บทที่ 2242 นางตัวแสบทรยศข้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

จวนตระกูลก่วง มีกำลังทหารเฝ้าอยู่มากมาย

หลงซิ่นที่เหาะลงมาจากฟ้าสวมผ้าคลุมสีแดงผืนใหญ่ เดินตรงเข้ามาอย่างองาจราวกับพยัคฆ์ ข้างหลังมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งติดตาม

ตรงตีนบันไดของตำหนักประชุมจวนท่านอ่อง ชายหญิงนับพันยืนตัวสั่นหวาดกลัว หลงซิ่นเดินก้าวยาวผ่ากลางกลุ่มคนไป เดินไปตรงหน้าแล้วก็หยุด

คนที่ยืนอยู่ลำพังตรงหน้าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นน้องเขยของก่วงลิ่งกง เกาจื่อหู น้องชายของเกาจื่อเซวียน

ในตอนนี้เกาจื่อหูมีสีหน้าเศร้าสลด กำลังก้มหน้า มองรองเท้ายาวโลหะสีทองที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า

หลงซิ่นหันตัวมาช้าๆ ยื่นมือไปบีบเคราของเกาจื่อหู แทบจะดึงเคราของเกาจื่อหูร่วง ดึงใบหน้าที่ก้มอยู่ของเกาจื่อหูให้เงยขึ้นมาแล้ว จากนั้นเผยรอยยิ้มดุร้าย “นายท่านเกา บังเอิญอะไรเช่นนี้ พวกเราพบกันอีกแล้ว ในปีนั้นเจ้าคงนึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้สินะ? ที่จริงในปีนั้นข้าก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน”

เกาจื่อหูกล่าวเสียงสั่นด้วยความกลัว “ท่านขุนพลใหญ่ เมื่อก่อนผู้น้อยมีตาแต่ไร้แวว เห็นแก่หน้าท่านอ๋องก่วง ท่านช่วยปล่อยข้าไปเหมือนปล่อยผายลมเถอะ”

“เจ้ามีก้นที่เหม็นขนาดนี้เชียวหรือ?” หลงซิ่นแสยะยิ้ม

เกาจื่อหูย่อตัวลงช้าๆ หลงซิ่นคลายนิ้วมือออก ปล่อยให้เขาคุกเข่ากับพื้น แล้วก้มมองจากที่สูง มองด้วยแววตาเยียบเย็น

“ล้วนเป็นความผิดของข้า ขุนพลใหญ่โปรดไว้ชีวิต เป็นความผิดของข้าทั้งนั้น ขุนพลใหญ่โปรดไว้ชีวิต…” เกาจื่อหูคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด กล่าววิงวอนขอชีวิตไม่หยุด เสียงศีรษะโขกพื้นดังปั้กๆ เรียกได้ว่าแสดงความสำนึกอย่างจริงใจ

หลงซิ่นมองอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น บนพื้นเริ่มมีรอยเลือดปรากฏ

กลุ่มชายหญิงที่ถูกคุมตัวอยู่ข้างหลังทนมองไม่ได้ ในใจเต็มไปด้วยเศร้าอ้างว้าง ไม่เคยคิดเลยว่านายท่านที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาจะมีวันนี้ เมื่อก่อนมีแต่คนอื่นที่คุกเข่าต่อหน้านายท่าน ส่วนพวกเขาก็คอยหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะหัวเราะแม้แต่น้อย ผู้หญิงหกลุ่มนี้เอามือปิดปากร้องไห้แล้ว

หลงซิ่นพลันยื่นฝ่าเท้าข้างหนึ่งออกมา รองตรงจุดที่หน้าของเกาจื่อหูกระแทก เกาจื่อหูจำเป็นต้องหยุดแล้ว หลงซิ่นกลับใช้ปลายเท้าเสยคางเกาจื่อหูขึ้นมา ช้อนหน้าเกาจื่อหูขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้เท้าข้างนั้นเหยียบบนบ่าเกาจื่อหู พร้อมถามเสียงเย็น “บอกมา เรื่องของภรรยาข้า บอกมาให้ละเอียด?”

เกาจื่อหูตัวสั่นเล็กน้อย มองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยปากบอก เหมือนไม่กล้าพูด

หลงซิ่นก้มหน้ามอง “พูดออกมา แล้วข้าจะให้เจ้าไปสบาย ถ้าไม่พูด ข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนอยู่มิสู้ตาย!”

เกาจื่อหูตัวสั่น แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปาก

หลงซิ่นเตะเขากลิ้งกับพื้น แล้วชี้หน้าตะคอก “ลากออกไปสับเนื้อกรีดหนังให้ข้า นำตัวตระกูลเกาทั้งหมดไปแล่เนื้อเถือหนัง!”

กำลังพลที่ล้อมอยู่พุ่งเข้ามาทันที ดุร้ายราวกับเสือและหมาป่า กำลังจะลงมือ คนในตระกูลเกาไม่น้อยเสียขวัญจนร้องไห้

“หยุดนะ!” เสียงตวาดของผู้หยิงพลันดังขึ้น

เกาจื่อหูที่ล้มอยู่บนพื้นได้ยืนแล้วตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

หลงซิ่นเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงสตรีวัยกลางคนผู้งดงามที่กำลังก้มหน้ากำลังเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ สายตาที่สุดจะทนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ใบหน้างามเลิศล้ำอย่างแท้จริง ท่วงท่าที่อ่อนช้อยเย้ายวนนั้น ต่อให้เทียบกับหวังเฟยเม่ยเหนียงก็ไม่มีจุดไหนที่ด้อยกว่า

คนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นภรรยาของหลงซิ่นที่ถูกฉุดไปในปีนั้นนั่นเอง ชื่อว่าสวีเจินเจิน

ชั่วพริบตาที่สตรีวัยกลางคนผู้เลอโฉมเงยหน้ามองหลงซิ่น เงาร่างของหลงซิ่นก็สั่นเทิ้ม ตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ข้างๆ หลงซิ่นสังเกตเห็นแล้ว จึงยกมือขึ้นเล็กน้อย ให้กำลังพลหยุดปฏิบัติชั่วคราว

“เจ้า…เจ้ายังไม่ตายอีกเหรอ?” หลงซิ่นเดินเข้าไปถามผู้หญิงคนนั้นด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย

สวีเจินเจินฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนา ส่ายหน้าบอกว่า “ข้ารู้ตัวว่าทำผิดต่อเจ้า เจ้าจะฆ่าจะแกงข้าก็ยอมรับได้ทั้งนั้น แต่ปล่อยลูกชายกับลูกสาวของข้าไปเถอะ”

ในปีนั้นหลังจากหลงซิ่นสังหารเกาเหยียนแล้ว เกาจื่อหูก็เรียกได้ว่าหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ ทำให้อนุภรรยาไม่น้อยตั้งครรภ์ นางก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ตอนนี้ลูกชายและลูกสาวของนางเติบโตแล้ว

“ลูกชายกับลูกสาว?” หลงซิ่นค่อยๆ ดึงสติกลับมา ชี้ไปที่เกาจื่อหู “ของเขาเหรอ?”

สวีเจินเจินไม่พูดอะไร พยักหน้ายอมรับแล้ว “บุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา ข้าขอร้องให้เจ้าใจกว้างปล่อยไป” พูดจบก็คุกเข่าทันที

หลงซิ่นรู้สึกเหมือนจะประสาทเสีย โบกมือสะบัดผ้าคลุมบ่า ยั่งย่อเข่าลงตรงหน้านาง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น พยายามควบคุมเสียงที่บ้าระห่ำเอาไว้ “เรื่องเป็นยังไง? เรื่องเป็นยังไงกันแน่? เจ้าโดนโจวอ้าวหลินจับตัวไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาอยู่กับเขาได้?”

สวีเจินเจินฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด “ตอนแรกข้าถูกโจวอ้าวหลินจับตัวไปจริงๆ ตอนหลังเจ้าทำให้เรื่องราวใหญ่โตแล้ว โจวอ้าวหลินต้องการจะสังหารข้าเพื่อทำลายหลักฐาน เขาอ้างว่าจะลงโทษข้าแทนให้ แต่ความจริงกลับไม่ได้สังหารข้า เก็บข้าไว้เป็นภรรยาลับแทน ปิดบังชื่อแซ่จนกระทั่งตอนนี้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เกาจื่อหูก็หลับตาลง รู้ว่าจบโดยสิ้นเชิงแล้ว เรื่องราวเป็นอย่างที่สวีเจินเจินบอกจริงๆ ในปีนั้นหลงซิ่นทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตเกินไป ไม่ว่าใครก็ปิดบังไม่อยู่ โจวอ้าวหลินเองก็ตกใจแทบแย่ นึกไม่ถึงว่าหลงซิ่นจะอ่านสถานการณ์ไม่ออกขนาดนี้ จะเอาเป็นเอาตายกับเขาให้ได้โดยไม่สนใจอนาคต ส่วนเกาจื่อหูก็อ้างว่าจะช่วยฆ่าปิดปากให้ แต่ความจริงจ้องอยากได้สวีเจินเจิน แอบฝังสาวงามไว้ในห้องทองคำ เก็บเอาไว้เสพสุขเองคนเดียว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลก่วงต้องการจะแก้ไขเรื่องบุญคุณความแค้นกับหลงซิ่น จู่ๆ ก็เรียกพวกเขาออกมาทั้งตระกูล จับตัวมาทั้งตระกูลโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แม้แต่โอกาสพูดก็ไม่มี เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าตระกูลก่วงส่งเขาให้หลงซิ่นแล้ว

หลงซิ่นยื่นสองมือออกมาตรงหน้าสวีเจินเจิน “เพราะอะไร? ทำไมไม่คิดหาทางติดต่อข้า? ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ ถ้าข้ารู้ที่อยู่ของเจ้า ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อช่วยเจ้าออกมาแน่นอน ทำไมถึงยอมให้เรื่องดำเนินไปในทางที่เลวร้าย?” เขามองประเมินการแจ่งกายของนางศีรษะจดเท้า จินตนาการได้เลยว่ายามปกติได้ใช้ชีวิตหรูหราอยู่ดีกินดี ได้เสวยสุขไม่ขาด

สวีเจินเจินกลับกล่าวอย่างใจเย็น “ยอมให้เรื่องดำเนินไปในทางที่เลวร้ายเหรอ? ก็อาจจะใช่! แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? ข้าตกอยู่ในมือโจวอ้าวหลินแล้วขัดขืนได้เหรอ? ข้าตกอยู่ในมือเกาจื่อหูก็มีแต่ต้องยอมเขา ถามหน่อยเถอะ ขนาดเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย มีจุดจบที่อนาถอย่างนั้น แล้วผู้หญิงที่ไร้อำนาจอิทธิพลอย่างข้าจะทำอะไรได้? ต่อให้ในปีนั้นข้าไปหาเจ้า แต่สถานการณ์ของเจ้าตอนนั้นยังเอาตัวเองไม่รอดด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าให้อะไรข้าได้หรือเปล่า เจ้าไม่มีทางปกป้องข้าได้ด้วย ถ้าเปิดโปงเรื่องนี้จริงๆ พวกเราจะตายกันหมด”

หลงซิ่นดึงเสื้อผ้าหรูหรางดงามบนตัวนาง แล้วก็ดึงปิ่นปักผมที่มีมูลค่าไม่น้อยออกอีก โบกปิ่นถืออยู่ในมือพร้อมถามด้วยน้ำเสียงดุร้าย “อยู่ด้วยกันมาหลายปี มีหรือที่ข้าจะไม่รู้นิสัยของเจ้าเลย เกียรติยศจอมปลอม ชอบความสวยงามจนเคยชิน เจ้าไม่ต้องพูดจาพูดจาให้ฟังดูดีขนาดนั้น ข้าว่าเจ้าโลภอย่างได้เกียรติยศความร่ำรวยมากกว่า ยอมใช้ชีวิตเอาตัวรอดไปวันๆ เพราะเงิน แม้แต่ยางอายก็ไม่มีแล้ว!”

สวีเจินเจินตอบอย่างใจเย็น “ในปีนั้นข้าถูกคนส่งมาไว้ในมือเจ้า แล้วก็ถูกโจวอ้าวหลินชิงตัวไป สุดท้ายก็ตกอยู่ในมือเกาจื่อหู เปลี่ยนเจ้าของคนแล้วคนเล่า อาศัยความงามสร้างความบันเทิงให้คนอื่นมาทั้งชีวิต เจ้าจะให้ข้าทำยังไงล่ะ? เป็นผู้หญิงที่ไปปลิดชีพตัวเองเพราะเสียพรหมจรรย์หรือไง?”

หลงซิ่นเอามือตบอก แล้วกล่าวอย่างคับแค้น “แต่เจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน ข้าดีต่อเจ้าจากใจจริง เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยาที่ผูกปมผมกันนะ!”

“แม้แต่ภรรยาที่ผูกปมผมกับตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ เหมือนกันหรอกเหรอ?” สวีเจินเจินถามกลับ

“ที่ข้าทำตัวเสเพลไปวันๆก็เพื่อล้างแค้นให้เจ้าไง!” หลงซิ่นกล่าวอย่างเศร้าโศก

สวีเจินเจินอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เหมือนยังอยากอธิบายอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังเงียบไว้ กลัวว่าจะยั่วโมโหเขา เปลี่ยนเป็นบอกว่า “ทุกอย่างล้วนเป็นความคิดของข้า แค่ขอร้องให้เจ้าใจกว้างปล่อยลูกชายกับลูกสาวของข้าไป…”

“นางตัวแสบทรยศข้า!” หลงซิ่นคำรามอย่างคับแค้น จู่ๆ ก็ลงมือบีบคอสวีเจินเจินเสียงดังแกร๊ก ภายใต้อารมณ์โกรธที่ควบคุมไม่ได้ เขาบีบคอขาวละเอียดอ่อนของสวีเจินเจินจนขาด

คนนอกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ ตอนแรกเขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้ ทำลายอนาคตตัวเอง แม้แต่ชีวิตก็แทบจะเอาไม่รอด

สวีเจินเจินที่คอเอียงตกเบิกตาโพลงที่เต็มไปด้วยเลือดมองเขา ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมา

“ท่านแม่!” มีเสียงกรีดร้องดังมาจากคนกลุ่มนี้ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งพุ่งเข้ามา แต่ถูกคนกดเอาไว้ที่พื้น

หลงซิ่นผลักสวีเจินเจินออกไป แล้วหันตัวกลับมา รองเท้าโลหะเหยียบบนตัวเกาจื่อหู เหยียบจนเกาจื่อหูเลือดออกปากและจมูก หลงซิ่นเรากับสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโมโห โบกมือชี้ทุกคนของตระกูลเกา แล้วคำรามอย่างโมโห “ควบคุมตัวไว้ให้ข้า ผู้ชายให้เป็นทาสชั่วลูกชั่วหลาน ผู้หญิงให้เป็นนางคณิกาชั่วลูกชั่วหลาน!”

ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ข้างๆ กันกลับใช้สายตาหยุดการเคลื่อนไหวของลูกน้อง แล้วยื่นมือไปดึงแขนหลงซิ่น ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ขุนพลใหญ่โปรดระงับโทสะ ไดเโปรดใจเย็น ถ้าท่านต้องการระบายความโกรธนี้ก็แค่สังหารพวกเขา ด้วยฐานะของท่าน ไม่ควรทำเรื่องโหดร้ายใจดำอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฝ่าบาทกำลังประเมินทุกคนอยู่ มีขุนนางใหญ่มากมายทำงานอย่างระมัดระวัง อย่าให้คนอื่นกุมจุดอ่อนท่านได้ ไม่คุ้มที่ขุนพลใหญ่จะทำลายอนาคตตัวเองเพื่อคนกลุ่มนี้”

“ไสหัวไป!” หลงซิ่นสะบัดแขน

ผลปรากฏว่ากลุ่มผู้บัญชาการกรูกันเข้ามา ทยอยโน้มน้าวว่า “ขุนพลใหญ่โปรดระงับโทสะ…”

เมื่อไม่มีใครฟังคำสั่ง ภายใต้ความจนใจ สุดท้ายหลงซิ่นก็คำรามอย่างโมโห “เอาไปแล่เนื้อเถือหนังให้ข้าให้หมด!”

ในตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้ที่นั่งข้างหลังโต๊ะยาววางแผ่นหยกในมือช้าๆ หลับตาเงียบงันอยู่นาน เนื้อหาในแผ่นหยกบรรยายการกระทำและคำพูดของหลงซิ่นที่จวนตระกูลก่วงเอาไว้อย่างละเอียด หลังจากเงียบไปนาน ก็หลับตาถามช้าๆ ว่า “ชิงเยว่กับหลงซิ่นต่างกันตรงไหน?”

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ มองสีหน้าของเขา แล้วกล่าวเหมือนไม่แน่ใจว่า “ทั้งสองทำตามอำเภอใจได้ง่ายเหมือนกัน เป็นคนทำอะไรตามอารมณ์เหมือนกัน แต่ที่ต่างก็คือ ชิงเยว่ไม่คิดถึงเรื่องส่วนตัว”

“พูดถึงจุดนี้ หลงซิ่นไม่ได้ทำเรื่องนี้เป็นครั้งแรกแล้ว!” เหมียวอี้ลืมตาช้าๆ สายตาดูสุขุมมั่นคง กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ่มเย็นว่า “ถ้าเป็นตำแหน่งอื่นข้ายังปิดตาข้างเดียวได้ แต่คนที่คุมทัพอารักขาให้ข้า จะปล่อยให้คิดถึงแต่เรื่องส่วนตัวซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ยังไง ไม่เหมาะจะอยู่ตำแหน่งผู้ตรวจการขวาทัพอารักขา ให้เหยียนซู่รับช่วงต่อเถอะ!”

“ขอรับ!” หยางเจาชิเอ่ยรับ

“ทางเผ่าอสรพิษดำเป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม

“ถ่ายทอดบัญชาของฝ่าบาทไปแล้ว ทั้งหมดย้ายออกจากสระน้ำมังกรดำ อีกไม่กี่วันก็น่าจะถึงแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว” หยางเจาชิงถามกลับ

เหมียวอี้พยักหน้า เขาต้องการย้ายวังสวรรค์ไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องรับเผ่าอสรพิษดำเข้ามาไว้ใต้หนังตาเช่นกัน ป้องกันไม่ให้คนอื่นสอดมือเข้าไปแทรก ถือว่าบีบให้เผ่าอสรพิษดำออกจากที่อยู่เดิมแล้ว

อุทยานหลวง เรือนพักของก่วงลิ่งกง อดีตอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันตก นับว่าเป็นเรือนพักของตระกูลก่วงเอง ทุกคนของตระกูลก่วงถูกกักบริเวณไว้ที่นี่ชั่วคราว

เรือนเล็กหลังหนึ่ง ประตูหน้าต่างปิดสนิท โกวเยว่ผลักประตูเข้ามา ในห้องมีแสงสว่างไม่มาก ก่วงลิ่งกงราวกับคนตาย นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่กระดิกกระเดี้ย มีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ

พอเดินมาตรงหน้า โกวเยว่ก็รายงานด้วยเสียงต่ำว่า “หลงซิ่นสั่งประหารทั้งตระกูลเกาด้วยวิธีการแล่เนื้อเถือหนังแล้ว ถ้าไม่เหนือความคาดหมาย เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่ให้หลงซิ่นกุมอำนาจทางทหารแล้ว ภัยแฝงเร้นของตระกูลก่วงก็น่าจะนับว่ากำจัดทิ้งแล้ว”

ก่วงลิ่งกงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ยังคงไม่ขยับไปไหน

โกวเยว่โค้งตัวเล็กน้อย แล้วหันตัวเดินออกไป แม้ก่วงลิ่งกงจะไม่แสดงความเห็นกับเรื่องใดๆ เลย แต่ทั้งก่อนและหลังอะไรเขาก็ล้วนมารายงานที่นี่