล่ะ อัจฉริยะของประเทศตงหมิงที่ว่า ถึงอาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ก็สามารถสยบยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศตงหมิงได้ง่ายดาย! ดูเหมือนมันจะเข้าใจความหมายพื้นฐาน จนเข้าถึงพลังแห่งกฏแล้ว…’

 

‘ก่อนหน้านี้ยังสงสัยอยู่บ้าง ว่าพลังของกฏจะส่งเสริมความแข็งแกร่งให้มากน้อยเพียงใด…ตอนนี้ ไม่แปลกใจเลย…’

 

‘เพราะต่อให้เจ้านั่นจะแค่เข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่างความหมายพื้นฐานของธาตุ และทำได้แค่ใช้พลังของกฏอย่างเรียบง่ายโดยการผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างแบบนี้ ขอเพียงมันใช้ออกด้วยวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับขุนนางสักอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสยบยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งประเทศที่ยังไม่เข้าถึงกฏ!’

 

หลังเข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่าง ความหมายพื้นฐานของธาตุดินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนเปิดประตูสู่พลังแห่งกฏธาตุดินแล้วเดินเข้าไปเรียบร้อย แม้พลังแห่งกฏที่เขาใช้ได้จะยังแค่ก้าวแรกก็ตาม

 

‘อย่างไรก็ตาม นับว่าพรสวรรค์และไหวพริบปฏิภาณของเจ้านั่นไม่ธรรมดาเลย…สุดท้ายแล้วมันก็ยังอายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนกัน แต่สามารถเข้าถึงพลังแห่งกฏจนสยบเหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดในประเทศทั้งหมด นั่นไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะกระทำได้!’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

 

“ไงล่ะเจ้าหนู! ที่นี้เจ้ายังกล้าสงสัยในตัวข้าอยู่อีกไหม?!”

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังใจลอยเพราะนึกถึงอัจฉริยะของประเทศตงหมิงอยู่นั้น เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ถ้อยคำน้ำเสียงยังแฝงความอวดโอ่ไม่น้อย

 

“ไม่สงสัย ไม่สงสัย…”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าหากข้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา ผู้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล ก็สมควรช่วยให้ข้าเข้าถึงกฏแห่งไฟได้ในชั่วข้ามคืนเหมือนกันใช่ไหม?”

 

“เอ่อ…”

 

ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดก็ใบ้รับประทานทันที เพราะที่ต้วนหลิงเทียนพูดมันก็จริง หากได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา เพลิงเทพโกลาหลก็สามารถช่วยให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความหมายพื้นฐานของธาตุไฟ เข้าถึงพลังแห่งกฏธาตุไฟได้ในเวลาชั่วข้ามคืนเหมือนกัน…

 

“หากเจ้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา ภายในเวลา 1 ชั่วยามครึ่ง ข้าก็สามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจความลึกซึ้งแรกของธาตุไฟอย่าง ความหมายพื้นฐาน และเข้าถึงพลังแห่งกฏธาตุไฟได้เช่นกัน…”

 

เสียงชราแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจของเพลิงเทพโกลาหลพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ…