บนเส้นทางขึ้นเขาหลายสิบกิโลเมตร รถสองคันก็ขับตามกันไปติดๆ

รถสองคันนี้ เป็นเพียงรถสองคันเท่านั้น ที่ขึ้นเส้นทางขึ้นเขานี้

พื้นมีหิมะ ก็ขับไม่ค่อยสะดวก เพราะว่ามองออกไป ก็มีแต่สีขาวที่ไฟส่องไป

ฟ่านหลินยวน ก็มึนหัวกับแสงสีขาวของหิมะที่ไฟส่องไป แล้วก็พูดกับรำคาญว่า “ไอ้คนแซ่เย่นั่น แม่งเป็นไอ้เดรัจฉานจริงๆ ไอ้สองพ่อลูกนั่นไปหาเรื่องมัน มันฆ่าไปก็จบแล้ว จะเอาพวกมันมาไว้ที่สับปะรังเคแบบนี้ทำไมกันวะ? ตอนนี้ยังจะให้พวกกูมาลำบากถึงที่นี่อีก ซวยจริงๆ ”

ชายคนที่ขับรถก็พูดขึ้นว่า “ก่อนมาที่นี่ ผมก็ได้หาข่าวไว้บ้างแล้ว ไอ้หนุ่มแซ่เย่นั้น มันเหมือนเป็นปิศาจ มันไม่เพียงจะชอบส่งคนมาขุดหาโสมที่นี่ แถมยังจะชอบส่งคนไปขุดถ่านหินในเหมืองด้วย ผมได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้มันยังส่งเถ้าแก่ในเมืองคนหนึ่ง ไปทำงานเทปูนที่แคมป์ก่อสร้างด้วย”

“มันอะไรกันวะ? ” ฟ่านหลินยวนพูดนิ่งๆ ว่า “พวกเอ็งลืมไปแล้วรึไงว่าคนสำนักขอทาน ตายกันยังไง? 10กว่าคนถูกจับรถไว้ในรถ แล้วโยนทิ้งแม่น้ำ ตอนนี้ยังไม่ได้งมศพขึ้นมาเลย รู้ไหมว่าการรอชะตากรรมของพวกเขาเป็นอย่างไรไหม? ”

คนขับรถก็บอกว่า “ตายหมดแล้ว ยังจะมีชะตากรรมอะไรได้? ”

ฟ่านหลินยวนก็พูดว่า “ในแม่น้ำก็กุ้งหอยปูปลามากมาย รถคันหนึ่งถูกเชื่อมปิดให้กลายเป็นกรง จมอยู่ใต้แม่น้ำ ข้างในยังมีศพอยู่10กว่าศพ ไม่นานก็คงถูกพวกกุ้งหอยปูปลากินกันไปหมดแล้วล่ะ ปลาตัวใหญ่ก็กัดกินเนื้อไป ปลาตัวเล็กก็กัดกินผิวหนังไป พวกเอ็งเคยไปทำสปาปลาไหมล่ะ? ปลาแบบนั้น แม้แต่เศษผิวหนังกำพร้า ก็ยังกินจนเกลี้ยง ไม่นาน เนื้อหนังของเขาก็คงไม่เหลือ”

“โอ้โห!” ชายที่นั่งเบาะหลังก็พูดว่า “ถึงว่าคนในตระกูลถึงอยากจะฆ่ามันทิ้งไวๆ ไอ้หมอนี่มันโหดเหี้ยมใช่เล่น!”

ฟ่านหลินยวนก็พูดนิ่งๆ ว่า “พวกเราจะชะล่าใจไม่ได้ สงครามวันนี้จะต้องกลับออกมากันอย่างปลอดภัย”

คนชันรถก็พูดว่า “ศิษย์พี่ครับ พี่คิดว่าที่ภูเขาฉางไบ จะมียอดฝีมืออยู่ไหม? ”

“น่าจะไม่มี” ฟ่านหลินยวนบอกว่า “หลายชั่วโมงก่อนอู๋ตงไห่เพิ่งส่งคนมาล่วงหน้าแล้ว จากที่คนรอดคนเดียวมันบอกไว้ ฝั่งตรงข้ามไม่ได้เข้าประชิดตัวพวกมันเลย มีแต่ปืนที่ยิงโจมตี ดังนั้นก็เลยเดาว่าน่าจะไม่มียอดฝีมือ มีเพียงบอดี้การ์ดพกปืนธรรมดาๆ ”

“งั้นก็ดี” คนที่ขับรถก็ยิ้มพูดว่า “พวกเราเป็นพี่น้องกัน ฝึกวิชาระฆังทองคุ้มกายแต่เด็ก ไม่อยากพูดว่าเป็นสุดยอดฝีมือ แต่ก็ไม่ใช่ว่าปืนธรรมดาจะยิงเราเข้าได้ ดูเหมือนว่าคืนนี้ จะเป็นสงครามที่มาฆ่าหมาเล่นๆ คงจะเอาชนะได้ง่ายๆ แล้วนำชัยกลับไปซูหาง”

ชายอีกคนก็พูดว่า “ถ้าหากว่าไอ้เย่เฉินนั่น มันอยู่ด้วยก็ดี พวกเราจะได้ฆ่ามันไปด้วยเลย แล้วกลับไปรับรางวัลกับนายท่านอู๋”

ฟ่านหลินยวนก็พูดว่า “ไอ้เย่เฉินมันไม่น่าจะอยู่ที่นี่ด้วย ทางตระกูลอู๋ตรวจสอบแล้ว ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทาง พวกมันยังอยู่ที่จินหลิง”

พูดจบ ฟ่านหลินยวนก็เสริมว่า “ถ้ามันอยู่ด้วยก็ดีเลย จะได้รับถือหัวมันกลับไปรับรางวัลกับนายท่านอู๋ นายท่านอู๋คงจะให้พวกเราสักหลายร้อยล้าน”

คนขับรถก็พูดว่า “เอ่อศิษย์พี่ครับ ในเมื่อไอ้เย่เฉินมันร้ายแบบนี้ แล้วที่ก่อนหน้านี้ที่คุณชายรองตระกูลอู๋ป่วยโรคประหลาด มันจะเกี่ยวข้องกับไอ้เย่เฉินนี่ด้วยหรือเปล่า? ”

ฟ่านหลินยวนก็ส่ายหัว “อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะเป็นไปได้”

พูดไปดังนั้น เขาก็ถอนหายใจว่า “โรคประหลาดของคุณชายรอง ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน นานแล้วก็ยังรักษาไม่หาย และอาการก็ไม่เบาลงเลย มันน่าแปลกมาก”

……

ในตอนนี้ เย่เฉินที่อยู่บนเนินเขา ก็ยืนกุมมืออยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ

ด้านหลัง มีเฉินจื๋อข่าย หงห้าและเว่ยเลี่ยง ก็หนาวจนสั่นไปตามกันแล้ว หน้านี่ซีดขาวไปหมด

เฉินจื๋อข่ายก็ถูมือไปมา พร้อมสบถด่าออกมาว่า “ไอ้ราชาบู๊ทั้งแปดตูดหมา มาช้าจังวะ!อีกชั่วโมงเดียวฟ้าก็จะสว่างหมดแล้ว!”

หงห้าก็มองเย่เฉิน แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า “คุณชายครับ คุณใส่เสื้อผ้าน้อยแบบนี้ ไม่หนาวหรือครับ? ”

เย่เฉินก็ส่ายหัวเบาๆ เขาในตอนนี้ ไม่เกรงกลัวต่อความหนาวเย็นแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงว่าให้เขายืนอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมง ต่อให้เขายืนอยู่ที่นี่2วัน หรือเป็นเดือน ก็ไม่มีทางหนาว

————