คงเพราะรู้สึกว่าตัวเองไร้มารยาทจึงรีบวางมือสองข้างที่เท้าเอวลง ประสานมือคารวะ แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง บอกว่าตัวเองคือนายท่านใหญ่ควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน นั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับที่สอง ควบตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลง แต่ไม่รู้ว่านั่งอยู่อันดับที่เท่าใด สรุปก็คือมีเก้าอี้ให้นั่งแล้วกัน วันนี้มาที่นี่เพื่อขานนาม จากนั้นคนจิ๋วควันธูปก็เอ่ยถามคำถามก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง
เหวยเหวินหลงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร มองดูแล้วเป็นเจ้าตัวน้อยที่ฉลาดเฉลียวไม่เบา หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณลับของยุทธภพที่ชาวยุทธจะกล่าวกันยามมาเยือนภูเขาอย่างที่ใต้เท้าอิ่นกวานเคยเล่าให้ฟัง?
หมี่อวี้เดินขึ้นบันไดไปสองสามก้าว แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เคยได้ยินสิ ทำไมจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเล่า ข้าคือลูกน้องของเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่ว เคยได้ยินเขาพูดถึงผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลงมาก่อน บอกว่าขยันทำงาน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างมาก”
คนจิ๋วควันธูปที่บ้านอยู่ที่ศาลเทพอภิบาลเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียนมีสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอิจฉา “นี่เจ้ารู้จักใต้เท้าเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วด้วยหรือ?! ขนาดข้ายังไม่เคยได้พบหน้าท่านผู้อาวุโสมาก่อนเลยนะ ระดับขุนนางของข้าห่างชั้นจากใต้เท้าเจ้าขุนเขาอาจารย์ของใต้เท้าเผยเฉียนท่านหัวหน้าสาขาของโจวหมี่ลี่อดีตผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลงผู้ฝึกพิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วคนปัจจุบันไปตั้งหลายขั้นเลยนะ ข้ายังเคยขอท่านหัวหน้าเผยว่าวันหน้าหากโชคดีบังเอิญพบเจอกับใต้เท้าเจ้าขุนเขาบนถนนหนทางโดยบังเอิญ ข้าสามารถเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเขาก่อนได้หรือไม่ หัวหน้าเผยบอกว่าข้าจำเป็นต้องมาขานชื่อที่ประตูภูเขาให้ครบหนึ่งร้อยครั้งเสียก่อนถึงพอจะทำได้”
เจ้าตัวน้อยรายงานยศขุนนางยาวเหยียดรัวเร็วราวเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่มีเหนื่อยหอบแม้แต่น้อย
หมี่อวี้ยิ้มกว้าง เห็นไหม นี่ก็คือขนบธรรมเนียมที่มีเฉพาะของภูเขาลั่วพั่วบ้านตนแล้ว จะไปอุตรกุรุทวีปทำบ้าอะไร
จากนั้นก็มีแม่นางคนหนึ่งเดินนิ่งฝึกหมัดจากบนภูเขามายังล่างภูเขา เห็นคนทั้งสองก็ไม่ได้ทักทาย เอาแต่ตั้งใจฝึกวิชาหมัดมุ่งหน้าไปยังประตูภูเขาเท่านั้น
เหวยเหวินหลงรู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ซุกซ่อนความลี้ลับไว้ทุกหนทุกแห่ง ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่ฝึกตนของใต้เท้าอิ่นกวาน
หลุมใหญ่ที่ถูกกระแทกจากคนที่กระโดดลงจากหน้าผา เด็กหนุ่มอ่านตำราที่เป็นคนเฝ้าประตูใหญ่ คนจิ๋วควันธูปที่ปีนขึ้นขั้นบันได สตรีที่ฝึกวิชาหมัดอย่างมีสมาธิไม่วอกแวก…
หมี่อวี้ยื่นมือออกมา “มายืนบนไหล่ของข้า ข้าจะพาเจ้าไปส่งเอง”
คนจิ๋วควันธูปส่ายหน้าเอ่ย “อย่าเลย แบบนั้นจะดูไม่จริงใจมากพอ ง่ายที่หัวหน้าเผยจะจดลงบัญชี ใต้เท้าหมี่ลี่ก็เป็นคนเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น”
แล้วเจ้าตัวน้อยก็ปีนขึ้นสู่ที่สูงต่ออีกครั้ง
หมี่อวี้กับเหวยเหวินหลงเดินตามมาด้านหลังช้าๆ เพียงไม่นานก็มีแม่นางน้อยสองคนวิ่งมา คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีชมพู คนหนึ่งสวมชุดสีดำ ฝ่ายหลังแบกคานหาบสีทองอันเล็กไว้บนบ่า
เหวยเหวินหลงรู้สึกนับถือจริงๆ
เฉินหน่วนซู่พาโจวหมี่ลี่วิ่งลงบันไดมาด้วยกัน มายืนอยู่บนขั้นบันไดระดับเดียวกับหมี่อวี้และเหวยเหวินหลงแล้วเฉินหน่วนซู่ก็โค้งคำนับ “ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่เว่ยแห่งศาลลมหิมะเดินทางผ่านมาที่นี่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเว่ยซานจวินแล้ว บนภูเขาจัดเตรียมห้องไว้ให้พวกท่านเรียบร้อยแล้ว”
เว่ยป้อปรากฎตัวอยู่ข้างกาย ใช้เสียงในใจยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หน่วนซู่ หมี่ลี่ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจแล้วล่ะ เดี๋ยวข้ารับหน้าที่รับรองแขกเอง”
แม่นางน้อยสองคนก็ไม่เกรงใจเว่ยซานจวิน บอกลาแล้วขอตัวจากไป
เว่ยป้อเอ่ย “เซียนกระบี่เว่ยบอกแค่ว่าจะมีแขกสองท่านมาเยือน ส่วนตัวตนที่แน่ชัดกลับไม่ได้บอกอย่างละเอียด ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้หรือไม่?”
หมี่อวี้ยิ้มเอ่ย “หมี่อวี้แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว เหวยเหวินหลง ตามความต้องการของใต้เท้าอิ่นกวาน พวกเราสามารถกลายเป็นคนในทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วได้ทุกเมื่อ”
เกี่ยวกับซานจวินเว่ยป้อ อิ่นกวานหนุ่มพูดถึงไม่มาก แต่ถ้อยคำที่เอ่ยกลับมีน้ำหนักมาก ‘สามารถวางใจและมอบใจให้ได้เต็มที่’
ดังนั้นเหวยเหวินหลงจึงรีบหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ถือว่าเป็นจดหมายของทางบ้านมอบให้กับซานจวินแห่งขุนเขาเหนือของแจกันสมบัติทวีปท่านนี้
เว่ยป้อเปิดจดหมายลับออกแล้วก็มีไอเมฆหมอกล้อมวนจดหมาย พออ่านจบก็เก็บใส่ไว้ในซองจดหมาย สีหน้าปั้นยาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หมี่ เฉินผิงอันบอกในจดหมายว่ามีความเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะทำหน้าหนาอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว…”
หมี่อวี้รู้ว่าท่าไม่ดี กำลังจะพูดจาส่งเดชสักประโยคหนึ่ง หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่ลงไปนอนชักดิ้นชักงอแล้ว
เว่ยป้อกลับเอ่ยต่อว่า “ในจดหมายบอกว่าหากอยากอยู่ต่อก็อยู่เถอะ เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งไม่เปิดเผยกับภายนอกก่อน ต้องลำบากเซียนกระบี่ใหญ่หมี่แล้ว”
หมี่อวี้ผ่อนลมหายใจโล่งอก ยิ้มเอ่ยว่า “หมี่อวี้มีบุญสัมพันธ์กับซานจวินใหญ่เว่ยจริงๆ แค่ขึ้นเขามาก็ได้รับข่าวดีใหญ่เทียมฟ้าแล้ว”
เว่ยป้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในใจกลับตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด คำบรรยายเกี่ยวกับหมี่อวี้ที่เฉินผิงอันเขียนไว้ในจดหมายนั้นเรียบง่ายมาก ผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ คอขวดขอบเขตหยกดิบ เชื่อใจได้
เซียนกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง
เว่ยป้อหันหน้าไปยิ้มพูดกับเหวยเหวินหลง “เหวยเหวินหลง นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือคนที่ดูแลเรื่องเงินทองให้ภูเขาลั่วพั่วแล้ว จากนี้หน่วนซู่จะเอาสมุดบัญชีทั้งหมดมามอบให้เจ้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง ต่อให้จะมอบสมุดบัญชีให้แล้ว แต่ข้าก็หวังว่าวันหน้าเจ้าจะไม่ขัดขวางหากหน่วนซู่อยากจะเปิดอ่านบัญชี หาใช่ไม่เชื่อใจเจ้าไม่ แต่เป็นเพราะบนภูเขาลั่วพั่วมีหน่วนซู่ที่คอยดูแลเรื่องเงินทองเล็กใหญ่มาโดยตลอด นางไม่เคยทำผิดพลาดสักครั้ง เพียงแต่ว่าวันนี้กิจการขยับขยายใหญ่โตแล้ว ภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะมีคนที่ทำบัญชีคอยดูแลเรื่องเงินทองโดยเฉพาะจริงๆ เพราะถึงอย่างไรหน่วนซู่ก็มีกิจธุระมากมายให้ทำ ข้ากับจูเหลี่ยนล้วนไม่ต้องการให้นางเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากเกินไป แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เฉินผิงอันไม่ได้บอกไว้ในจดหมาย หากเจ้าเกิดยอกแสลงใจเพราะเหตุนี้ นั่นก็แสดงว่าเฉินผิงอันมองคนผิดไป วันหน้ากลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วเมื่อไหร่ก็ควรต้องให้เขาลงโทษตัวเองแล้ว”
สุดท้ายเว่ยป้อเอ่ยว่า “ล้วนเป็นคนกันเอง ข้าถึงได้ไม่พูดจาเกรงอกเกรงใจกัน”
เหวยเหวินหลงยิ้มกล่าว “เรื่องของการดูแลบัญชี ให้ความสำคัญกับคำว่าแยกแยะชัดเจน ไหนเลยจะมีหลักการให้คนคนเดียวยึดครองสมุดบัญชี เปิดเผยกับใครไม่ได้ เว่ยซานจวินมิต้องคิดมาก”
เว่ยป้อยิ้มอย่างชอบใจ พยักหน้ารับ “ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่เฉินผิงอันฝากความหวังไว้ให้มาก อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เรื่องการหาเงินการดูแลเงิน สายตาและความสามารถของเฉินผิงอันล้วนดีเยี่ยม คนที่ทำให้เขานับถือจากใจจริงได้ย่อมไม่แย่แน่นอน วันหน้าก็รบกวนแล้ว”
เหวยเหวินหลงกุมหมัดพยักหน้า
นับแต่วันนี้ไปหมี่อวี้กับเหวยเหวินหลงก็ถือว่าได้ลงหลักปักฐานอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว
ที่พักของเหวยเหวินหลงจึงกลายมาเป็นห้องบัญชีของภูเขาลั่วพั่ว
หลังจากที่เฉินหน่วนซู่นำสมุดบัญชีทุกเล่มมามอบให้ก็ไม่เคยดูแลเรื่องเงินทองอีก อย่างมากสุดก็แค่ว่าทุกครั้งที่จำเป็นต้องเบิกเงิน นางถึงจะไปขออนุญาตจากเหวยเซียนเซิง (เซียนเซิงเป็นคำเรียกขานแทนตัวบุรุษอย่างให้เกียรติ สามารถแปลว่าอาจารย์ได้ด้วย) ทุกครั้งจะเอากระดาษไปด้วยหนึ่งแผ่น บนกระดาษบันทึกสาเหตุและจุดที่นำไปใช้ของค่าใช้จ่ายแต่ละก้อนอย่างละเอียด ไม่เพียงเท่านี้ น่าจะเพราะกังวลว่ามาเยือนบ่อยครั้งอาจถ่วงเวลาธุระสำคัญของเหวยเซียนเซิง ดังนั้นหากเป็นรายจ่ายยิบย่อยนางกับหมี่ลี่ล้วนจะสำรองเงินออกไปก่อน พอรวบรวมจนได้ครบกระดาษหนึ่งแผ่นถึงค่อยเอามาเทียบบัญชีกับเหวยเซียนเซิง
เหวยเหวินหลงกลับไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่ารำคาญ แต่เขารู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง แม้ว่าจะเพิ่งมาอยู่บนภูเขาได้แค่ไม่กี่วัน แต่กลับรู้ว่าทุกวันเฉินหน่วนซู่ล้วนยุ่งมาก นางมีเรื่องให้ทำตั้งแต่เช้าจรดเย็นจริงๆ เหวยเหวินหลงจึงได้แต่เป็นฝ่ายถามแม่นางน้อยว่าชอบจดบันทึกทำบัญชีหรือไม่ แม่นางน้อยชุดกระโปรงสีชมพูพยักหน้ารับด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
เหวยเหวินหลงจึงแบ่งงานบัญชีของภูเขาลั่วพั่วออกเป็นสองส่วน การเงินก้อนใหญ่ที่มีท่าเรือหนิวเจี่ยว เรือข้ามฟากฟานโม่เป็นหนึ่งในนั้น เป็นหน้าที่ของเขา ส่วนบัญชีประจำวันของภูเขาลั่วพั่วให้เป็นหน้าที่นางต่อไป แต่รายรับรายจ่ายทั้งหมดของกิจการใหญ่ๆ แม่นางน้อยล้วนสามารถมาเรียนรู้ได้ หากไม่เข้าใจก็ให้ถาม
เหวยเหวินหลงมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็กลายเป็นนักบัญชีของภูเขาลั่วพั่วแล้ว
กลับเป็นหมี่อวี้ที่ว่างงานจึงออกไปเดินเตร็ดเตร่ทุกวัน ด้านหลังมีหมี่ลี่น้อยที่แบกคานหาบตามติดมาด้วย
หมี่อวี้นั้นไม่สะดวกจะพูดถึงเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดร้านเหล้าของใต้เท้าอิ่นกวานถึงได้ขายเหล้าชนิดหนึ่งที่ตั้งชื่อว่าเหล้าทะเลสาบคนใบ้
ที่แท้สาเหตุก็เป็นเพราะแม่นางน้อยคนนี้นั่นเอง
หมี่อวี้ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าวันเวลาบนภูเขาน่าเบื่อหน่าย น่าสนุกจะตายไป ข้างกายมีโจวหมี่ลี่ติดตามมาด้วย ไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย
วันนี้หมี่อวี้มานั่งแทะเมล็ดแตงเป็นเพื่อนโจวหมี่ลี่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา ฟังหมี่ลี่น้อยเล่าเรื่องที่นางพบเจอระหว่างออกท่องยุทธภพ เซียนกระบี่ท่านหนึ่งฟังอย่างตั้งใจยิ่ง
คนจิ๋วควันธูปมาขานชื่อบนภูเขาอีกครั้ง ขยันขันแข็งอย่างมาก เวลานี้กำลังวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนโต๊ะหิน คอยช่วยเก็บกวาดเปลือกเมล็ดแตงให้มาอยู่รวมกัน
จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อบอกกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่าได้ลงจากเขาออกเดินทางไกลแล้ว
ในใจหมี่อวี้พลันกระจ่างแจ้ง ส่วนยันต์หุ่นเชิดที่มีลักษณะรูปร่างของจูเหลี่ยนนั้น หมี่อวี้เองก็มองออกได้ในปราดเดียวตั้งแต่แรกแล้ว
วันนี้เรื่องเล่าแห่งยุทธภพของโจวหมี่ลี่เริ่มจากเมืองหงจู๋ของเมื่อวาน เล่าไปถึงแม่น้ำชงตั้น แม่น้ำอวี้เย่และแม่น้ำซิ่วฮวา เล่าอย่างละเอียดว่าแม่น้ำสายไหนมีสถานที่ดีๆ ที่ใดให้น่าไป สุดท้ายบอกกับ ‘ผู้อาวุโสอวี้หมี่’ (ข้าวโพด) ว่าจะต้องไปเที่ยวเล่นที่แม่น้ำชงตั้นกับแม่น้ำซิ่วฮวาให้จงได้ เพียงแต่ว่าค่าธูปน้ำของศาลเทพวารีสองแห่งนั้นแพงไปหน่อย สามารถซื้อจากศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูที่อยู่ใกล้กับพวกเราไปก่อนได้ เพราะราคาจะถูกกว่า ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นธูปน้ำเหมือนกัน ไม่ถือว่าทำผิดข้อห้าม ใต้เท้าเทพวารีทั้งสองท่านต่างก็ค่อนข้างพูดง่าย หมี่อวี้ยิ้มถามว่าทำไมถึงไม่มีแม่น้ำอวี้เย่ล่ะ หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้วบางๆ ของตัวเองทันใด บอกว่าข้าก็เล่าไปแล้วนะ ไม่ได้เล่าหรือ ผู้อาวุโสอวี้หมี่ท่านลืมแล้วกระมัง เป็นไปไม่ได้นา สมองของข้าขึ้นชื่อเรื่องความปราดเปรื่องเฉียบแหลม ไม่มีทางไม่พูดถึงหรอก สุดท้ายแม่นางน้อยเห็นว่าผู้อาวุโสอวี้หมี่เพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยอะไรก็รีบโบกมืออย่างแรง บอกว่าแม่น้ำทั้งสามสายนี้ต่างก็ไม่ต้องรีบร้อนไปเที่ยวเล่น วันหน้ารอให้เผยเฉียนและเฉินหลิงจวินกลับบ้านมาเมื่อไหร่ค่อยไปเที่ยวด้วยกัน อยากเล่นสนุกอย่างไรก็ได้
คนจิ๋วควันธูปอดกลั้นมานาน สุดท้ายก็เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “จะต้องไปแม่น้ำอวี้เย่บ้านั่นทำไม สตรีชั่วร้ายผู้นั้นทำให้ใต้เท้าหมี่ลี่เกือบจะต้อง…”
หมี่ลี่ร้อนใจขึ้นมาครามครัน ยกฝ่ามือตบลงไป แต่เกร็งหลังมือให้โค้งขึ้น กักตัวเจ้าตัวน้อยไว้ด้านใน จากนั้นก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ เผยอฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย มองคนจิ๋วควันธูป นางขมวดคิ้วก้มหน้าลงกระซิบเตือนเบาๆ “ห้ามนินทาคนอื่นลับหลัง”
จากนั้นแม่นางน้อยก็เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปาก พูดเสียงอู้อี้ได้ยินไม่ชัดว่า “ผู้อาวุโสอวี้หมี่ พรุ่งนี้ข้าจะลองเปิดปฏิทินเหลืองดู หากเป็นวันที่เหมาะแก่การออกจากบ้าน ข้าจะพาท่านไปเล่นที่ภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ติดกัน ที่นั่นข้าคุ้นเคยนักล่ะ!”
หมี่อวี้ยิ้มรับ เพียงแต่จดจำแม่น้ำอวี้เย่สายนั้นเอาไว้แล้ว
หันหน้าไปมอง คือแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่ง
ไม่ถือว่าแปลกหน้า แต่ก็ไม่ได้สนิทคุ้นเคยกัน
ว่ากันว่าทุกวันนี้คนผู้นี้ทำตีเนียนมาฝึกตนอยู่ที่แท่นบูชากระบี่อย่างนั้นหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ก่อกำเนิดอะไร หากไม่ใช่สตรีหน้าตางดงาม หมี่อวี้ที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คร้านจะมองให้เต็มตา
เพราะถึงอย่างไรการที่หมี่อวี้ถูกผู้อื่นวิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสียก็ด้วยเรื่องเวทกระบี่สูงต่ำในบรรดาเซียนกระบี่ ด้วยเรื่องที่หมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายต้องสิ้นเปลืองพรสวรรค์เพราะมาเจอกับน้องชายที่ไม่ได้เรื่องอย่างเขา ถึงขั้นไม่ใช่เรื่องของผลงานต่อสู้ด้านการสังหารปีศาจ เพราะในความเป็นจริงแล้วก่อนจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน ไม่ว่าจะออกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองหรือออกจากเมืองไปเข่นฆ่า หมี่อวี้ก็ล้วนใช้วิธีการสังหารปีศาจแบบเดียวกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนและฉีโซ่ว เป็นผู้อาวุโสได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ส่วนชุยเหวยที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับเผ่นมาถึงใต้หล้าไพศาลก่อนใคร มีสิทธิ์อะไรจะให้เขาหมี่อวี้ปรายตามองอีกฝ่าย?
ดังนั้นไม่รอให้ชุยเหวยเปิดปาก หมี่อวี้ก็เอ่ยว่า “ไปตายไกลๆ”
โจวหมี่ลี่ตื่นตระหนกเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสอวี้หมี่ อย่าทำแบบนี้สิ ผู้อาวุโสชุยเป็นคนกันเอง เขาเป็นคนดีมากนะ”
หมี่อวี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มตาหยี จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับชุยเหวยที่ไม่เอ่ยอะไรสักคำว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เจ้าไสหัวไปให้ไกลๆ หน่อย”
โจวหมี่ลี่ยกสองมือกอดอก นางเริ่มโมโหแล้ว อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ห้ามพูดจาเช่นนี้
หมี่อวี้จึงได้แต่ยกสองมือขึ้น ยิ้มกล่าว “ก็ได้ๆๆ พี่ชุย เชิญนั่งๆ มาแทะเมล็ดแตง”
ชุยเหวยนั่งลงเงียบๆ ใช้เสียงในใจถาม “เซียนกระบี่หมี่ ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสของข้าเล่า?”
หมี่อวี้กล่าว “เจ้ามีหน้าถาม ข้าไม่มีหน้าตอบ”
ชุยเหวยพยักหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วจากไปอย่างหม่นหมอง
หมี่อวี้ลุกขึ้น ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หาวเหลียงตรงเอวลงมา ยืนอยู่ริมหน้าผา ดื่มเหล้าช้าๆ
ก่อนที่จะได้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาลั่วพั่วอย่างแท้จริง ตนควรจะฉวยโอกาสฟันขอบเขตหยกดิบที่ไม่ถูกกับภูเขาลั่วพั่วให้ตายไปสักสองสามคนก่อนดีไหม?
ไม่พูดถึงเรื่องพลานุภาพจากการออกกระบี่อย่างเต็มแรง พูดถึงแค่เรื่องอำพรางร่องรอย ใช้กระบี่บินลอบสังหาร อันที่จริงหมี่อวี้ค่อนข้างจะเชี่ยวชาญ แม้จะบอกว่าไม่อาจทัดเทียมกับใต้เท้าอิ่นกวานและโซ่วเฉินได้ แต่เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ทั่วไปแล้ว หมี่อวี้คิดว่าตัวเองไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
หมี่อวี้ก้มหน้ายิ้มมองไป ที่แท้เป็นโจวหมี่ลี่ที่กระตุกชายแขนเสื้อของเขา นางเขย่งเท้าขึ้น ควักเมล็ดแตงกำหนึ่งออกมาชูขึ้นสูง
หมี่อวี้ย่อตัวลง รับเมล็ดแตงมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หมี่ลี่น้อย ที่บ้านเกิดของข้ามีคนมากมายที่ได้ฟังเรื่องเล่าของภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ และในบรรดา ‘คนมากมาย’ นี้ก็มีคนมากมายที่ไม่อยู่แล้ว ค่อนข้างน่าเสียดาย ส่วนผู้อาวุโสชุยคนนั้นแม้แต่ข้าก็ยังเทียบไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างโกรธเขา”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นก็พยักหน้าอย่างแรง แสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้ไม่เข้าใจแล้วแสร้งทำเป็นเข้าใจอย่างแน่นอน
สุดท้ายแม่นางน้อยนั่งอยู่ริมหน้าผาเป็นเพื่อนเซียนกระบี่ ‘อวี้หมี่’ ที่ตนเรียก แม่นางน้อยรู้สึกว่าชื่อของเขาดีมากจริงๆ มีคำว่าหมี่เหมือนชื่อตัวเอง นี่คือบุพเพวาสนาสินะ
ดังนั้นโจวหมี่ลี่จึงมอบเมล็ดแตงให้หมี่อวี้ ศีรษะน้อยๆ และไหล่ของนางโยกซ้ายโยกขวา ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าจะบอกความลับเล็กๆ อย่างหนึ่งให้ท่านรู้ ข้ารอคอยคนดีกลับมาอยู่ตลอดเลยนะ ยกตัวอย่างเช่นข้าจะไปนั่งยองที่หน้าประตูภูเขา บอกว่าไปดูเฉินยวนจีฝึกหมัดอย่างโง่งม ไปยืนบนราวรั้วที่ยอดเขา บอกว่าไปคุยเล่นกับท่านผู้เฒ่าเทพภูเขา แล้วก็มานั่งอยู่ที่นี่ บอกว่ามองดูทะเลเมฆนกน้อยบินผ่านประตูบ้าน ดังนั้นจนถึงตอนนี้เผยเฉียนกับพี่หญิงหน่วนซู่ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลยนะ”
หมี่อวี้อืมรับหนึ่งที “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง หากเจ้าไม่พูด ข้าต้องไม่มีทางรู้แน่นอน”
แม่นางน้อยมีความกลัดกลุ้มเท่าเมล็ดข้าวสาร (หมี่ลี่) “ทำไมเขาถึงยังไม่กลับบ้านอีกนะ? ต่อให้บ้านเกิดของท่านจะดีแค่ไหนก็ไม่ใช่บ้านเกิดของเขาสักหน่อย
หมี่อวี้เอ่ย “นั่นสิ ใครจะไปรู้ล่ะ”