‘ละทิ้งมหามรรค ฝึกตนเองตามลำพัง’

‘ในโลกชั้นล่างไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้!’

นี่เป็นคำวิจารณ์ต่อ ‘เฒ่าโดดเดี่ยว’ เจ้าของเรือนโอบดารานิทราบุหลันของจ้าวไท่ไหลในตอนนั้น

ตอนนี้พอคิดถึงผู้อาวุโสคนนี้ หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ว่ากึ่งจักรพรรดิปาฉีที่เคยพาอวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนโลกชั้นล่างในตอนนั้น เคยพูดว่าในโลกชั้นล่างมีระดับจักรพรรดิที่แท้จริงดูแลอยู่ด้วย

และเฒ่าโดดเดี่ยวคนนี้ กลับไม่มีคนสามารถฆ่าได้…

ระดับจักรพรรดิที่ปาฉีพูดถึงจะใช่เฒ่าโดดเดี่ยวหรือไม่

คิดถึงตรงนี้สีหน้าของหลินสวินก็แปลกไปอย่างอดไม่ได้ ผู้เฒ่าในตอนนั้นมีความสามารถขนาดนี้จริงๆ หรือ

“ไป พวกเราไปดูสักหน่อย”

หลินสวินเองก็หวั่นไหวแล้ว อดประหลาดใจไม่ได้

แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่ไปพบเฒ่าโดดเดี่ยวก็เพื่อไปยังสมรภูมิกระหายเลือด

ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลินสวินกลับโลกชั้นล่างคราวนี้ เป้าหมายสูงสุดก็คือแสวงหาวิธีบรรลุมกุฎอริยะ

ตอนนั้นจักรพรรดิก็เคยพูดว่า ในโลกชั้นล่างมีจุดเปลี่ยนใหญ่ที่สามารถทำให้หลินสวินบรรลุอริยะได้

ตอนนี้จักรพรรดิและจักรพรรดินีรวมถึงพวกคนน่ากลัวในจักรวรรดิได้จากไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มุ่งหน้าไปยังสมรภูมิกระหายเลือด

นี่ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนคาดเดาว่า คำว่าจุดเปลี่ยนบรรลุอริยะ บางทีอาจจะอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด

หลินสวินไม่ลืมว่า ในสมรภูมิกระหายเลือดนั่นมีพื้นที่ที่แปลกประหลาดและอันตรายอย่างที่สุดแห่งหนึ่ง…

ป่าต้นหม่อน!

ตรงนั้นมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งที่ลึกลับยืนตระหง่านเสียดฟ้า จักจั่นทองตัวหนึ่งอยู่บนนั้น แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายสูงส่งคลุมเครือ ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

และมีจักจั่นขาวที่เลือดเย็นเหี้ยมโหดเช่นกัน เสียงร้องเดียวก็สามารถเขย่าจนท้องฟ้าแตกแยก ทำให้สิบทิศล้วนตกตื่น

มีผีเสื้อราตรีสีเลือดกลิ่นอายดุจดั่งอริยะ กางปีกอยู่ในหมอกหนา

มีเจียวหลงสีเขียวมรกตร่างยาวถึงพันจั้ง จำศีลอยู่ใต้ดิน ลูกตาลึกล้ำราวกับจักรวาล เผยปรากฏการณ์น่ากลัวปานสุริยันขึ้นจันทราลับขอบฟ้า กาลเวลาผันเปลี่ยน

มีทวนศึกแตกหักที่วิเศษอัศจรรย์ทะลวงกลางอากาศ ราวกับเทพสงครามสิงร่าง มีดอกไม้สีทองแปลกประหลาดแผ่ประกายกระบี่สีทองมากมายออกมากรีดแทงฟ้าดิน…

หลินสวินยิ่งไม่มีวันลืม ยามเขาไปจากป่าต้นหม่อน ที่นั่นเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตะลึง มีแสงเมฆสีเขียวมากมายควบรวมเป็นดอกไม้ร่วงหล่นจากท้องฟ้า

ตำหนักมรรคเก่าแก่ลึกลับปรากฏในโลก เพียงแค่บันไดก็มีถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นแล้ว ราวกับบันไดสู่สวรรค์!

กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตำหนักมรรคบดบังฟ้าดิน ศักดิ์สิทธิ์รุ่งโรจน์ ทำให้พื้นที่ลึกลับส่วนลึกของป่าต้นหม่อนนั่นย้อมไปด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ชั้นหนึ่ง

ทุกอย่างล้วนดูลึกลับ!

ก่อนที่หลินสวินจะกลับโลกชั้นล่างก็เคยคาดเดาคร่าวๆ ว่า หากบอกว่าโลกชั้นล่างซ่อนจุดเปลี่ยนของการบรรลุมกุฎอริยะ ก็น่าจะต้องอยู่ในสองแขตแดน

หนึ่งคือ ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ นั่นเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ลึกลับและน่ากลัวที่สุด

อีกหนึ่งคือป่าต้นหม่อนในสมรภูมิกระหายเลือด ก็มีร่องรอยอริยะเทพที่เหลือเชื่ออยู่เช่นกัน

และเมื่อได้รู้ว่าเหล่าคนใหญ่คนโตแห่งจักรวรรดิอย่างจักรพรรดิ จักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต ต่างมุ่งหน้าไปสมรภูมิกระหายเลือดตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกว่า ที่ที่พวกเขาไปมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็น ‘ป่าต้นหม่อน’!

……

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครต้องห้าม ในเขตห่างไกลและเงียบสงบแห่งหนึ่ง

เรือนที่เรียบง่ายแห่งหนึ่งตั้งอยู่ภายใน บนประตูเรือนมีป้ายแขวนไว้ว่า…

เรือนโอบดารานิทราบุหลัน

ลายมือบิดเบี้ยวเหมือนผลงานที่เด็กน้อยเขียนอย่างไก่เขี่ย ทำให้ทนมองไม่ได้

เมื่ิอมาถึงที่นี่จ้าวจิ่งเซวียนอดสงสัยไม่ได้ว่า “ที่นี่จริงๆ หรือ”

หลินสวินมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง สีหน้าแฝงแววหวนระลึกเล็กน้อย กล่าวว่า “ที่นี่จริงๆ ตอนนั้นข้าก็คิดไม่ถึงว่าชื่อที่ดูมีกลิ่นอายเซียนขนาดนี้จะเป็นร้านอาหารได้อย่างไร…”

นึกถึงตอนนั้น เขาในตอนนั้นยังมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น

ตอนนี้หลังจากผ่านมาหลายปีเขาได้เป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ชื่อเสียงในตอนนี้ไม่เพียงแค่กระจายไปทั่วจักรวรรดิ ยิ่งกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งในใจพ่อมดเถื่อนเก้าสายแล้ว

สิ่งที่ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนประหลาดใจคือ ตอนที่พวกเขาเข้าสู่เรือนโอบดารานิทราบุหลัน กลับพบว่ามีแขกอยู่แล้ว

บนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งมีอาหารวางอยู่สี่จาน เหล้ากาหนึ่งและจอกเหล้าอีกสองใบ

ข้างโต๊ะไม้คนแก่ที่เผ้าผมกระเซอะกระเซิงรูปร่างซูบผอมนั่งอยู่ เป็นเฒ่าโดดเดี่ยวที่อารมณ์ฉุนเฉี่ยวนั่นเอง

ไม่เจอหลายปีเขายังคงมีท่าทางพิกลอารมณ์ร้าย ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด

ตรงข้ามเฒ่าโดดเดี่ยวก็มีคนแก่คนหนึ่งนั่งอยู่เช่นกัน สวมชุดคลุมสีเทา ผมและเคราสีขาวขุ่น รอยย่นบนใบหน้าราวกับหุบเหว ดูแก่ชราอย่างมาก

เขานั่งตัวตรง บนร่างกายสั่งสมกลิ่นอายของกาลเวลา ให้ความรู้สึกมากประสบการณ์ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่กระจ่างใสประหนึ่งทารก ชัดเจนจนเหมือนสามารถสะท้อนความลับในส่วนลึกที่สุดของใจคนได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นเฒ่าโดดเดี่ยวหรือชายชราผู้นั้น กลิ่นอายล้วนธรรมดามาก คนทั่วไปเห็นแล้วก็คงไม่หยุดมองแม้แต่แวบเดียว

ทว่าพลังปราณของหลินสวินในตอนนี้เทียบกับในอดีตไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แวบเดียวก็ดูออกว่ากลิ่นอายของเฒ่าโดดเดี่ยวแม้จะธรรมดา แต่ในจิตรับรู้ของเขากลับไม่สามารถจับกลิ่นอายและเงาร่างของอีกฝ่ายได้เลย!

พูดอีกอย่างคือ หากหลับตาลง ด้วยพลังจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเฒ่าโดดเดี่ยวได้ กลิ่นอายของเขาราวกับไม่คงอยู่ อัศจรรย์อย่างมาก

และกลิ่นอายของชายชราอีกคนก็เหมือนผิวน้ำสงบนิ่ง ดูเหมือนนิ่งสนิทไร้สิ่งแปลกปลอม กลับให้ความรู้สึกกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตราวกับห้วงอากาศว่างเปล่า!

ชายชราคนนี้หลินสวินก็รู้จักเช่นกัน ราชครูเฒ่าแห่งหอดูดาวหลวง!

ตอนไปจากโลกชั้นล่าง ก่อนจะไปยังดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินเคยได้สนทนากับราชครูในหอดูดาวหลวง

สิ่งที่คุยกันก็คือท่านลู่ ลู่ป๋อหยา

ตอนนั้นราชครูเคยพูดว่า ท่านลู่ที่ประสบเคราะห์ในคุกใต้เหมือง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกี่ยวข้องกับมรรคพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา

ตอนนี้หลินสวินคิดๆ แล้วกลับอดตกใจไม่ได้ เขาเข้าใจความจริงของการทำลายคุกใต้เหมืองในตอนนั้นแล้วว่า เกี่ยวข้องกับ ‘มรรคพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา’ จริงๆ

เพราะห้องโถงมรรคาสวรรค์มีพลังพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาอยู่แล้ว!

แต่ราชครูสามารถคาดการณ์ออกมาได้เช่นนี้ จะให้หลินสวินไม่ตกใจได้อย่างไร

ความคิดเหล่านี้แวบผ่านเข้ามาในหัว แต่กลับสร้างความตื่นตระหนกบนสภาวะจิตของหลินสวิน

เขาคิดไม่ถึงว่าแค่เบาะแสบางอย่างและคำพูดเพียงไม่กี่คำในตอนนั้น กลับซ่อนความลับที่ตนไม่เคยสังเกตมากมายขนาดนี้!

ก่อนหน้านี้หลินสวินยังคิดว่าราชครูที่หอดูดาวหลวงคนนี้ก็ตามพวกจักรพรรดิไปสมรภูมิกระหายเลือดแล้ว

กลับคิดไม่ถึงว่ายามเข้าสู่เรือนโอบดารานิทราบุหลันจะได้เจอราชครูคนนี้นั่งอยู่กับเฒ่าโดดเดี่ยว

“คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง”

หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนทำคารวะพร้อมกัน

“ขอทานมาอีกสองคนแล้ว”

เฒ่าโดดเดี่ยวกลอกตาใส่ “ก็ยังดี มีคุณสมบัติร่วมโต๊ะ”

ราชครูยิ้มน้อยๆ ดวงตากระจ่างชัดพินิจพวกหลินสวินครู่หนึ่งค่อยพูดว่า “ไม่เพียงแค่มีคุณสมบัติ จังหวะที่กลับมายังพอดีอีกด้วย”

ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นพูดว่า “ข้าจะรอพวกเจ้าที่หอดูดาวหลวง”

หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนชะงัก ต่างตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเฒ่าโดดเดี่ยวหรือราชครูต่างคล้ายรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมา

“นั่งเถอะ ข้าไปทำของกินมาให้”

ราชครูจากไปแล้ว เฒ่าโดดเดี่ยวเองก็ลุกขึ้น เดินเข้าไปยุ่งง่วนในครัว

จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป ถูกหลินสวินขวางเอาไว้ ยิ้มพูดว่า “ผู้เฒ่าคนนี้ก็นิสัยแบบนี้แหละ”

ทั้งสองนั่งลง ไม่นานเฒ่าโดดเดี่ยวก็เตรียมอาหารอีกชุดหนึ่ง ล้วนธรรมดามาก ผักและเนื้อสัตว์เข้าคู่กันได้ไม่เลวเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังเตรียมเหล้าให้ทั้งสองอีกกาหนึ่ง

หลินสวินหยิบตะเกียบขึ้นมากินอย่างเป็นกันเอง ในหลายปีมานี้แม้เขาได้ชิมอาหารเลิศรสมาไม่น้อย แต่พอได้กินอาหารที่เฒ่าโดดเดี่ยวทำอีกครั้งก็ยังคงทำให้หลินสวินดื่มด่ำอย่างที่สุด

ปลายลิ้นเหมือนรับรสทั้งหมด รสชาติอันยอดเยี่ยมระเบิดออกทั่วร่างกาย

เห็นท่าทางดื่มด่ำของหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนเชื่อครึ่งหนึ่งสงสัยอีกครึ่งหนึ่ง จึงหยิบตะเกียบขึ้นมาชิมผักใบเขียว

เพียงแค่คำเดียวนางก็เบิกตาโพลงเหมือนยากจะเชื่อ

จากนั้นนางเองก็ไม่เกรงใจแล้ว เริ่มกินคำโตอย่างไม่สงวนท่าทีสักนิด

ด้วยระดับของพวกเขาในตอนนี้ ต่อให้ไม่กินอะไรก็อยู่ได้ แต่ช่วยไม่ได้ อาหารที่เฒ่าโดดเดี่ยวทำอร่อยเกินไปแล้ว

ในระหว่างนี้เฒ่าโดดเดี่ยวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หรี่ตาลง มองหลินสวินสลับกับจ้าวจิ่งเซวียน ไม่ได้เอ่ยเสียงใดๆ

จวบจนกระทั่งกินอิ่มหลินสวินอดถอนหายใจไม่ได้ “เนื้อของสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอร่อยมากพอแล้ว กลับยังน้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วนของอาหารเหล่านี้”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

เฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มเยาะ “ก็แค่เนื้อสุนัข เอาขึ้นโต๊ะไม่ได้ด้วยซ้ำ รอพวกเจ้าได้ชิมตับมังกร กระดูกหงส์ ปีกคุนเผิงเมื่อไหร่… จะเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าอร่อยที่แท้จริง”

“ผู้อาวุโสเคยกินหรือ” หลินสวินถาม ตับมังกร กระดูกหงส์ ปีกคุนเผิง แค่ได้ยินก็ทำให้ใจสั่นแล้ว

เฒ่าโดดเดี่ยวแค่นเสียงเย็นชา “ไร้สาระ อาหารอร่อยที่ข้าเคยกินมีมากมาย เจ้าหนูอย่างเจ้าจินตนาการไม่ออกหรอก หยุดพูดไร้สาระ พวกเจ้ากินข้าวกันแล้วก็บอกจุดประสงค์ที่มาที่นี่เถอะ”

“ผู้อาวุโส พวกเรามาครั้งนี้เพื่อไปสมรภูมิกระหายเลือด ไม่รู้ว่าท่านจะชี้แนะพวกเราได้หรือไม่”

จ้าวจิ่งเซวียนพูด

“นี่คือสิ่งที่พ่อเจ้าทิ้งไว้ให้เจ้า” เฒ่าโดดเดี่ยวสะบัดมือลวกๆ ม้วนหยกม้วนหนึ่งตกสู่มือจ้าวจิ่งเซวียน

จ้าวจิ่งเซวียนพินิจคร่าวๆ เงียบๆ ครู่หนึ่ง ไม่ส่งเสียงอีก

“เจ้าล่ะ”

เฒ่าโดดเดี่ยวเหลือบมองหลินสวินแวบหนึ่ง

หลินสวินเองก็ไม่เกรงใจ ถามว่า “ข้าได้ยินว่าในโลกชั้นล่างมีจุดเปลี่ยนของการบรรลุมกุฎอริยะ ผู้อาวุโสคิดว่าจุดเปลี่ยนนี้จะอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดหรือไม่”

มุมปากของเฒ่าโดดเดี่ยวเผยยิ้มเยาะ “พลังปราณของเจ้าเพิ่งจะระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดเท่านั้นก็คิดเรื่องบรรลุอริยะแล้ว ทะเยอทะยานเกินไปหน่อยหรือเปล่า”

หลินสวินพูดอย่างไม่เห็นด้วย “หากต้องการ ข้าสามารถก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดได้ตลอดเวลา ส่วนอมตะเก้าเคราะห์… ก็ไม่ยากเกินมือข้า”

เฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มเยาะ “งั้นถ้าเป็นเคราะห์มรรคตัดขาดมาเยือนเล่า”

ในใจหลินสวินสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตระหนักได้ว่าเฒ่าโดดเดี่ยวคงดูความลับในตัวตนออกแล้ว รู้แล้วว่าตนกำลังฝึก ‘ไตรวิถีมกุฎ’

นี่ดูเหลือเชื่ออย่างที่สุด หากเฒ่าโดดเดี่ยวเป็นคนธรรมดา จะพูดว่าตนกำลังจะเผชิญเคราะห์ออกมาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

หรืออีกฝ่ายเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิจริงๆ

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหลินสวินกลับสู่ความสงบ พูดเรียบๆ ว่า “มหายุคมาเยือน ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ หากกลัวเคราะห์มรรคตัดขาดข้าคงไม่เลือกทางนี้หรอก”

คำถามนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแดนมกุฎเขาก็ได้ใคร่ครวญอย่างจริงจังนานแล้ว และเตรียมพร้อมเรื่องนี้อยู่เงียบๆ

เห็นหลินสวินนิ่งขนาดนี้ เฒ่าโดดเดี่ยวกลับประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาขุ่นมัวจ้องหลินสวินแล้วจุ๊ปากพูด “น่าสนใจ”

——