บทที่ 2241 ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เช้าวันต่อมา ประตูตำหนักบรรทมเปิดออก เหมียวอี้เดินออกมาแล้ว ขณะที่เดินลงจากบันได หยางเจาชิงเดินเข้ามา แล้วรายงานว่า “อวิ๋นรั่วซวงกับบุตรสาวมาแล้ว เหนียงเหนียงหวังว่าฝ่าบาทจะไปพบพวกนางด้วยกันขอรับ”

เหมียวอี้พยักหน้า หันกลับไปมองในห้องแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาสั่งอีกครั้ง “ถ่ายทอดบัญชา แต่งตั้งซิงเป็นสนมสวรรค์ซิงหัว!” พูดจบก็เดินก้าวยาวจากไป

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ และหันกลับไปชำเลืองในห้องปราดหนึ่งเช่นนั้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินตามหลังเหมียวอี้ออกไป

ในตอนนี้ นางในหลายคนที่ยืนรออยู่ฝั่งซ้ายและขวานอกประตูถึงได้เข้าห้องมาเก็บกวาด ปรนนิบัตินายหญิงที่อยู่ในห้อง

จนกระทั่งเหมียวอี้เดินไปไกลแล้ว มู่หรงซิงหัวที่แทบจะยืนเวรยามเฝ้าอยู่ตลอดคืนบนตึกใกล้ๆ ถึงได้เดินลงมา

นางรับหน้าที่ผู้บัญชาการองครักษ์หญิงของวังหลัง บนตัวสวมเกราะ เดินช้าๆ ไปที่ประตูตำหนักบรรทม ก้าวเข้าประตูไป แล้วเดินไปหยุดที่มุมหนึ่งในห้อง

ซิงสวมชุดสีขาวดุจหิมะทั้งตัว สองเท้างามใต้กระโปรงเปลือยเปล่า นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเงียบเชียบ จ้องตัวเองในกระจกด้วยใบหน้าเรียบเฉย

นางในสองคนกำลังหวีผมให้นาง หวีผมอาบน้ำแต่งกาย ส่วนนางในอีกสองคนก็กำลังจัดเก็บผ้าปูเตียงที่ยับยู่ยี่และมีร่องรอยเล็กน้อย

มู่หรงซิงหัวที่สวมเกราะรบทั้งตัวประคองกระบี่วิเศษตรงเอว เดินช้าๆ มาจ้างโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเรียกเบาๆ “พี่ซิง”

ซิงไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มองตัวเองในกระจกเงียบๆ

มู่หรงซิงหัวเม้มริมฝีปาก มองซิงที่นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์…

วังสวรรค์ เหมียวอี้เข้ามาที่หน้าตำหนักแล้วกังวลเล็กน้อย รู้ว่าอวิ๋นจือชิวต้องรู้เรื่องเมื่อคืนชัดเจนแน่นอน อีกฝ่ายจะต้องชักสีหน้าใส่หน้าด้วยความเคยชิน ต่อให้ได้รับอนุญาตเงียบๆ จากอวิ๋นจือชิวแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ว่านางจะทำสีหน้าดีๆ ใส่เขา

ทว่าสถานการณ์เหนือความคาดหมาย พออวิ๋นจือชิวเห็นเขากลับตื่นเต้นเล็กน้อย หลังจากเข้ามาใกล้ก็กล่าวอย่างค่อนข้างกังวลว่า “ซวงเอ๋อร์กับลูกสาวรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าตำหนัก”

เมื่อเห็นว่ามีเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของนาง เหมียวอี้ก็โล่งใจบ้างแล้ว มองออกแล้วด้วยว่านางกลุ้มใจ รู้ว่านางไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร จึงหันกลับมาบอกหยางเจาชิงว่า “ให้เข้ามา!”

หยางเจาชิงหันกลับไปส่งสัญญาณมือให้คนข้างนอก

เมื่อสองสามีภรรยาเดินไปเดินมาและนั่งลงในโถงหลักไม่นาน อวิ๋นรั่วซวงก็เข้ามาแล้ว ข้างหลังเป็นสตรีหน้าตาสวยสดใสที่ดูเขินอาย หน้าตาคล้ายอวิ๋นรั่วซวงอยู่หลายส่วน เป็นฉู่อวิ๋นอู๋ซวง บุตรสาวของนางนั่นเอง ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงยังไม่เคยเจอเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมาก่อน ก่อนหน้านี้รู้เพียงว่าเป็นราชาปราชญ์ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะรู้ว่าเป็นราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ต่อใต้หล้าแล้ว

ตอนนี้เรื่องราวเกี่ยวกับท่านลุงเขยกับท่านป้าที่ได้ยินมาไม่หยุดหย่อนล้วนเป็นการสรรเสริญชมเชยที่เกินจริง ล้วนเป็นคำชมว่าท่านลุงเขยมีปณิธานยิ่งใหญ่ต่อใต้หล้า มีอำนาจเผด็จการ ก่อนหน้านี้ตอนรู้ว่าจะได้เจอก็ยังไม่เป็นอะไร เพราะยังไม่เดินออกมาจากความเศร้าโศก รอจนกระทั่งตอนที่จะได้พบจริงๆ ถึงได้กังวล

อวิ๋นรั่วซวงยังดีหน่อย ยังคงยิ้มอย่างเป็นกันเอง ไม่กังวลหวาดกลัว ดวงตายังคงกลมโตและสดใส ลักยิ้มบนสองแก้มยังอยู่ เพียงแต่เมื่อเทียบกับอวิ๋นรั่วซวงในความทรงจำของเหมียวอี้แล้ว คนปัจจุบันมีลักษณะของผู้หญิงที่แต่งงานเพิ่มขึ้นหลายส่วน ดูมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป

ทุกครั้งที่เห็นนาง ในหัวเหมียวอี้ปรากฏภาพหลัวซวงเฟยกับอวิ๋นรั่วซวงเทียบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เมื่อได้พบอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ยังสะท้อนใจเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อผู้หญิงที่ไม่เอาไหนคนนี้จะมีลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว

อวิ๋นรั่วซวงยืนอยู่ในโถง สายตากวาดมองทั้งสอง นางไม่ได้ทำความเคารพ แต่ยิ้มพร้อมถามว่า “ข้าควรเรียกว่าพี่เขยกับพี่สาว หรือเรียกว่าฝ่าบาทกับราชินีสวรรค์ดีล่ะ?”

เมื่อเห็นนางยังพูดไปยิ้มไปได้ อวิ๋นจือชิวที่เครียดจนใจตึงก็ผ่อนคลายแล้ว รีบลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือเชิญให้เข้ามา

บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน เขาลุกขึ้นยืน ที่จริงด้วยฐานะของเขาตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้ เพียงแต่พอนึกถึงเรื่องเศร้าของฉู่หยวน เขาก็รู้สึกผิด จึงยืนขึ้นแสดงความนับถือ

อวิ๋นจือชิวกุมสองมือของอวิ๋นรั่วซวง แล้วบ่นว่า “ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยเสียหน่อย ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น” ขณะที่พูดก็ยื่นหน้าผ่านบ่าไปมองสาวสวยข้างหลังอวิ๋นรั่วซวง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ซวงเอ๋อร์ นี่คืออู๋ซวงสินะ?”

อวิ๋นรั่วซวงชักสองมือออกจากฝ่ามืออวิ๋นจือชิวหน้าตาเฉย เหมือนต่อต้านไม่ให้อวิ๋นจือชิวจับมือ พอหันตัวไปมองลูกสาว สีหน้าก็เปลี่ยนฉับพลัน เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเหมือนน้ำค้างเกาะ ตวาดบอกลูกสาวว่า “อู๋ซวง จะทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไม? มาอย่างสง่าผ่าเผย น่าอับอายเหรอ? เมื่อก่อนเจ้าอยากเจอท่านลุงเขยกับท่านป้าที่ได้ยินคำร่ำลือกันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?” นางชี้ไปยังเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว “นี่ก็คือท่านลุงเขยกับท่านป้าของเจ้าไง ท่านลุงเขยของเจ้าเป็นราชันสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของใต้หล้า ท่านป้าของเจ้าคือราชินีสวรรค์มารดาแห่งใต้หล้า พ่อเจ้าตายไปแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างมากต่อไปข้าก็หาพ่อใหม่ที่ดีกว่าเดิมให้เจ้า ถ้าพ่อใหม่เจ้าตายอีกก็ไม่เป็นไร ข้าก็หาใหม่ได้อีก ตราบใดที่ท่านลุงเขยกับท่านป้าของเจ้ายังอยู่ มีพวกเขาดูแลเราสองแม่ลูก ต่อให้ตายหมดบ้านก็ไม่เป็นอะไร ยังไม่รีบมาคำนับอีก ยังไม่รีบมาประจบสอพลออีก!” เรียกได้ว่าสีหน้าท่าทางยังดุร้าย

บ่าวไพร่ที่อยู่นอกประตูได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะหันมองแวบหนึ่ง ในใจแอบเดาะลิ้นอย่างประหลาดใจ คิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างใจกล้านัก!

ผลปรากฏว่าถูกหยางเจาชิงที่อยู่ตรงประตูถลึงตาจ้องอย่างดุร้าย ทำให้บ่าวไพร่ที่แอบมองรีบก้มหน้า

ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าอวิ๋นรั่วซวงกำลังอาศัยการด่าลูกสาวเพื่อพูดแทงใจใครบางคน เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าทั้งสองคงตำหนิสั่งสอนแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ถึงคราวที่ทั้งสองจะพูดอะไร เพราะเป็นเรื่องในครอบครัว

พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็ก้มหน้าก้มตาเงียบๆ ส่วนอวิ๋นจือชิวก็มองน้องสาวที่ตัวเองรักที่สุดด้วยสีหน้าขื่นขม คำพูดของน้องสาวแต่ลพคำเหมือนดาบที่แทงหัวใจนาง เพื่อใต้หล้าของพวกเขาสองสามีภรรยา ไม่รู้จริงๆ ว่าทำให้มีคนตายไปตั้งมากมายเท่าไร ญาติพี่น้อง สหาย ลูกน้องเก่า…

เมื่อเอ่ยถึงการตายของบิดา ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงก็น้ำตาไหลพราก สองไหล่สั่นเทิ้ม ก้าวขึ้นมาคำนับพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านลุงเขย ท่านป้า”

อวิ๋นรั่วซวงหันกลับมาเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม “เด็กน้อยไม่รู้ความ ทำให้พี่สาวกับพี่เขยเห็นเรื่องน่าขำแล้ว”

อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าฉู่อวิ๋นอู๋ซวง ดึงเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพูดปลอบโยน “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ต่อไปนี้ก็ดีแล้ว ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง!”

ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงกลับกลั้นน้ำตาได้ยาก หมอบร้องไห้อยู่ในอ้อมอกอวิ๋นจือชิวอย่างปวดใจยิ่งกว่าเดิม

“จะร้องไห้อะไรนักหนา?” อวิ๋นรั่วซวงถูกยั่วโมโหจนไฟพิโรธเดือดสามจั้ง ก้าวเข้ามาเตรียมจะลงมือ

อวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือนางเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือความโมโหว่า “เจ้าเอะอะโวยวายพอหรือยัง คิดจะเอายังไงกันแน่? โมโหอะไรก็มาระบายที่ข้า เจ้าพูดมา ข้าจะรับไว้!”

อวิ๋นรั่วซวงพยามดิ้นรนเอามือออก แต่กลับดิ้นไม่หลุด แต่นางยังไม่ยอม ออกแรงดิ้นรนอยู่อย่างนั้น ในดวงตามีน้ำตารื้นแล้ว แต่ยังดันทุรังดิ้นรน สุดท้ายก็ดิ้นไม่หยุด น้ำตาพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำพุพร้อมเสียงสะอื้น

อวิ๋นจือชิวออกแรงดึง ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้ว

“พี่…” อวิ๋นรั่วซวงกอดนาง แล้วร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างปวดใจ สองแม่ลูกต่างก็กำลังร้องไห้

อวิ๋นจือชิวน้ำตาไหลเงียบๆ ศึกที่เขาหลิงซานครั้งนั้น กำลังพลแดนอเวจีพุ่งฝ่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาล หลังจากจบซึก ตระกูลอวิ๋นตรวจนับความเสียหาย พบว่านอกจากฉู่หยวนที่ตายไป ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่หาไม่พบ สุดท้ายผลที่ได้ก็คือ แค่รุ่นที่สามของตระกูลอวิ๋นก็ตายไปแล้วสิบกว่าคน

เหมียวอี้ก้มหน้าเล็กน้อย เดินผ่านทั้งสามที่กอดกันกลมออกไปอย่างช้าๆ เดินไปถึงศาลากลางน้ำข้างนอก แล้วก็เอามือไขว้หลังเงยหน้ามองฟ้า สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์…

แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ในแอ่งกะทะแห่งหนึ่ง วิญญาณชั่วร้ายหนึ่งแสนที่ออกไปทำศึกข้างนอกปรากฏตัวอีกครั้ง

หลังจากแน่ใจว่ากลับมาถึงแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว เหล่าวิญญาณชั่วร้ายก็โล่งอก แล้วก็พูดคุยเรื่องบนสนมรบอย่างตื่นเต้นอีก ก่อนหน้านี้ถูกควบคุมไว้เข้มงวด ในที่สุดตอนนี้ก็ได้พูดอย่างคล่องปากแล้ว

มีบางคนสังเกตเห็นว่าเฮยทั่นที่กำลังหันให้ได้หันตัวกลับมาเงียบๆ แล้ว จึงตะโกนว่า “คุณชายเฮย สถานการณ์การรบตอนสุดท้ายเป็นยังไง คุณชายหนิวชนะหรือยัง?”

เฮยทั่นไม่เพียงแค่ไม่ตอบ แต่กลับกลายร่างเป็นมังกรดำเหาะไปที่ยอดเขา แล้วก็กลายร่างเป็นคนอีกครั้งง ลอยไปบนยอดเขาแล้วหันหลังให้แอ่งกะทะ

กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายมองเขา ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ไม่นานก็เข้าใจแล้ว มีคนไม่น้อยเบิกตากว้าง ในดวงตาทุกคนฉายแววหวาดกลัว

บนแนวเทือกเขารอบๆ มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนหนาแน่นพุ่งออกมาและเล็งพวกเขา

“คุณชายเฮย หมายความว่าอะไร?” มีคนตะโกนเสียงดัง

เฮยทั่นก้มหน้าเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ และไม่ได้หันกลับมาด้วย

“ยิงธนู!”

ตามที่เสียงของแม่ทัพหลักดังขึ้น ลำแสงก็ยิงไปที่แอ่งกะทะอย่างฉับพลันเหมือนพายุฝน รุกโจมตีแบบทำลายล้าง

“อา..” เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีคนตะโกนด้วยความเศร้าโศกอีกด้วย “คุณชายเฮย เจ้าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง…”

เฮยทั่นที่หันหลังให้พลันกุมหมัด เม้มริมฝีปากแน่น แล้วหลับตาลง

แม้เขาจะเป็นคนไม่เอาไหน แม้เขาจะฆ่าวิญญาณชั่วร้ายไปแล้วไม่น้อย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนดัน พาออกไปด้วยและอยู่ด้วยกันหลายวัน นับว่าเป็นพี่น้องที่ฟังคำบัญชาการของเขาแล้ว นอกจากจะผิดคำสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้แล้ว ยังข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง ลงมือสังหารอีก

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้ถ่ายทอดคำสั่งมา ว่าให้สังหารวิญญาณชั่วร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ทั้งหมด สังหารแบบขุดรากถอนโคน คืนดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ให้กับแดนมรณะดึกดำบรรพ์!

เฮยทั่นเองก็รู้ว่าปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้เติบโตกว่านี้ไม่ได้ แต่ความรู้สึกนี้ก็ยังทำให้ทรมานจนยากจะรับไหว เขาเพิ่งสัมผัสความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก

เฮยทั่นที่แต่ไหนแต่ไรมาเอะอะก็จะสังการวิญญาณชั่วร้าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้กลับไม่กล้าหันไปมองวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้น

หลังจากการโจมตีสองชุด ทัพใหญ่ก็หยุดมือแล้ว หงส์และมังกรรวมฝูงกันทะยานขึ้นฟ้า กวาดล้างเศษซากอย่างเต็มที่ ดูดซับปราณชั่วร้ายที่ระเบิดออกมาอย่างอย่างถึงอกถึงใจ

หงส์และมังกรสองฝูงแบ่งกันไปสองทิศทาง มุ่งหน้าไปยังรังหงส์และถ้ำมังกร แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่ปล่อยปราณออกมาไม่จบไม่สิ้น

สองเทพสตรีผู้พิทักษ์ปรากฏตัวข้างกายเฮยทั่น ผู้หญิงหนึ่งในนั้นจ้องเฮยทั่นพร้อมถามว่า “เจ้ากำลังเห็นใจวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้เหรอ?”

เฮยทั่นเงยหน้าขึ้น แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “ใครบอกล่ะ?”

“เขียนไว้บนหน้าเจ้าไง” ผู้หญิงอีกคนกล่าว

เฮยทั่นถลึงตา “ที่ไหนกันล่ะ? ข้ากำลังไตร่ตรองเรื่องสำคัญอยู่ต่างหาก!”

เทพสตรีร้องอ้อ แล้วถามว่า “เจ้ากำลังไตร่ตรองเรื่องอะไร?”

“พวกเจ้าสองคนแต่งงานกับข้าดีไหม?” เฮยทั่นถามอย่างไม่ละอาย

สองเทพสตรีหันหน้าหนี ขี้คร้านจะสนใจเขา

เฮยทั่นชี้พวกนางพร้อมบ่นว่า “พวกเจ้าสองคนคอยดูเถอะ! รอให้ข้ามีความสามารถนั้นก่อน สักวันหนึ่งข้าจะให้พวกเจ้าสองคนไปไม่เป็นเลย!”

แม่ทัพที่รู้จักเฮยทั่นได้ยินแล้วหัวเราะลั่น ตอนนี้กำลังพลนับร้อยล้านทยอยกันเรียกสัตว์พาหนะที่บินได้ออกมาแล้ว

ภารกิจของพวกเขาก็คือช่วยเผ่าหงส์และมังกรกวาดล้างวิญญาณชั่วร้ายและปราณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ขณะเดียวกันก็นำพืชพรรณมาด้วยมากมาย ต้องการจะโปรยหว่านให้ทั่วทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์ รีบฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาของแดนมรณะดึกดำบรรพ์กลับมา แบบนี้ยังมีข้อดีอีกอย่างด้วย นั่นคือแดนมรณะดึกดำบรรพ์ใหญ่เกินไป กลัวว่าวิญญาณชั่วร้ายจะหลุดรอดไป พืชพรรณบางชนิดที่สัมผัสปราณชั่วร้ายไม่ได้ก็จะเกิดความผิดปกติ ทำให้สังเกตเห็นสิ่งที่เล็ดรอดไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ก็สำรวจและเขียนแผนผังสภาพทางภูมิศาตร์ให้แดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้วย เพื่อมเตรียมให้พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินจำนวนมากเข้ามาเฝ้าอยู่ในขั้นต่อไป

สองเทพสตรีปรึกษาหารือกับบรรดาแม่ทัพ พวกนางรับหน้าที่ประสานงานกำลังพลร่วมกับพวกแม่ทัพ เพราะพวกนางคุ้นเคยกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ดีมาก

ผ่านไปไม่นาน ทัพใหญ่ก็ทยอยกันไปตามที่ต่างๆ โดยมีเผ่าหงส์และมังกรคอยให้ความร่วมมืออยู่ตามแต่ละกลุ่มด้วย

เมื่อเห็นเทพสตรีไม่เห็นความสำคัญของตนเลย เฮยทั่นก็ไม่พอใจมาก แต่พอมองไปตรงจุดที่วิญญาณชั่วร้ายนับสิบล้านถูกกำจัดก็เงียบแล้ว จากนั้นก็นำกำลังพลอีกกลุ่มเหาะไปทางนั้นเป็นโดยเฉพาะ เฮยทั่นมีภารกิจอีกอย่าง นั่นก็คือเลือกที่ตั้งของวังสวรรค์แห่งใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องเลือกที่สร้างปราสาทดำเนินให้เหมียวอี้ที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญและทุ่งน้ำแข็งโบราณด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อสะดวกต่อการฝึกตนของเหมียวอี้