บทที่ 687.3 พจนะจากตำราโบราณ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากนั้นมาเผยเฉียนก็ยืนเอาสองแขนกอดอก ตีหน้าเคร่งมองหลี่ไหวอยู่ตลอดเวลา

หลี่ไหวซื้อของอีกสองอย่างมาอย่างหวาดหวั่นและระมัดระวัง

กลับไปถึงห้องของเผยเฉียน ของชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ล้วนถูกหลี่ไหววางไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง เผยเฉียนเปิดสมุดบัญชีใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งแล้วตบลงบนโต๊ะ “หลี่ไหว! เบิกตาสุนัขของเจ้าให้กว้าง เจ้าซื้อของไร้ประโยชน์ชิ้นใดมาในราคาใดบ้าง ข้าล้วนจดลงบัญชีของเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้ว หากตอนที่พวกเรากลับบ้านเกิดแล้วมันยังอยู่ในมือของพวกเราทั้งหมด คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”

หลี่ไหวร้อนใจจนยกสองมือเกาหัว

เผยเฉียนเหล่ตามอง

หลี่ไหวรีบวางมือลงทันที บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าจะแสดงความขี้ขลาดออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหากซื้อของจริงมาก็ต้องถูกเผยเฉียนมองเป็นของปลอมอยู่ดี การเดินทางไกลของตนครั้งนี้เพิ่งจะออกจากบ้านมาเอง จะเอาแต่ทำตัวเป็นลูกสมุนให้เผยเฉียนไม่ได้ ดังนั้นหลี่ไหวจึงนั่งลงบนเก้าอี้ เป่าลมใส่ที่ล้างพู่กันเครื่องกระเบื้องเบาๆ แล้วเช็ดถูอย่างละเอียด แอบพูดกับเซียนบนแพไม้ไผ่ที่อยู่บนที่ล้างพู่กันว่า พี่ชายๆ ฮึดสู้สักหน่อย ต้องช่วยๆ กันนะ ไม่เอากำไรก็ได้ แต่ห้ามขาดทุนเด็ดขาดเชียว หากทำให้เผยเฉียนต้องขาดทุน นายท่านใหญ่หลี่ไหวของเจ้าก็จบเห่แน่แล้ว มีวาสนาอยู่ห่างพันลี้ยังได้มาพบเจอกัน ฝึกบำเพ็ญตบะร้อยปีจึงได้มาอยู่บนเรือข้ามฟากลำเดียวกัน พี่ชายน้องชายและพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ พวกเราก็มีคุณธรรมในยุทธภพกันให้มากหน่อย พบเจอด้วยดีจากลาด้วยดี ให้มีแต่เรื่องดีๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ หาเงินกันอย่างปรองดองเถอะนะ…

หลี่ไหวชูที่ล้างพู่กันขึ้นสูง ตรงก้นเครื่องกระเบื้องประหลาดอย่างมาก ไม่ได้สลักชื่อแคว้นและรัชสมัยเอาไว้ แต่สลักกลอนโบราณบทหนึ่งว่า ‘นั่งแพไปรับแขกเทพเซียน เคยไปถึงข้างสามดวงดาว’

หลี่ไหวเอ่ย “กลอนบทนี้ไม่เคยอ่านเจอในตำราเลยนะ”

เผยเฉียนจดบัญชีพลางพูดไปด้วย “เจ้าอ่านตำรามาสักกี่เล่มกัน?”

หลี่ไหวไร้คำพูดตอบโต้

เผยเฉียนวางพู่กันลง พูดอย่างเป็นกลางไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับส่วนรวม “หากทำการค้าแล้วขาดทุนก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าทั้งหมด ข้าเองก็มีความผิดครึ่งหนึ่ง”

หลี่ไหวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

เผยเฉียนคิดดูแล้วก็หยิบยันต์ที่มัดเป็นปึกขึ้นมาแล้วเริ่มคลายเงื่อนตายของเชือกสีแดงนั้นออก คิดไม่ถึงว่าจะกินแรงไม่น้อย นางต้องแกะอยู่พักใหญ่กว่าจะคลายปมนั้นได้อย่างไม่ง่ายนัก เอาเชือกแดงที่คิดไม่ถึงว่าจะยาวถึงจั้งกว่าๆ วางไว้ด้านข้าง วัสดุของยันต์ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเผยเฉียน นางดึงเอากระดาษยันต์สีเหลืองที่อยู่หน้าและหลังสองแผ่นออกมาก่อน ล้วนเป็นกระดาษยันต์ที่ธรรมดาที่สุด ไม่ใช่กระดาษหวงซีที่พวกเซียนซือพกไปยามขึ้นเขาลงห้วย แต่ยันต์นี้มาจากฝีมือของผู้ฝึกลมปราณคือเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่ว่านี่เป็นยันต์กระดาษหวงซีที่สมบูรณ์ปึกใหญ่ซึ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฟูมฟักแสงวิเศษของแก่นยันต์ออกมาได้หรือไม่ ก็ถือว่ามีมูลค่ามากแล้ว เงินร้อนน้อยหลายเหรียญก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะซื้อมาได้ มีหรือจะตกมาอยู่ในมือของพวกเขา

ผลคือพอเผยเฉียนดึงเอากระดาษยันต์หัวท้ายออกไปอีกสองแผ่น แล้วคลี่กระดาษยันต์ปึกนั้นออกมา นางก็ต้องปากอ้าตาค้าง

หลี่ไหวรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงหัวทั้งที่ท้องฟ้าแจ่มใส่ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจราวกับว่าเคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัย ตัวกลับต้องมาตายเสียก่อน ทำไมคนต่างถิ่นเหล่านี้ถึงยังเป็นเทพเซียนบนภูเขาได้นะ ไยไม่มีความซื่อบริสุทธิ์เหมือนคนที่บ้านเกิดเลยสักนิด?!

ยันต์ปึกใหญ่นอกจากสี่แผ่นก่อนหน้านี้ที่วาดอักขระยันต์เอาไว้แล้ว แผ่นที่เหลือล้วนเป็นเพียงกระดาษยันต์ว่างเปล่าที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึง

เผยเฉียนพึมพำเบาๆ ว่าจริงด้วย จริงด้วย การค้าบนภูเขา แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากการค้าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดตามตรอกเล็กถนนใหญ่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในอดีตเลยแม้แต่น้อย

เผยเฉียนใช้สองมือถูข้างแก้มอย่างแรงพักใหญ่ สุดท้ายก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ช่างเถิด บอกไปแล้วว่าผิดกันคนละครึ่ง เงินเกล็ดหิมะสามสิบห้าเหรียญนี้ล้วนคิดลงบัญชีของข้าแล้วกัน”

กางสมุดบัญชีออกอีกครั้ง แม้ว่าจะยกพู่กันขึ้นเขียนตัวอักษร แต่เผยเฉียนกลับหันหน้าไปจ้องหลี่ไหวเขม็งอยู่ตลอดเวลา

หลี่ไหวถามอย่างระมัดระวังว่า “ไปด่าร้านซวีเฮิ่นกันไหม?”

เผยเฉียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนเขาไม่ได้บังคับซื้อสักหน่อย จะไปด่าเขาได้ยังไง!”

เผยเฉียนปิดสมุดบัญชี เอนหลังพิงเก้าอี้ ทั้งคนทั้งเก้าอี้โยกตัวไปพร้อมกัน พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องที่ขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้า ไม่มีจริงหรอก”

พอเผยเฉียนพูดถึงขนมเปี๊ยะ หลี่ไหวก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะเริ่มคิดถึงเกี๊ยวไส้เนื้อหมูผักกาดขาวของบ้านตัวเองขึ้นมาแล้ว ต่อให้เป็นไส้ผักขึ้นฉ่าย ไม่มีเนื้อ ก็ยังอร่อย

พอคิดถึงว่าตนออกเดินทางครั้งนี้ ยังไม่ทันถึงอุตรกุรุทวีปก็ต้องแบกหนี้ใหญ่เทียมฟ้าราคาครึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเอาไว้แล้ว หลี่ไหวก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นไปอีก

เผยเฉียนเอ่ย “เอาเถอะๆ เดิมทีเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นก็หล่นลงมาจากฟ้าอยู่แล้ว ของเหล่านี้มองดูแล้วนับว่ายังพอใช้ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่มีทางให้เจ้าซื้อมาหรอก ตามกฎเดิม แบ่งกันคนละครึ่งแล้วกัน”

ที่ล้างพู่กันเครื่องกระเบื้องเซียนนั่งแพไม้ไผ่ ม้วนภาพจิ้งจอกกราบดวงจันทร์ กล่องเก็บอุปกรณ์ห้องหนังสือไม้ถานเก่าแก่ที่แถมสิงโตสามสีมาหนึ่งคู่ ที่ทับกระดาษลักษณะคล้ายกู่ฉินโบราณลายพระอาทิตย์ตกดินชิ้นหนึ่ง แท่นฝนหมึกรูปเซียนประคองจันทร์เมามาย ถ้วยลายมังกรไล่ตามไข่มุกสีเขียวใบหนึ่ง

บอกตามตรง สามารถใช้เงินร้อนน้อยแค่เหรียญเดียวซื้อ ‘วัตถุตระกูลเซียน’ มากมายขนาดนี้มาจากร้านค้าตระกูลเซียนแห่งหนึ่งบนเรือข้ามฟากได้ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

เผยเฉียนฟุบตัวลงบนโต๊ะ พินิจมองที่ทับกระดาษกู่ฉินอย่างละเอียด ส่วนหลี่ไหวกำลังมองภาพจิ้งจอกกราบไหว้ดวงจันทร์ คนทั้งสองแหงนหน้าขึ้นสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็ยิ้มกว้าง

บางทีสิ่งของทั้งหลายที่อยู่บนโต๊ะเหล่านี้อาจไม่มีราคาค่างวด แน่นอนว่าไม่พูดถึงกระดาษยันต์ปึกนั้นที่ถูกเผยเฉียนโยนเข้าหีบหนังสือไปแล้ว แต่อันที่จริงพวกเขาต่างก็ชอบพวกมันมาก

ไปถึงท่าเรือของชายหาดโครงกระดูก ก่อนจะลงจากเรือ เผยเฉียนพาหลี่ไหวไปบอกลาผู้ดูแลซูและเถ้าแก่หวงด้วยกัน

เถ้าแก่หวงหัวเราะร่าหยิบเอาของขวัญก่อนจากมาให้ชิ้นหนึ่ง บอกว่าห้ามปฏิเสธ ข้ากับอาจารย์พ่อของเจ้าเป็นสหายต่างวัยกัน ตามหลักแล้วก็ควรรับไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเผยเฉียนก็ไม่ยอมรับไว้ บอกแค่ว่าวันหน้ารอให้ร้านซวีเฮิ่นไปเปิดกิจการที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวเมื่อไหร่ นางจะมอบของขวัญเปิดร้านเล็กๆ เท่าที่ความสามารถของตัวเองจะหามาได้ไปให้ก่อน จากนั้นจะทำหน้าหนาขอหงเปาซองใหญ่ๆ จากท่านปู่หวง เถ้าแก่หวงหัวเราะปากกว้างจนหุบไม่ลง เอ่ยปากรับคำนาง

ไม่เพียงเท่านี้ เผยเฉียนยังหยิบของขวัญที่พี่หญิงหน่วนซู่เตรียมไว้ให้ออกมา เป็นกระดาษจดหมายงามประณีตที่ทำมาจากใบไผ่ชิงจู๋ที่เว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นเป็นผู้ปลูกเอง มอบให้กับผู้ดูแลเรือผู้เฒ่าทั้งสองท่าน

บนใบไผ่เขียนบทกลอนบางอย่างเอาไว้ หากไม่ใช่ลายมือของห่านขาวใหญ่ก็เป็นลายมือของพ่อครัวเฒ่า เผยเฉียนรู้สึกว่ารวมๆ กันแล้ว ตัวอักษรพวกนี้ยังไม่สวยเท่าลายมือของอาจารย์พ่อเลย ก็แค่พอดูได้กระมัง

โชคดีที่ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็รับไว้ด้วยรอยยิ้ม พวกเขาต่างก็มองผ่านๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็มองซ้ำอีกสองสามที เป็นการกระทำที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เผยเฉียนยังกังวลว่าอยู่ต่อหน้านางพวกเขายอมรับไว้ก็จริง แต่พอหมุนตัวแล้วจะโยนมันทิ้งไป แต่ดูจากท่าทางนี้ก็คงไม่ทำเช่นนั้นแล้ว

ขึ้นเขาลงห้วยต้องไปจุดธูปกราบไหว้เทพเซียนก่อน เรื่องนี้อาจารย์พ่อไม่เคยสั่งสอนเผยเฉียน แต่นางติดตามอาจารย์พ่อเดินทางท่องยุทธภพไปไกลขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องสอนเลย

ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่ได้ไปที่นครปี้ฮว่าก่อน แต่พาหลี่ไหวตรงไปยังภูเขามู่อี

คนที่มารับรองแขกยังคงเป็นเทพแห่งโชคลาภของสำนักพีหมา เหวยอวี่ซง

ครั้งนี้จู๋เฉวียนก็บังเอิญอยู่บนภูเขาพอดี จึงมาพบลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอันด้วย

สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่าเหมือนกัน คราวก่อนเจอกับเด็กชายชุดเขียวที่ชื่อเฉินหลิงจวิน อีกฝ่ายชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ แม้จะไม่ถึงขั้นน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ชวนให้เอ็นดูสักเท่าไร

แต่กับเด็กสาวร่างผอมบางที่ผิวออกคล้ำเล็กน้อยตรงหน้าผู้นี้ จู๋เฉวียนแค่เห็นก็ถูกชะตาทันที

เป็นสตรีก็ดี เป็นแม่นางน้อยก็ช่าง จะหน้าตาดีขนาดนั้นไปทำไม

เด็กสาวที่ชื่อเผยเฉียนผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ

จู๋เฉวียนสอบถามเส้นทางการเดินทางของเผยเฉียนกับหลี่ไหวโดยละเอียด

ตามคำบอกของเด็กสาว ฟังแล้วก็คล้ายคลึงกับของเฉินหลิงจวินที่มาถึงก่อนหน้านี้อยู่มาก ต่างก็เดินทางจากชายหาดโครงกระดูกมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่ตรงปากทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่ทะเลแล้ว เส้นทางกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉินหลิงจวินจะต้องเดินทวนกระแสลำน้ำใหญ่ ส่วนพวกเผยเฉียนกลับตรงขึ้นเหนือไป จากนั้นก็ไม่ได้ไปตรงขั้วเหนือสุด แต่จะเปลี่ยนทิศทางจากกลางทางขยับไปทางฝั่งขวา ส่วนช่วงการเดินทางไปกลับสวนน้ำค้างวสันต์ต่อจากนั้น เผยเฉียนกับหลี่ไหวจะไม่นั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียน แต่จะเดินเท้ากันไป ทว่าคนทั้งสองจะยังเดินเล่นดูทัศนียภาพของชายหาดโครงกระดูกแถบที่อยู่ใกล้กับภูเขามู่อีก่อน

หลี่ไหวไม่มีความเห็นต่างสำหรับเรื่องพวกนี้ อีกอย่างต่อให้เขาเห็นต่างแล้วจะมีประโยชน์หรือ? หัวหน้าสาขาคือเผยเฉียน ไม่ใช่เขาสักหน่อย

เนื่องจากสนิทสนมกับโจวหมี่ลี่ เผยเฉียนจึงพูดภาษากลางของอุตรกุรุทวีปได้คล่องมานานแล้ว

เมื่อเทียบกับทวีปอื่น ภาษากลางของอุตรกุรุทวีปใช้กันทั่วทั้งทวีป นี่จึงเป็นเหตุให้คนต่างถิ่นประหยัดแรงกายแรงใจในเรื่องการสื่อสารไปได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของอุตรกุรุทวีปกลับไม่ทำให้คนต่างถิ่นวางใจได้เลยก็เท่านั้น

และยังมีภาษาทางการของแคว้นเล็กๆ หลายแห่งรอบทะเลสาบคนใบ้ที่เผยเฉียนก็เชี่ยวชาญมานานแล้ว

หากตั้งใจเรียนเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เผยเฉียนมักจะเรียนรู้ได้เร็วเสมอ

เพียงแต่ว่ายามอยู่ข้างกายอาจารย์พ่อ ไม่ว่าอะไรเขาก็ต้องการให้นางช้าลงสักหน่อย คัดหนังสือช้าหน่อย เดินทางช้าหน่อย เติบโตช้าหน่อย

จู๋เฉวียนรับฟังคำบอกเล่าของแม่นางน้อยคนหนึ่งอย่างมีน้ำอดน้ำทนอย่างที่หาได้ยาก

ต่อให้เป็นตอนที่ปรึกษากิจธุระในศาลบรรพจารย์บ้านตัวเอง ก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าสำนักอย่างนางใส่ใจขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ เท้าคางด้วยมือข้างเดียว อ้าปากหาวไม่หยุด ไม่ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ได้ยินหรือไม่ได้ยิน ก็ล้วนจะต้องคอยพยักหน้ารับอยู่เป็นระยะ สมาชิกของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาอย่างพวกเยี่ยนซู่บรรพจารย์ผู้คุมกฎบนภูเขา เทพเจ้าแห่งโชคลาภของสำนักพีหมาเหวยอวี่ซง ตู้เหวินซือ ต่างก็เคยชินกันมานานแล้ว เมื่อหลายปีก่อนทำการค้าระยะยาวจากเส้นทางสายนั้นกับแจกันสมบัติทวีปได้สำเร็จ ความมั่นใจของจู๋เฉวียนก็เพิ่มพูน คงจะค้นพบว่าที่แท้ตนก็มีพรสวรรค์ในการทำการค้าเหมือนกันกระมัง ทุกครั้งที่ประชุมงานในศาลบรรพจารย์นางถึงเปลี่ยนนิสัยเรียบง่ายจากยามปกติมาเป็นเปี่ยมไปด้วยปณิธานฮึกเหิม จะต้องเข้าร่วมปรึกษารายละเอียดทุกอย่างให้จงได้ ผลคือถูกเยี่ยนซู่และเหวยอวี่ซงร่วมมือกัน ‘กำราบ’ โดยเฉพาะเหวยอวี่ซงที่ถึงกับสบถไม่ขาดปากว่ามารดามันเถอะ แล้วบอกเจ้าสำนักว่าอย่ามาชี้ไม้ชี้มืออยู่ที่นี่เลย สุดท้ายถึงไล่นางให้ไปเฝ้าเมืองชิงหลูที่หุบเขาผีร้าย

ก่อนจะลงจากเขา จู๋เฉวียนยืนกรานว่าจะมอบของขวัญพบหน้าให้เผยเฉียนให้จงได้

เหมือนกับตอนอยู่บนเรือข้ามฟาก เผยเฉียนยังคงปฏิเสธไม่รับเอาไว้ และนางก็ย่อมมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลมาใช้รับมือ

หากอาจารย์พ่ออยู่ข้างกาย ขอแค่อาจารย์พ่อไม่เอ่ยอะไร รับของขวัญก็คือรับของขวัญ แต่ยามที่อาจารย์พ่อไม่อยู่ข้างกาย เผยเฉียนกลับรู้สึกว่าจะทำตามใจชอบเช่นนั้นไม่ได้แล้ว

จู๋เฉวียนจึงรับเผยเฉียนเป็นลูกสาวบุญธรรม ไม่เปิดโอกาสให้เผยเฉียนปฏิเสธก็ทะยานลมไปที่ชายหาดโครงกระดูกทันที

ทิ้งเผยเฉียนกับหลี่ไหวที่มองหน้ากันตาปริบๆ เอาไว้

คนทั้งสองลงจากเขาไปยังนครปี้ฮว่าตรงตีนเขา

หลังจากที่โชควาสนาของภาพเทพหญิงไม่เหลืออยู่แล้ว หลงเหลือเพียงภาพลายเส้นขาวดำที่ไม่มีพลังชีวิต ไม่มีสีสัน นครปี้ฮว่าจึงกลายมาเป็นสถานที่รวมตัวกันของร้านผ้าห่อบุญน้อยใหญ่ และยิ่งนานวันคนเลวคนดีก็ยิ่งปะปนกันมากขึ้น

เผยเฉียนยังจำได้ว่าที่นี่มีเรื่องเล่าเล็กๆ ที่อาจารย์พ่อเคยเล่าให้นางฟัง ปีนั้นมีสตรีออกเรือนแล้วคนหนึ่งที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็พุ่งเข้ามาชนเขา ผลกลับกลายเป็นว่าชนไม่โดน จึงได้แต่ขว้าง ‘ขวดหลิวเสียของแท้’ ใบหนึ่งที่มีมูลค่าสามเหรียญเงินร้อนน้อยของตัวเองทิ้งแทน

เพียงแต่ว่าครั้งนี้เผยเฉียนไม่ได้เจอกับสตรีผู้นั้น

อันที่จริงปีนั้นตอนที่อาจารย์พ่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เผยเฉียนก็แสร้งโง่มาตลอด เวลานั้นนางไม่กล้าบอกกับอาจารย์พ่อว่าตอนที่นางยังเด็กก็เคยทำแบบนี้เหมือนกัน แล้วยังมีเล่ห์เหลี่ยมโชกโชนกว่าสตรีหัวทึบคนนั้นมากนัก แต่ไม่อาจทำคนเดียวได้ ต้องมีพรรคพวก คนตัวใหญ่ต้องสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน มองดูแล้วมีมาดของคนมีอันจะกิน บุคลิกต้องเป็นคนร้ายกาจ คนที่ตัวเล็ก หากเป็นช่วงหน้าหนาวก็ง่ายที่สุด หนีไม่พ้นใช้สองมือที่หนาวจนบวมแดงทุบของให้แตก คนตัวใหญ่จะรั้งคนเดินเท้าเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไป ส่วนคนตัวเล็กจะต้องนั่งยองบนพื้นแล้วยื่นมือปัดป่ายส่งเดช ให้มือเปื้อนไปด้วยเลือด จากนั้นก็เอามาถูบนหน้าตัวเอง ต้องลงมืออย่างว่องไว ตามด้วยตะเบ็งเสียงแผดร้องคร่ำครวญปานจะขาดใจ ราวกับพ่อแม่ตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ แค่มองก็จะทำให้คนตกใจได้แล้ว จากนั้นก็โหวกเหวกบอกว่านี่เป็นของที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นของที่เอาไปขายให้ร้านในราคาถูกพร้อมกับบิดาเพื่อหาเงินซื้อชีวิตรักษาโรคให้มารดา จากนั้นก็ร้องไห้พลางโขกหัวไปด้วย หากฉลาดสักหน่อยสามารถโขกลงบนหิมะได้ ถ้าคราบเลือดบนใบหน้าลดน้อยลงก็ไม่ต้องกลัว แค่ใช้หลังมือปาดไปบนหน้าก็พอแล้ว ไปๆ มาๆ กลับจะยิ่งได้ผลมากกว่าเดิม

หากไม่ใช่หน้าหนาว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลำบากเล็กน้อยแล้ว เวลานั้นเผยเฉียนเองก็เคยเจอกับความลำบากครั้งหนึ่ง จึงไม่ยอมรับทำงานเช่นนั้นอีก ไปหางานที่อื่นทำแทน เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นางในเวลานั้นทนรับความเจ็บปวดจากการถูกเศษกระเบื้องกรีดมือไม่ได้จริงๆ อีกอย่างไม่ใช่หน้าหนาว ไม่มีหิมะทับถม โขกหัวจะไม่เจ็บแย่หรือ?

มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ดูแลกิจการสกปรกนั้น พอเผยเฉียนหนีไป เขาก็เสียดายอย่างมาก เพราะภายหลังมีครั้งหนึ่งเจอกับเผยเฉียนโดยบังเอิญ เขาจึงบอกว่าแท้จริงแล้วนางคือวัตถุดิบที่ดีชิ้นหนึ่ง เวลาร้องไห้สมจริงอย่างมาก เหมือนคนที่พ่อแม่ตายจริงๆ ดวงตาทั้งคู่ของนางยังโตมาก เวลาร้องไห้ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาเสแสร้ง บวกกับใช้เลือดสดจากหลังมือซึ่งหนาวจนเป็นตุ่มพองปาดลงบนใบหน้า ใบหน้าเล็กๆ นั้นก็ราวกับเหลือแค่ดวงตากลมโตคู่เดียว หลอกให้คนเจ็บปวดใจได้เป็นอย่างดี

แต่อาจารย์ผู้เฒ่าที่เคยตีขาคนวัยเดียวกันกับเผยเฉียนหักไปหลายคน ครั้งสุดท้ายที่นางได้เจอเขาคือในตรอกแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บ ก็ไม่รู้ว่าถูกคนตีตายหรือว่าหนาวจนแข็งตาย แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าถูกคนตีจนปางตาย สุดท้ายค่อยหนาวจนแข็งตาย ใครเล่าจะไปรู้ สรุปก็คือบนร่างของเขาไม่มีเงินเหรียญทองแดงแม้แต่เหรียญเดียว เผยเฉียนฉวยโอกาสตอนที่มือปราบของเมืองหลวงยังไม่มาเก็บศพแอบค้นตัวเขา นางย่อมรู้ จำได้ว่าปีนั้นนางเคยด่าเขาไปว่าหากตายไปเป็นผีก็ยังต้องเป็นผียากจน

หลี่ไหวถาม “คิดอะไรอยู่น่ะ?”

เผยเฉียนส่ายหน้ายิ้ม “ไม่ได้คิดอะไรหรอก”

ก็แค่คิดถึงอาจารย์พ่อแล้ว

คิดถึงอาจารย์พ่อที่ทำให้เผยเฉียนในปีนั้นเดินมาเป็นเผยเฉียนในวันนี้