บทที่ 688.1 บนภูเขาลั่วพั่วมีเซียนกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เดินเข้าสู่กลุ่มเทือกเขาของศาลลมหิมะท่ามกลางค่ำคืนที่ลมหิมะพัดโชย ทัศนียภาพงดงามเกินบรรยาย

กลางดึกหิมะตกหนัก บางครั้งก็ได้ยินเสียงกิ่งต้นสนต้นป่ายแตกหัก เสียงต้นไผ่เอนตัวตามสายลม

นับตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เว่ยจิ้นไม่เคยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาที่ศาลบรรพจารย์ของศาลลมหิมะ ส่วนหอเทพเซียนของศาลลมหิมะก็ยิ่งไม่มีความจำเป็น เพราะเว่ยจิ้นคือผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของสายหอเทพเซียน กลางภูเขายังคงมีสิ่งปลูกสร้างลักษณะเป็นจวน เพียงแต่ร่ายเวทตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำเป็นสัญลักษณ์ไว้ชั้นหนึ่ง ขอแค่ไม่ถึงขั้นถล่มลงมา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้คนมาเก็บกวาดทำความสะอาดก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปรวบรวมปราณวิญญาณ ไม่หวังให้ซ่อนลมรวมน้ำ

ก่อนหน้านี้ต่อให้มาถึงอาณาเขตของศาลลมหิมะ แต่เว่ยจิ้นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะไปทักทายพวกอาจารย์ เขาเดินตรงขึ้นเขาไปยังสุสาน หลังจากเว่ยจิ้นคารวะสุราที่หอเทพเซียนเสร็จแล้วก็จะจากไปทันที และแน่นอนว่ายิ่งไม่คิดจะไปนั่งในศาลบรรพจารย์

ทัศนียภาพของศาลลมหิมะงดงามอย่างยิ่ง ทว่าทิวทัศน์ที่หอเทพเซียนกลับงามล้ำยิ่งกว่า คือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป ในภูเขามีต้นสนโบราณต้นป่ายยักษ์อายุพันปีอยู่มากมาย ค่ำคืนที่หิมะตกเช่นนี้ ทั่วทั้งภูเขากลับเต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ จึงมียอดฝีมือหลายคนมาหลับตานอนอยู่ใต้ต้นสน น่าจะเป็นผู้ฝึกตนของภูเขาสายอื่นจากศาลลมหิมะที่มาชมหิมะที่นี่ มาเยือนด้วยความยินดี แต่กลับไม่ยินดีจะจากไป จึงเริ่มใช้ที่แห่งนี้เป็นที่ฝึกตนเสียเลย พอเจอกับเว่ยจิ้น ผู้บำเพ็ญตนใต้ต้นสนที่สวมชุดขาวสะอาดกระจ่างเหนือกว่าหิมะก็ไม่ได้ส่งเสียงใด เพียงแค่ลุกขึ้นยืนคารวะอยู่ไกลๆ

เว่ยจิ้นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

กลับเป็นคนต่างถิ่นอย่างหมี่อวี้ที่ยิ้มพลางโบกมือลาเทพเซียนใต้ต้นสนคนนั้น ฝ่ายหลังไม่แน่ใจว่าคุณชายหนุ่มที่บุคลิกโดดเด่นรูปโฉมงดงามผู้นี้เป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ ถึงได้สามารถขึ้นเขามาพร้อมกับเว่ยจิ้นได้ ต้องรู้ว่าเรื่องการขึ้นเขามาคารวะหลุมศพ เว่ยจิ้นรังเกียจการที่คนซึ่งพบเจอระหว่างทางเข้ามาทักทายปราศรัยเขาเป็นที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะพาเพื่อนมาเป็นแขกที่หอเทพเซียนเลย

เว่ยจิ้นไม่ชอบพูดถึงเรื่องเก่าในอดีตของศาลลมหิมะ ไม่เป็นไร ข้างกายของหมี่อวี้มีเหวยเหวินหลงที่ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ชอบซื้อรายงานแห่งขุนเขาสายน้ำมาเสมอ นักบัญชีแห่งเรือนชุนฟานผู้นี้คือยอดฝีมือด้านการค้นหาตรวจสอบบันทึกลับอย่างแท้จริง ทุกวันนี้เขาเข้าใจทำเนียบตระกูลต่างๆ บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปได้ดียิ่งกว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของแจกันสมบัติทวีปเองเสียอีก ดังนั้นหมี่อวี้จึงรู้ว่าศาลลมหิมะที่เป็นหนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารแห่งแจกันสมบัติทวีปนี้แบ่งออกเป็นหกสาย หร่วนฉงที่ภายหลังออกไปก่อสำนักเป็นของตัวเอง ทุกวันนี้คือคนบ้านเดียวกับใต้เท้าอิ่นกวาน เคยเป็นสายของบ่อน้ำมรกต ทิ้งเตาหลอมกระบี่ฉางจวี้ไว้ให้กับศาลลมหิมะ ถือว่าพบเจอด้วยดีและจากลาด้วยดีกับสำนักเก่า ศาลลมหิมะถือเป็นบ้านเดิมของสำนักกระบี่หลงเฉวียนครึ่งตัว หร่วนฉงคืออาจารย์หลอมกระบี่อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป เคยเกิดข้อพิพาทกับหมู่บ้านต้าโม่ของราชวงศ์สุ่ยฝูในเรื่องการหลอมกระบี่ เซียนกระบี่ของหมู่บ้านต้าโม่จึงถูกศาลลมหิมะกักขังเอาไว้ห้าสิบปี ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นนักโทษอยู่เหมือนเดิม

บางครั้งเหวยเหวินหลงก็พูดถึงข่าวลือเล็กๆ หลากหลายของยอดเขาเหวินชิงกับร่องต้าหนีของศาลลมหิมะให้หมี่อวี้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์แซ่ฉินท่านหนึ่งของสายร่องต้าหนีกับผู้อาวุโสไท่ซ่างท่านหนึ่งของตำหนักฉางชุน ตอนเยาว์วัยเคยจับคู่กันออกท่องเที่ยวยุทธภพ มีเรื่องเล่ามากมาย เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่ไม่อาจผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียนกันได้

เว่ยจิ้นอดไม่ไหวจึงถามไปประโยคหนึ่งว่า มีเรื่องแบบนี้จริงหรือ?

เหวยเหวินหลงจึงเล่าอย่างน่าเชื่อถือ บอกว่าในประวัติศาสตร์มีรายงานขุนเขาสายน้ำกี่ฉบับที่สามารถนำมาพิสูจน์กันได้ นอกจากนี้ทุกครั้งที่ตำหนักฉางชุนทำพิธีเปิดขุนเขาหรือพิธีการฝ่าทะลุขอบเขต สายอื่นของศาลลมหิมะอย่างมากก็แค่ส่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดให้ไปร่วมแสดงความยินดีที่ต้าหลี แต่บรรพบุรุษสกุลฉินของร่องต้าหนีมีครั้งใดบ้างที่ไม่ได้ไปเยือนด้วยตัวเอง?

เว่ยจิ้นไร้คำพูดตอบโต้ เขากับผู้ฝึกตนที่เป็นพวกเทพเซียนพสุธาของร่องต้าหลีไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว แล้วจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

ที่ยิ่งน่าประหลาดก็คือเหวยเหวินหลงสามารถพลิกเปิดรายงานขุนเขาสายน้ำของเมื่อหลายสิบหลายร้อยปีก่อนปึกหนาๆ ได้ทุกวันอย่างไม่มีเบื่อหน่าย แล้วยังจดบันทึกคัดลอกเอาไว้ มักจะพูดอย่างมั่นใจว่าภูเขาลูกไหนบ้างที่ตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน ทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงจะต้องฝืนใจขูดเอาทรัพย์สินชั้นหนึ่งของตัวเองออกไปใช้ แล้วยังมีภูเขาลูกใดบ้างที่เห็นๆ กันอยู่ว่าสามารถหาเงินเป็นกอบเป็นกำได้ในวันเดียว แต่กลับชอบซ่อนเร้นความสามารถ แอบร่ำรวยอยู่เงียบๆ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับทรัพย์สินของตัวเอง

บนภูเขายังมีเด็กชายเด็กหญิงของยอดเขาเหวินชิงหลายกลุ่มที่พกพาเอาถ้วยลายครามตระกูลเซียน เนื่องจากได้รับคำสั่งของอาจารย์จึงมาเยือนหอเทพเซียนโดยเฉพาะ ใช้เวทลับและสมบัติวิเศษมาเลือกเกล็ดหิมะ นำไปหมักเป็นเหล้าหานซู (คำเรียกอีกอย่างของเกล็ดหิมะ) หรือไม่ก็แกะสลักเป็นชิงเค่อฮวา (ดอกไม้ที่สามารถเบ่งบานได้ในชั่วพริบตา เปรียบเปรยเป็นดอกไม้ไฟและอาจยังหมายถึงเกล็ดหิมะ) อย่างแรกนำมาใช้รับรองแขก อย่างหลังเอาไปใช้เป็นของขวัญมอบให้แขก เรื่องของการเก็บหิมะนี้มีข้อพิถีพิถันใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกเก็บจากหิมะที่เกาะอยู่ตามรากขดงอของต้นสนโบราณที่ขึ้นริมหน้าผา เอามาใส่ไว้ในขวดไห ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันก็จะมีสถานที่เก็บเกล็ดหิมะที่ไม่เหมือนกัน เรื่องราวของตระกูลเซียนบนภูเขา สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้วเป็นเรื่องของบนฟ้าอย่างแท้จริง

เด็กๆ พวกนี้เจอกับเว่ยจิ้นที่ลำดับอาวุโสสูงมากในศาลลมหิมะก็ไม่ได้ทักทาย ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจ แต่เป็นเพราะไม่กล้า

ทว่าบนใบหน้าของทุกคนล้วนเผยความปิติยินดี บรรพจารย์เว่ยเซียนกระบี่เว่ยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว

ก่อนหน้านี้เจอกับเซียนดินใต้ต้นสนคนนั้น เว่ยจิ้นเหมือนคนเย่อหยิ่งที่ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แต่พอเจอกับเด็กๆ พวกนี้ของศาลลมหิมะกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร ความหมายคร่าวๆ ก็คือจำไว้ว่าอย่าเอาไปบอกผู้อาวุโสของพวกเจ้า สถานที่อย่างหอเทพเซียนแห่งนี้มีหน้าผาสูงชันอยู่เยอะ เก็บหิมะไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องระวังให้มาก

รอกระทั่งกลุ่มของพวกเว่ยจิ้นเดินห่างออกไปก็มีเด็กเก็บหิมะคนหนึ่งกระโดดผลุงขึ้น โหวกเหวกเสียงดังว่าเซียนกระบี่เว่ยคุยกับข้าด้วยล่ะ แล้วไม่นานก็มีเด็กๆ เริ่มโต้เถียงกับเขา บอกว่าบรรพจารย์เว่ยพูดกับข้าต่างหาก เสียงอ่อนเยาว์ที่ถกเถียงกันคลอเคล้าไปกับเสียงลมหิมะ

หมี่อวี้หันหน้ามามองเว่ยจิ้น ยิ้มถามว่า “ชื่อเสียงและคำประเมินของศาลลมหิมะ ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนดีมาโดยตลอด ไยเจ้าจึงยังมีความไม่พอใจมากขนาดนี้?”

เว่ยจิ้นไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากพูด ภูเขาตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาล ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก หากจะคิดเอาจริงเอาจังกันขึ้นมา ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเกี่ยวพันไปถึงความผิดความถูกใหญ่ที่ชัดเจน แต่หากจะไม่ให้คนถือสาเลยสักนิด ถึงอย่างไรก็ยากที่จะผ่านด่านในใจไปได้

หมี่อวี้จึงเอ่ยว่า “เหวินหลงอ่า”

เหวยเหวินหลงใช้เสียงในใจตอบ “เนื้อหาที่ระบุไว้ในรายงานขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีป ทุกจุดล้วนมีข้อพิถีพิถันล้วนมีกฎเกณฑ์ ไม่ค่อยกล้าพูดถึงเรื่องในบ้านของภูเขาใหญ่ๆ อย่างศาลลมหิมะนี้มากนัก ขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนกระบี่เว่ยฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป อีกทั้งยังเป็นต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวของหอเทพเซียน และอาจารย์นักหลอมของศาลลมหิมะก็ชอบเดินทางท่องไปทั่วทิศ อีกทั้งยังจับกลุ่มกันเป็นพรรคพวก มีความเป็นไปได้ว่าหากเทียบกับการเข้าร่วมกองทัพลงสนามรบของผู้ฝึกตนสำนักการทหารอย่างภูเขาเจินอู่แล้วก็จะถือว่าอยู่ในราชวงศ์หรือฝ่ายกองกำลังที่แตกต่างกัน ดังนั้นในรายงานขุนเขาสายน้ำจึงกล้าบันทึกไว้แค่เรื่องที่ผู้ฝึกตนของศาลลมหิมะลงจากเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร เกี่ยวกับเซียนกระบี่เว่ย อย่างมากก็แค่เขียนเรื่องที่เขากับหนึ่งในกุมารีหยกของสำนักโองการเทพในอดีต…”

เว่ยจิ้นกระแอมขึ้นมาหนึ่งที

เหวยเหวินหลงรีบหุบปากทันใด

ไปถึงหลุมศพแห่งนั้น เว่ยจิ้นจุดธูปแล้วก็หยิบเหล้าออกมาสามกา กาหนึ่งคือเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ กาหนึ่งคือเหล้าลืมทุกข์ของร้านเหล้าหวงเหลียงภูเขาห้อยหัว อีกกาหนึ่งคือเหล้าดอกกุ้ยของนครมังกรเฒ่า

เว่ยจิ้นนั่งยองอยู่หน้าหลุมศพ พึมพำอยู่กับตัวเอง ก่อนจะรินเหล้าทั้งสามกาลงเบื้องหน้าตน

ก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะออกมาจากหอเทพเซียน ระหว่างที่เดินลงเขาก็มีคนผู้หนึ่งขี่กระบี่ตรงมา รูปโฉมเป็นเด็กชาย เขาก็คือบรรพบุรุษของศาลลมหิมะ

เว่ยจิ้นกุมหมัดคารวะ บรรพบุรุษท่านนั้นก็ไม่ได้โน้มน้าวให้เว่ยจิ้นอยู่ต่อในภูเขา พูดแค่เรื่องกิจธุระในสำนักบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเว่ยจิ้นให้เขาฟัง

สุดท้ายบรรพบุรุษของศาลลมหิมะเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องในอดีต นั่นก็คือเรื่องความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้า เลือกสถานที่ประลองเป็นยอดเขาของหอเทพเซียน ตอนนั้นไม่ได้บอกกล่าวแก่เว่ยจิ้นที่อยู่ในยุทธภพ เป็นศาลลมหิมะที่ทำไม่เหมาะสม

เว่ยจิ้นส่ายหน้า บอกว่าถึงอย่างไรหอเทพเซียนก็เป็นสายหนึ่งของศาลลมหิมะ เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้

ทั้งสองฝ่ายบอกลากันแต่เพียงเท่านี้ ไม่อืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย

หลังจากที่คนทั้งสามออกมาจากหอเทพเซียนแล้ว บรรพบุรุษศาลลมหิมะที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กชายก็ขี่กระบี่มาลอยตัวอยู่เหนือปมรากต้นสนโบราณต้นหนึ่ง เก็บกระบี่ยาวลงไป ทอดสายตามองไปไกลคล้ายมีความกังวลใจ

บรรพบุรุษสกุลเฉินสายร่องต้าหนีปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา ถามเบาๆ ว่า “เว่ยจิ้นสามารถมีชีวิตกลับมาที่ภูเขาได้ ภาพบรรยากาศแห่งเซียนกระบี่บนร่างยิ่งเข้มข้นจนแทบจะถึงขั้นที่อยากซ่อนก็ซ่อนไม่อยู่ นี่คือนิมิตหมายมงคลดีเยี่ยม เหตุใดท่านบรรพบุรุษถึงไม่ยินดีกลับยังกังวลใจเล่า?”

เด็กชายผงกปลายคางชี้ไป “สองคนข้างกายเว่ยจิ้น เจ้ามองตื้นลึกหนาบางออกหรือไม่?”

ผู้เฒ่าจากร่องต้าหนีเอ่ย “คนที่รูปโฉมธรรมดานั้น เป็นเซียนดินโอสถทอง คงไม่ผิดไปหรอกกระมัง?”

เด็กชายพยักหน้า

ผู้เฒ่าเอ่ย “ส่วนคนที่หน้าตาดีกว่าเว่ยจิ้นมากผู้นั้น ขออภัยที่ข้าตาไม่ดี มองไม่ออกจริงๆ”

เด็กชายกล่าว “ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ห่างไปไกล อีกฝ่ายเห็นข้าขี่กระบี่มาถึงก็พลันเผยความเป็นอริออกมาเสี้ยวหนึ่ง ตอนนั้นปณิธานกระบี่ของอีกฝ่ายน่าตะลึงอย่างมาก แต่กลับเก็บไปได้อย่างรวดเร็ว กลมกลืนเป็นธรรมชาติ นี่ก็ยิ่งไม่อาจดูแคลนได้แล้ว”

ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างกังขา “ท่านบรรพบุรุษคือเซียนกระบี่อย่างสมชื่อ ไม่ได้เหมือนพวกก่อกำเนิดของภูเขาตะวันเที่ยงที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่บนภูเขาบ้านตัวเองก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่หลายส่วนหรือ?”

สามารถเป็นสหายกับเซียนกระบี่ได้ ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา

เด็กชายเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายใช่ผู้บรรลุมรรคาที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำหรือไม่ สิ่งที่ข้ากริ่งเกรงอย่างแท้จริงคือหลังจากที่คนผู้นี้เผยความเป็นอริออกมา ท่าทีของเว่ยจิ้นกลับเฉยเมย ไม่คิดขัดขวาง ราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก เจ้าต้องรู้ว่าไม่ว่าภายนอกเว่ยจิ้นจะห่างเหินกับศาลลมหิมะอย่างไร แต่ส่วนลึกในกระดูกก็ยังเป็นคนที่เคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก แต่หลังจากที่คนต่างถิ่นผู้นั้นเผยความเป็นศัตรูต่อศาลลมหิมะของเรา การแสดงออกเช่นนี้ของเว่ยจิ้น เจ้าไม่คิดว่ามันประหลาดบ้างหรือ?”

ผู้เฒ่าถามอย่างระมัดระวัง “หรือว่าจะเป็นเซียน…กระบี่ที่มาจากทางนั้น?”

แต่จากนั้นผู้เฒ่าก็จุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เซียนกระบี่ที่หน้าตาดีขนาดนี้ ไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ ไม่กล้าเชื่อเลย เว่ยจิ้นผู้นี้ก็จริงๆ เลยนะ น้ำดีไม่ไหลเข้านาคนอื่น ไม่รู้จักลากเอาสหายไปนั่งที่ร่องต้าหนีของข้าบ้าง”

เด็กชายเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ไม่สนแล้ว ความเป็นศัตรูที่ปรากฏเพียงวูบเดียวแล้วหายไปของอีกฝ่าย เหมือนจะมีต่อสถานะผู้ฝึกกระบี่ของข้า หาใช่มีต่อศาลลมหิมะไม่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าแค่ฟังไว้ก็พอ”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ

เด็กชายหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เสี่ยวฉิน ตอนนี้ข้าไม่สนใจแล้วว่าสถานะของคนผู้นั้นคืออะไร แค่กังวลว่าเจ้าที่ปากมากจะเอาเรื่องนี้โพนทะนาไปทั่ว วันนี้พูดคุยกับเซียนกระบี่บางคนที่เดินทางมาท่ามกลางราตรีลมหิมะอย่างถูกคอ พรุ่งนี้เห็นเซียนกระบี่คนหนึ่งเหมือนสหายเก่าที่รู้จักกันมานาน กราบไหว้ฟ้าดินสาบานเป็นพี่น้องกัน วันมะรืนเซียนกระบี่ผู้นั้นก็กลายเป็นลูกเขยของร่องต้าหนีพวกเจ้าแล้ว”

ใบหน้าของบรรพบุรุษสกุลฉินร่องต้าหนีเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

หลังออกมาจากภูเขาของศาลลมหิมะ หิมะใหญ่ครั้งนี้ตกลงมาไม่เบาเลยจริงๆ ฟ้าดินกว้างไกลพันลี้ มองไปมีแต่หิมะขาวโพลนกับสายลมหวีดหวิว

คนทั้งสามไม่ได้จงใจทะยานร่างขึ้นสูง แต่เลือกที่จะขี่กระบี่ล่องไปตามสายลม เว่ยจิ้นขี่กระบี่ หมี่อวี้ที่เป็นเซียนกระบี่เหมือนกันกลับชอบทะยานลมอย่างเชื่องช้ามากกว่า ใช้ข้ออ้างดูดีว่าต้องการดูแลพี่น้องเหวย

ฟ้าดินกว้างใหญ่ เทพเซียนมีน้อย ตลอดทางไร้เงาร่างของคนเดินทางไกล

เหวยเหวินหลงยิ้มกล่าว “พวกเราอยู่ห่างจากภูเขาลั่วพั่วมาไม่ไกลแล้วใช่ไหม”

หมี่อวี้ยิ้มหน้าเป็น “เจ้าเป็นคนที่ใต้เท้าอิ่นกวานเลือกมาไว้ในศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว แต่ข้ากลับยังไม่แน่ ถึงเวลานั้นเจ้าจำไว้ว่าต้องดูแลพี่น้องให้มากๆ นะ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ถวายงานแล้วชักสีหน้าจำกันไม่ได้ ตวาดใช้พี่น้องในอดีตอย่างข้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

เหวยเหวินหลงยิ้มเฝื่อน “เซียนกระบี่หมี่ล้อเล่นแล้ว”

ตามแผนการที่กำหนดไว้ เว่ยจิ้นจะส่งหมี่อวี้และเหวยเหวินหลงไปถึงภูเขาลั่วพั่ว จากนั้นเหวยเหวินหลงก็จะอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว ส่วนหมี่อวี้กลับต้องโดยสารเรือข้ามฟากไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีป ด้วยขอบเขตและสถานะของหมี่อวี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์ควันธูปสองส่วนระหว่างสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ และระหว่างอิ่นกวานหนุ่มกับฉีจิ่งหลงเจ้าสำนักคนใหม่ การที่หมี่อวี้จะกลายเป็นสมาชิกในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ล้วนสมเหตุสมผลดีแล้ว

เพียงแต่หมี่อวี้ได้ยินเว่ยจิ้นบอกว่าเขาเองก็ต้องการไปอุตรกุรุทวีปเพื่อไปถามกระบี่เทียนจวินเซี่ยสืออีกครั้ง ก็เลยฝากให้เว่ยจิ้นนำความไปบอกกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยว่า เขาหมี่อวี้ทำหน้าหนาขอตำแหน่งผู้ถวายงานที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อตำแหน่งหนึ่ง หากลำบากใจก็ไม่ต้องรับปาก ตอบตกลงถือเป็นน้ำใจ ไม่ตกลงก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขา เขาหมี่อวี้ไม่มีหน้าไปบังคับให้สำนักกระบี่ไท่ฮุยต้องตกปากรับคำจริงๆ ถ้อยคำที่กล่าวนั้นไม่ได้เอ่ยคำพูดเหยียบย่ำตัวเองว่าหมี่อวี้คือ ‘หมอนปักลายบุปผา’ เพราะหมี่อวี้เคารพสำนักกระบี่ไท่ฮุยจริงๆ

เว่ยจิ้นไม่ค่อยชอบให้การยอมรับหรือปฏิเสธชีวิตของคนอื่น หมี่อวี้คือขอบเขตหยกดิบจริงแท้แน่นอน คำว่าชั้นวางดอกไม้ก็เป็นแค่การเปรียบเทียบกับพวกเซียนกระบี่ที่มีพลังการสู้รบสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่หมี่อวี้ไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ดังนั้นในเมื่อหมี่อวี้ยืนกรานเช่นนี้ เว่ยจิ้นจึงตอบตกลง เหวยเหวินหลงบอกว่าท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวที่ภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋นครอบครองกันคนละครึ่ง นอกจากจะมีเรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปมาจอดเทียบท่าแล้ว ยังมีเรือฟ่านโม่ที่เป็นเรือการค้าเดินทางไกลอีกลำหนึ่งซึ่งไม่เคยป่าวประกาศแก่คนนอกว่าเจ้าของที่แท้จริงคือใคร ผู้ดูแลเรือชั่วคราวหรือหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไชแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต สตรีมีชาติกำเนิดเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ใหญ่ที่ล่มสลาย ในคลังสมบัติลับของราชวงศ์แห่งนั้นเคยมีเรือมังกรและตำหนักน้ำ ล้วนเป็นสมบัติหนักบนภูเขา คิดดูแล้วเรือฟานโม่ลำนั้นก็น่าจะเป็นเรือมังกรหนึ่งในสมบัติสองชิ้นนั่น

หากเซียนกระบี่เว่ยไม่รังเกียจว่าจะถ่วงเวลาการเดินทาง พวกเขาสามคนสามารถนั่งเรือข้ามฟากลำนี้ไปที่ภูเขาหนิวเจี่ยวได้ เหวยเหวินหลงเองก็หวังว่าจะได้เห็นการสัญจรของผู้คนบนเรือข้ามฟาก รวมไปถึงภาพการปลดวางและบรรทุกข้าวของของเรือข้ามฟากให้มากขึ้นเหมือนกัน