เว่ยจิ้นไม่มีความเห็นต่าง ตอนนั้นหมี่อวี้ก็ยิ่งถูมือด้วยความลิงโลด ถึงบ้านแล้ว ถึงบ้านแล้ว ในที่สุดก็หาที่พึ่งให้ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการกินการอยู่ได้แล้ว
ท่าเรือทางทิศใต้สุดที่เรือฟานโม่ลำนั้นจอดเทียบท่าตั้งอยู่ที่ท่าเรือหวงหนีป่าน (เนินดินโคลน) ซึ่งอยู่ทางภาคกลางค่อนไปทางเหนือของแจกันสมบัติทวีป ชื่อของท่าเรือแห่งนี้ไม่มีกลิ่นอายเซียนให้พูดถึงแม้แต่น้อย และความเป็นมาของชื่อนี้ก็ไม่มีร่องรอยเบาะแสให้ตามหา ท่าเรือแห่งหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ใกล้กับท่าเรือหวงหนีป่านมากที่สุดก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ชื่อว่าท่าเรือชุนจวง (สตรีที่แต่งกายบ้านๆ แต่งตัวแบบบ้านนอกคอกนา) ท่าเรือแห่งนี้มีภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีผู้ฝึกตนหญิงอยู่เยอะมาก ชื่อว่าภูเขาอวี๋เกอ (บทเพลงชาวประมง) ฝึกเวทคาถาน้ำ ผู้ฝึกตนหญิงส่วนใหญ่ล้วนรูปโฉมงดงาม และภูเขาอวี๋เกอก็ได้เปลี่ยนชื่อท่าเรือชุนจวงไปเป็นท่าเรือลวี่ซัว (ชุดกันฝนที่ถักมาจากหญ้าเขียว บรรยายถึงการแต่งกายของชาวประมง) มานานแล้ว เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาทุกคนไม่มีใครรับน้ำใจ ยามที่พูดคุยกันก็ยังคงเรียกติดปากว่าท่าเรือชุนจวง
ดังนั้นยามที่ผู้ฝึกตนหญิงจากภูเขาอวี๋เกอที่เป็น ‘หญิงชาวบ้านแต่งกายบ้านๆ’ ลงจากเขาไปฝึกประสบการณ์ ต่างก็รู้สึกเศร้าสร้อยเจ็บแค้นอยู่ในใจไม่ต่างจากการลงเขาของลูกหลานตระกูลเซียนพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน ต่างฝ่ายต่างมีโชคชะตาที่คล้ายคลึงกัน
ขยับเข้าใกล้ท่าเรือหวงหนีป่าน เว่ยจิ้นก็ได้เจอกับเซียนซือของศาลลมหิมะอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย เพียงแต่เว่ยจิ้นไม่สนใจ ทว่าเซียนซือผู้เฒ่าท่านหนึ่งกลับตะเบ็งเสียงดังสนั่นฟ้า เว่ยจิ้นจึงได้แต่หยุดกระบี่ ทว่าเซียนกระบี่เว่ยเอ่ยแค่สองสามคำก็ไล่พวกเขาไปได้แล้ว
เซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่อยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยมีความคิดจะก่อสำนักตั้งพรรคใดๆ ยังจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์กับคนบนโลกไปไย
แล้วนับประสาอะไรกับที่เซียนซือบนภูเขาที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะได้กินน้ำแกงประตูปิดเหล่านั้น หลังแยกย้ายจากเว่ยจิ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือเด็กรุ่นหลังในสำนักต่างก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเว่ยจิ้นแล้งน้ำใจเข้ากับคนอื่นได้ยาก กลับกันยังรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของเซียนกระบี่เว่ยจึงจะสอดคล้องกับมาดของเซียนกระบี่ที่เป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาสูงสุด สามารถได้พูดคุยกับเซียนกระบี่เว่ยสองสามคำก็มากพอจะให้เอาไปโอ้อวดกับคนนอกได้หลายประโยคแล้ว
แน่นอนว่าต้องถูกหมี่อวี้สัพยอกว่าเซียนกระบี่เว่ยรู้จักผู้คนกว้างขวาง หน้าใหญ่ มากบารมี แล้วก็ถือโอกาสลากเอาเซียนกระบี่เส้าแห่งเรือนชุนฟานออกมาตากแดดอีกรอบ
เมื่อรายงานข่าวแห่งขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายมีบันทึกถึงเรื่องการหวนกลับคืนสู่บ้านเกิดของเว่ยจิ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เว่ยจิ้นก็มาอยู่ที่ท่าเรือหวงหนีป่าน แยกย้ายกับพวกหมี่อวี้ เว่ยจิ้นทั้งไม่นั่งเรือฟานโม่ลำนั้น แล้วก็ไม่มีทางขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาตรงดิ่งไปที่อุตรกุรุทวีป แต่เลือกจะขี่กระบี่ข้ามทวีปไป
จะมีใครมาขัดขวางการขี่กระบี่ของเขาเพื่อมาพูดคุยทักทายปราศรัยกับเขาได้อีก
ขึ้นเรือฟานโม่ลำนั้นมา พวกน้องสาวเทพธิดาที่คอยต้อนรับคนอยู่บนเรือล้วนอายุยังน้อย ขอบเขตอาจจะไม่สูงมาก แต่ใบหน้ายามแย้มยิ้มช่างงดงามนัก
เวลานี้หมี่อวี้รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านแล้วจริงๆ
ใต้เท้าอิ่นกวานจริงใจไม่เคยรังแกข้าจริงๆ
เหวยเหวินหลงยังคงทำตามกฎเดิม ไปขอซื้อรายงานขุนเขาสายน้ำจากเรือข้ามฟากมาเสียก่อน ซื้อมาหมดทั้งฉบับใหม่และฉบับเก่า
มีครั้งหนึ่งมีนกฝูงหนึ่งบินผ่านนอกเรือข้ามฟาก ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาเมฆาเรืองที่สวมชุดสีสันสดใสขี่สัตว์เซียนชนิดต่างๆ มาร่วมเดินทางไปพร้อมกับเรือข้ามฟากร้อยกว่าลี้อีกด้วย
ภูเขาเมฆาเรืองนั้นไม่ใช่สำนักแปลกหน้าสำหรับเหวยเหวินหลง หินรากเมฆที่เคลื่อนย้ายจากที่แห่งนี้ไปยังนครมังกรเฒ่า และส่งต่อไปถึงภูเขาห้อยหัวอีกที บนบัญชีของเรือนชุนฟานมีบันทึกไว้เยอะมาก
เหวยเหวินหลงจึงเดินออกมาจากห้องโดยสารที่ธรรมดาที่สุด ลำบากเซียนกระบี่หมี่แล้วที่ต้องมาพักในที่พักแบบเดียวกับเขา แต่ก็ไม่ถือว่าเรียบง่ายเกินไป แม้จะไม่หรูหรา แต่ก็สะอาดสะอ้านมีระเบียบ ด้านในห้องยังตกแต่งพวกอักษรภาพที่มีประวัติความเป็นมาเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเรือข้ามฟากฟานโม่ตั้งใจอย่างมาก ทุกหนทุกแห่งล้วนผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ประหนึ่งสตรีถือพัดปิดบังครึ่งใบหน้ายืนสะโอดสะองอยู่ใต้ต้นไม้ แม้จะไม่ใช่คุณหนูตระกูลใหญ่อะไร แต่บุตรสาวผู้ล้ำค่าของตระกูลเล็กก็มีท่วงทำนองเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างออกไป เหวยเหวินหลงมาตรงหัวเรือซึ่งเป็นจุดรวมตัวของผู้โดยสาร ฟังพวกผู้โดยสารบรรยายถึงการสืบทอดและขอบเขตของเหล่าเทพธิดาจากภูเขาเมฆาเรืองเหล่านั้น
ห่างออกไปไกล เหวยเหวินหลงเห็นหมี่อวี้กำลังยืนพิงราวรั้วพูดคุยกับผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่ใช่คนของเรือข้ามฟาก คนทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มท่าทางชื่นมื่น หากไม่รู้คงเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาสองคนคือคู่รักเทพเซียนที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ร่วมกัน ส่วนผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นก็เป็นคนที่เสน่ห์งดงามเย้ายวนล้วนปรากฏทั้งบนใบหน้าและทั้งบนเรือนกาย ยามที่พูดคุยกับหมี่อวี้อย่างออกรสยังยื่นมือมาแตะหมี่อวี้เบาๆ ทีหนึ่ง มีเพียงดวงตาคู่นั้นของนางที่ไม่ค่อยกล้ามองสบตาคนตรงๆ สักเท่าไร บางครั้งที่มีคนเดินผ่าน นางก็จะชำเลืองตามอง อีกทั้งยังมองแค่ชุดคลุมอาคม เข็มขัดหยก เครื่องประดับไข่มุกทั้งหลาย สายตาจับจ้องแต่ละจุดอย่างแม่นยำและโชกโชนอย่างยิ่ง การที่ตอนนี้ราวกับว่าในดวงตานางมีเพียงหมี่อวี้นั้น คาดว่าคงเป็นเพราะนางกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ามาแล้วรอบหนึ่ง จึงคิดว่าหมี่อวี้คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่หลอกได้ง่าย มีค่าพอให้ตีสนิทด้วย
หากอิ่นกวานหนุ่มอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงเอ่ยประโยคหนึ่งว่าสุนัขไม่เลิกสันดานกินอาจม ประโยคเดียวด่ากระทบถึงสองคน
แต่เพียงไม่นานเหวยเหวินหลงก็รู้สึกว่าอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอิ่นกวานหนุ่มใจกว้างต่อเรื่องราวและคนบนโลกอยู่เสมอ
คนที่เหวยเหวินหลงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรคือเซียนกระบี่หมี่มากกว่า ยามที่หมี่อวี้ปฏิบัติต่อสตรี อันที่จริงสายตาของเขาสูงมาก แต่เหตุใดถึงสามารถพูดคุยกับสตรีได้ทุกรูปแบบ ประเด็นสำคัญคือยังจริงใจได้ถึงเพียงนั้น ราวกับว่าถ้อยคำที่ชายหญิงทุกคนบนโลกใช้หยอกเย้ากันล้วนเป็นการฝึกตนบนมหามรรคาอย่างไรอย่างนั้น
หมี่อวี้เห็นเหวยเหวินหลงแล้ว จึงยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้มา ยิ้มพูดกับสตรีคนนั้นว่า “พี่หญิงเจียวหลัน ก่อนหน้านี้ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง คุณชายใหญ่เหวยผู้เปี่ยมเสน่ห์สง่างาม การสืบทอดจากอาจารย์โดดเด่น ตระกูลร่ำรวยมีเกียรติ ยืนอยู่นั่นไงล่ะ เห็นหรือยัง ครั้งนี้ข้าออกจากบ้านเดินทางไกล ค่าใช้จ่ายทุกอย่างล้วนอาศัยเขา อย่าเห็นว่าคุณชายเหวยอายุยังน้อย เขาเป็นถึงเทพเซียนขอบเขตถ้ำสถิตเชียวนะ ข้ากะว่าวันหน้าจะช่วยคุณชายเหวยทำงานจิปาถะก่อน อนาคตเผื่อจะได้สถานะทำเนียบวงศ์ตระกูลมาครอง”
สตรีมองไปตามนิ้วมือของหมี่อวี้ เห็นเหวยเหวินหลงบุรุษที่มีสีหน้าทึ่มทื่อแล้วนางก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยคล้อยตามไปสองสามประโยค จากนั้นยามที่พูดคุยกับหมี่อวี้ก็ลดความกระตือรือร้นลงไปหลายส่วน สุดท้ายก็หาข้ออ้างขอตัวจากไปโดยเร็ว
บุรุษที่ต่อให้รูปโฉมจะดีแค่ไหน แต่หากเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ครึ่งๆ กลางๆ ที่ออกจากตระกูลเล็กล่างภูเขามาเยี่ยมเยือนเซียนก็ล้วนไร้ค่า
เหวยเหวินหลงเห็นหมี่อวี้กวักมือเรียกจึงเดินออกจากกลุ่มคนมายืนอยู่ข้างกายหมี่อวี้
หมี่อวี้ฟุบตัวบนราวรั้ว โบกมือแรงๆ ให้ผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาเมฆาเรืองคนหนึ่งที่พาหนะเป็นเผ่าพันธุ์ป๋ายหลวน ฝ่ายหลังปิดปากหัวเราะคิก หันไปพูดซุบซิบกับเพื่อนร่วมสำนัก ต่อมาผู้ฝึกตนหญิงหลายคนก็พากันหันมามองทางเรือฟานโม่
เหวยเหวินหลงใช้เสียงในใจเอ่ย “เซียนกระบี่หมี่ จำไว้ว่าต้องใช้นามแฝงนะ”
เขาเหวยเหวินหลงไร้สัญชาติไร้นาม นอกจากอยู่ในเรือนชุนฟานแล้ว ชื่อเสียงของเขาในภูเขาห้อยหัวก็ไม่เลื่องลือ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ทว่าหมี่อวี้ที่เป็นเซียนกระบี่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งกว่าความสามารถ ยังต้องระวังสักหน่อย
หมี่อวี้ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หาวเหลียง’ ลงมาดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวา เอ่ยว่า “คิดว่าข้าเป็นคนโง่จริงๆ หรือไร”
เหวยเหวินหลงเอ่ยขออภัย “เป็นข้าปากมากไปเอง”
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “จะขอโทษทำไม หากเห็นข้าเป็นคนโง่จริงๆ ข้าก็ไม่โกรธเสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าเองก็หวังดี”
หมี่อวี้ตบไหล่เหวยเหวินหลง “เหวินหลงอ่า วันหน้าอยู่กับข้าก็ไม่ต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้หรอก ไม่มีความจำเป็น แบบนั้นจะทำให้ห่างเหินกันนะ”
เหวยเหวินหลงยิ่งสำรวมมากกว่าเดิม
หมี่อวี้กลับไปนอนฟุบตัวบนราวรั้วอีกครั้ง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เหวยเหวินหลง หลายปีที่อยู่ในเรือนชุนฟาน เจ้าอาศัยความสามารถที่แท้จริงชนะใจใต้เท้าอิ่นกวาน และยังได้รับการยอมรับจากเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วน ดังนั้นเจ้าอย่าได้ดูแคลนตัวเองเช่นนี้ ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากเจ้าเป็นเช่นนี้ จะให้ข้าหมี่อวี้ทำตัวอย่างไร?”
เหวยเหวินหลงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
หมี่อวี้เองก็ไม่คิดจะทำให้เขาลำบากใจ “ช่างเถิด ควรทำอย่างไรก็ทำไป เจ้าสบายใจแบบไหนก็ทำแบบนั้น”
เหวยเหวินหลงถามอย่างใคร่รู้ “เซียนกระบี่หมี่ เหตุใดตลอดทางที่เดินทางขึ้นเหนือมานี้ถึงได้ดูเหมือนว่าใต้เท้าอิ่นกวานและภูเขาลั่วพั่วของเขาต่างก็ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเลยล่ะ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้เท้าอิ่นกวานที่สิบคนรุ่นเยาว์ซึ่งทั้งทางฝั่งอุตรกุรุทวีปและฝั่งแจกันสมบัติทวีปเลือกออกมา ต่างก็ไม่มีชื่อของใต้เท้าอิ่นกวานติดอันดับเลย ไม่เพียงเท่านี้ ท่าเรือตระกูลเซียนทุกแห่ง ผู้ฝึกตนแต่ละฝ่าย ต่อให้พูดถึงบ้านเกิดของใต้เท้าอิ่นกวาน อย่างมากสุดก็พูดถึงแค่งานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ยซานจวินและภูเขาพีอวิ๋นทางทิศเหนือเท่านั้น เหตุใดถึงดูเหมือนว่าแจกันสมบัติทวีปไม่เคยมีคนอย่างอิ่นกวานมาก่อนเลย?”
เหวยเหวินหลงยิ่งพูดก็ยิ่งสงสัย “ต่อให้ทุกวันนี้ใต้เท้าอิ่นกวานจะเพิ่งอายุแค่สามสิบปี แต่คราวก่อนที่ไปเยือนบ้านพวกเราก็เป็นคนอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ด้วยความสามารถของอิ่นกวาน มีหรือที่แจกันสมบัติทวีปจะไม่รู้เลยแม้แต่นิด? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่อิ่นกวานเพิ่งไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็สามารถผ่านด่านได้ติดต่อกันสามด่าน เอาชนะลูกรักแห่งสวรรค์อย่างพวกฉีโซ่วและผังหยวนจี้ได้แล้ว ความสามารถในระดับนี้ อยู่ในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนี้ ก็ไม่ควรจะมีชื่อเสียงทัดเทียมกับเซียนกระบี่เว่ยในปีนั้นหรอกหรือ?”
หมี่อวี้เอ่ย “เขาไม่อยากให้ใครรู้ก็จะไม่มีใครรู้ เขาอยากให้คนรู้ ไม่อยากรู้ก็ไม่ได้”
เหวยเหวินหลงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่พูดถึงหลินจวินปี้แห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ยามที่เขากลับคืนบ้านเกิดได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง อาศัยเรือข้ามทวีป เรือนชุนฟานจึงพอจะได้ยินมาบ้าง มีแต่คำชื่นชมในทางที่ดี นับตั้งแต่สถานศึกษาสำนักศึกษาของศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ ไปจนถึงตระกูลเซียนอักษรจงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง และมาถึงทั่วทั้งราชสำนักของราชวงศ์เส้าหยวน เรียกได้ว่าหลินจวินปี้ในเวลานั้นฟ้าและดินล้วนร่วมแรงกันช่วยเหลือ
แต่หมี่อวี้ก็เอ่ยอีกว่า “เหตุผลที่แท้จริงเป็นเพราะเขารู้สึกว่าไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิดแล้ว กลับกลายเป็นว่าจึงจะสามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดอีก”
เหวยเหวินหลงเอ่ยเสียงเบา “มังกรซ่อนตัวใต้หุบเหว”
สักวันหนึ่งสิงโตจะต้องทุ่มเทแรงอย่างเต็มที่เพียงแค่เพื่อจับกระต่ายตัวหนึ่ง
หมี่อวี้กล่าว “เหวินหลงอ่า อาศัยพรสวรรค์ส่วนนี้ เจ้าไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ข้ารับรองว่าเจ้าต้องมีชีวิตที่ดีได้แน่นอน!”
เหวยเหวินหลงถาม “เหตุใดเซียนกระบี่หมี่ถึงพูดเช่นนี้?”
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้ชอบพูดประโยคว่าปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจบ่อยๆ หรอกหรือ”
เหวยเหวินหลงพยักหน้า “มีเหตุผล”
หมี่อวี้หันหน้ามามองเหวยเหวินหลง “เหวินหลงอ่า เจ้าไม่มีโชคด้านสตรีก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว เจ้าไม่มีความสามารถสักเสี้ยวของใต้เท้าอิ่นกวานเลยด้วยซ้ำ”
เหวยเหวินหลงกล่าวอย่างละอายใจ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานเป็นคนเที่ยงธรรม แล้วยังเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ยามที่อยู่ร่วมกับผู้อื่นก็ล้วนเอาใจเขามาใส่ใจเราในทุกเรื่อง แล้วยังสามารถควบคุมตัวเองยึดหลักมารยาทพิธีการ สตรีหลายคนชื่นชอบเขาก็เป็นเรื่องปกติ”
หมี่อวี้ด่าขำๆ “มารดาเถอะ เจ้าเองก็มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเหมือนกันนี่นะ คำว่าชีวิตคนอยู่ที่ใดไยไม่ใช่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วนี่กล่าวได้ดีจริงๆ”
เหวยเหวินหลงรู้สึกมึนงงสับสนกับคำพูดของเทพเจ้าแห่งโชคลาภในอนาคตของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้อยู่มาก
หลังจากที่เรือมังกรจอดเทียบท่าที่ภูเขาหนิวเจี่ยว หมี่อวี้ก็ไปหาหลิวจ้งรุ่น ใช้ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปที่เอ่ยได้อย่างคล่องปากยิ้มกล่าวว่า “ผู้ดูแลหลิว ชื่อจริงของข้าคนนี้ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ฉายาในยุทธภพคือ ‘เหมยหมี่เลอ’ (ไม่มีข้าวแล้ว/ไม่มีคนแซ่หมี่แล้ว) ผู้ดูแลหลิว อีกไม่นานข้าก็จะได้กลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาลั่วพั่วแล้ว วันหน้าพวกเราไปมาหาสู่กันบ่อยๆ นะ”
หลิวจ้งรุ่นไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงเอ่ยถ้อยคำที่ไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ ดังนั้นจึงตอบรับตามมารยาทสองสามคำอย่างขอไปที คนที่ขึ้นเรือมาล้วนถือเป็นแขก ทำการค้าย่อมไม่ควรยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้
หากอีกฝ่ายจะได้เป็นลูกศิษย์ทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วที่แขวนภาพเหมือนไว้จริงก็ยังพูดง่าย การคบค้าสมาคมกันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่หลิวจ้งรุ่นมักจะรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้านี้หน้าตาดีเกินไปสักหน่อย วันหน้าจะต้องบอกเตือนลูกศิษย์หญิงอายุน้อยที่ประสบการณ์ไม่โชกโชนบนภูเขาหลังอ๋าวบ้านตนว่าให้ระวังให้ดี ถึงเวลานั้นอย่าให้เกิดปัญหาวุ่นวายอะไรขึ้นเพียงเพราะบุรุษที่พูดจาไม่น่าเชื่อถือตรงหน้าผู้นี้คนเดียวเด็ดขาด หากทำให้ลูกศิษย์ทั้งหลายของภูเขาหลังอ๋าวที่เดิมทีควรตั้งใจฝึกตนดีๆ กลายมาเป็นเหมือนสตรีริษยาที่เฝ้าพะวงหาบุรุษบ้านคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็ทะเลาะตบตีกันราวกับหญิงปากตลาดล่ะก็ นางหลิวจงรุ่นคงต้องโมโหปางตายแน่
เหวยเหวินหลงยืนอยู่ด้านข้าง ในใจคิดร้อยพันตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ตลอดทางมานี้เซียนกระบี่หมี่เหมือนจะวางตัวห่างเหินกับผู้ฝึกตนหญิงบนเรือข้ามฟากฟานโม่มาโดยตลอด ไม่เคยไปพูดคุยเกี้ยวพาใดๆ ต่อให้ผู้ฝึกตนหญิงของเรือข้ามฟากจะเป็นฝ่ายมาชวนเขาคุย หมี่อวี้ก็ทำเพียงแค่เคารพอยู่ไกลๆ เท่านั้น
หมี่อวี้กับเหวยเหวินหลงเข้าเมืองตาหลิ่วจึงหลิ่วตาตาม ต่างพากันเดินเท้ามุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วพั่ว
เดินอ้อมผ่านประตูภูเขาหลัก ผ่านตีนเขาที่มีหน้าผาแล้วหมี่อวี้ก็หยุดเดิน ยิ้มเอ่ยว่าน่าสนใจ น่าสนใจ
เหวยเหวินหลงเพียงแค่มองออกว่าบนพื้นดินกว้างแถบนั้นมีร่องรอยของหลุมที่ถูกกลบจนราบเรียบ เขาแหงนหน้ามองไป ถามว่า “เซียนกระบี่หมี่ เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกี่คนที่กระโดดหน้าผาเล่น? คงจะเป็นขอบเขตร่างทองแล้วกระมัง?”
หมี่อวี้ส่ายหน้า “เป็นคนเดียวกัน อีกทั้งยังไม่ถึงขอบเขตร่างทอง”
เหวยเหวินหลงเองก็ส่ายหน้า “ตื้นลึกไม่เท่ากัน ความต่างมีไม่น้อย ไม่น่าจะเป็นคนเดียวกัน หากเป็นคนเดียวกัน นานวันเข้าร่องรอยของหลุมใหญ่ก็ไม่น่าจะชัดเจนถึงเพียงนี้ คงไม่สามารถฝ่าทะลุขอบเขตติดกันในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้กระมัง ขนาดใต้เท้าอิ่นกวานยังทำไม่ได้เลย”
หมี่อวี้ถาม “พวกเรามาเดิมพันกันไหมล่ะ?”
เหวยเหวินหลงส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ล่ะ การเดิมพันเป็นเรื่องต้องห้ามใหญ่ที่สุดของคนที่คบค้ากับสมุดบัญชี ข้าไม่สามารถทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานและอาจารย์ผิดหวังได้ วันหน้าอยู่บนภูเขาลูกนี้ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
หมี่อวี้เองก็ไม่พูดอะไรมากอีก
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเหวยเหวินหลงจึงคิดไปคนละทาง ก็ง่ายมาก ขอบเขตไม่สูงมากพอ
ขอบเขตหยกดิบของเขาหมี่อวี้ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นขอบเขตหยกดิบ ไม่ใช่ของปลอมเสียหน่อย
ไปถึงประตูภูเขาหลักของภูเขาลั่วพั่ว หมี่อวี้กับเหวยเหวินหลงก็หันมามองหน้ากันเอง
คนที่เฝ้าประตูคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคนทั้งสองคือสหายของเจ้าขุนเขาก็จดจำแค่ชื่อ ‘เหวยเหวินหลง’ กับ ‘เหมยหมี่เลอ’ สองชื่อนี้ไว้แล้วปล่อยตัวมา
จากนั้นหมี่อวี้กับเหวยเหวินหลงเพิ่งเดินขึ้นบันไดภูเขาไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็สังเกตเห็นเจ้าตัวน้อยสูงเท่านิ้วมือตนหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงขึ้นบันไดไปพลางทอดถอนใจไปด้วย แต่กลับไม่ถ่วงมือเท้าที่ตะบึงไปอย่างรวดเร็วเลย
เหวยเหวินหลงอธิบายให้เซียนกระบี่หมี่ฟังว่า นี่คือคนจิ๋วควันธูปของใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่ตระกูลชนชั้นสูงหรือศาลภูเขาศาลน้ำทุกแห่งจะมีเหมือนกันหมด ค่อนข้างหาได้ยาก
เจ้าตัวน้อยปีนบันไดแต่ละขั้นด้วยความยากลำบาก แทบไม่ต่างจากการขึ้นเขาข้ามดอย
เพียงแต่ช่วยไม่ได้ แม้ว่าหัวหน้าสาขาจะไม่อยู่บนภูเขา แต่กฎยังคงอยู่ ดังนั้นทุกครั้งที่มันมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วก็ได้แต่เดินเข้าประตูหน้าอย่างเคารพกฎแต่โดยดี
ตอนที่มันเดินผ่านแขกทั้งสองคนก็ไม่ได้เงยหน้ามอง รอจนเดินสูงเหนือคนทั้งสองมาสิบกว่าขั้นบันได มันถึงหมุนตัวกลับหยุดยืนนิ่ง เอามือสองข้างเท้าเอว “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”