ทันใดนั้นเฒ่าโดดเดี่ยวก็พยักหน้า “เจ้าคาดเดาได้ถูกต้อง เรื่องนี้… อืม ในโลกชั้นล่างมีจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งหนึ่งอยู่จริง สามารถทำให้เจ้าบรรลุอริยะขอบเขตมกุฎได้”

ไม่ทันรอให้หลินสวินดีใจเฒ่าโดดเดี่ยวก็เอ่ยว่า “น่าเสียดาย เจ้ายังห่างชั้นอยู่บ้าง หรือพูดได้ว่าถ้าเจ้าคิดจะคว้าจุดเปลี่ยนนี้ไว้ ยากนัก”

หลินสวินเลิกคิ้ว “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

เฒ่าโดดเดี่ยวถอนหายใจเอ่ยว่า “บรรลุมกุฎอริยะ เจ้าคิดว่าง่ายหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เจ้าดูเจ้าตอนนี้สิ พลังหลอมปราณยังพอทน อยู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด โดยเฉพาะพลังหลอมจิตในมรรคาอมตะเรียกได้ว่าแกร่งกล้าแล้ว”

“แต่พลังหลอมกายของเจ้ายังฝึกฝนมาน้อยนัก เพิ่งอยู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสองเท่านั้น แม้รากฐานจะมั่นคง แต่ขาดการเคี่ยวกรำและขัดเกลาอย่างแท้จริง”

“ถ้าข้าดูไม่ผิด ที่เจ้าฝึกก็คือวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ของเผ่าวานรจมูกเชิดกับวิชาลับหลอมกายที่ถ่ายทอดมาจากจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ เจ้าควรรู้ว่ามรดกทั้งสองนี้ต่างเรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์สมบัติที่สามารถสะเทือนปวงสวรรค์ได้ หากเจ้าฝึกฝนเพียงวิชาเดียว ไม่แน่ว่ายังสามารถเดินบนมรรคาหลอมกายได้ง่ายหน่อย”

“แต่เจ้ากลับมีมรดกหลอมกายสองวิชาอยู่ในร่าง เจ้ารู้ไหมว่านี่หมายความว่าอะไร”

“ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้านเรียกว่ากัดมากเคี้ยวไม่ละเอียด ถ้าเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจวิชาลับทั้งสองวิชานี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วแปรเปลี่ยนเป็นของของตัวได้ เพียงแค่ข้อบกพร่องนี้ก็สามารถทำให้เจ้าไม่อาจเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูแห่งการบรรลุมกุฎอริยะได้!”

“หลอมกาย กายเนื้อบรรลุเป็นอริยะ”

“หลอมปราณ เถลิงเป็นอริยะ”

“หลอมจิต เชื่อมจิตแปรเป็นอริยะ”

“มรรคาทั้งสาม แม้ต่างวิถีแต่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ทว่าการฝึกทั้งสามมรรคาพร้อมกันโดยที่ยังไม่บรรลุอริยะเป็นเรื่องยากนัก”

“เคราะห์มรรคตัดขาด ก็เปรียบดั่งคูน้ำอันตรายที่สุดที่ขวางหน้าเจ้า!”

พูดถึงตรงนี้เฒ่าเดียวดายคล้ายรู้สึกกระหายน้ำ ยกกาเหล้าดื่มอย่างบ้าคลั่ง แล้วจึงขยับปากพูดต่อ

“หากอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตอนนั้นก็ไม่ได้มีเคราะห์มรรคตัดขาดบ้าบอนี่มาขวางอยู่แล้ว”

“ถ้าเจ้ากับข้ากล้าทำเช่นนี้ก่อนมหายุคมาเยือนคราวนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเอง”

“ยังดีที่มหายุคครั้งนี้มาถึงแล้ว กฎระเบียบฟ้าดินแปรผันครั้งใหญ่ ต้นกำเนิดฟื้นคืน ต่อให้ฝึกทั้งสามมรรคาพร้อมกัน ก็ยังพอจะหาความหวังได้”

“แต่แม้มีหวัง ทว่าด้วยศักยภาพของเจ้าในตอนนี้ หากไม่รีบแก้ไขข้อบกพร่องในมรรคาหลอมกาย เกรงว่าแม้แต่เคราะห์มรรคตัดขาดยังฝ่าไม่ได้ ยิ่งอย่าฝันอยากบรรลุมกุฎอริยะเลย ต้องเป็นเรื่องเพ้อเจ้อแน่”

พูดถึงตรงนี้เฒ่าเดียวดายก็ชำเลืองมองหลินสวินครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นที่เจ้าต้องทำตอนนี้ไม่ใช่ไปครุ่นคิดว่าจะบรรลุมกุฎอริยะอย่างไร แต่เป็นจะไปเผชิญหน้ากับ ‘เคราะห์มรรคตัดขาด’ อย่างไรต่างหาก”

พอหลินสวินได้ฟังการสาธยายยาวเหยียด สีหน้าก็แปรเปลี่ยน ปนเปไปด้วยอารมณ์ต่างๆ รู้สึกเหมือนถูกตีแสกหน้า

หลังกลับจากดินแดนรกร้างโบราณมายังโลกชั้นล่าง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกปราณหรือกระทำการใด เขาก็ทำได้อย่างราบรื่นมาตลอด ไม่ได้ประสบความล้มเหลวอะไรอีก

ถึงขั้นที่ว่ากลับขาดความระมัดระวังรอบคอบไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ความรอบคอบนี้คือการรับรู้ที่ให้ความสำคัญกับมรรคาของตน และสถานการณ์อันตรายที่ต้องเผชิญหน้ายามฝึกบำเพ็ญ!

“การฝึกบำเพ็ญ ทั้งควรกล้าหาญชาญชัย ไม่หวั่นกลัวอันตรายเบื้องหน้า และควรหวั่นกลัวดุจเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง”

ยามเฒ่าโดดเดี่ยวพูดถึงตรงนี้สีหน้ายังเคร่งขรึมนัก ครู่ต่อมาก็เอ่ยอย่างลำพองว่า “เป็นอย่างไร ที่ข้าว่าเจ้าเด็กน้อยอย่างเจ้าทะเยอทะยานเกินตัวนั้นถูกต้องยิ่งนักเลยล่ะสิ”

เดิมหลินสวินยังรู้สึกเลื่อมใสซาบซึ้ง แต่พอเห็นท่าทางลำพองใจเช่นนี้ของเฒ่าเดียวดาย ความเคารพเลื่อมใสในใจพลันมลายหายไป เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “มองไกลถึงจะรู้ว่าเป้าหมายที่ตนต้องการแสวงหาอยู่ที่นั่น ไม่ถึงกับหลงเดินทางผิดระหว่างเสาะหามรรคา เช่นนี้เรียกว่าทะเยอทะยานเกินตัวหรือ”

เฒ่าเดียวดายหน้าหงิกหน้างอ ยกกาเหล้าจ่อมุมปาก ยิ้มหยันพูดว่า “โอ้ เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้าทีสิว่าเจ้ามองไกลแค่ไหนแล้ว”

หลินสวินครุ่นคิด นึกถึงระดับขอบเขตที่หยั่งถึงได้ยามฝ่าด่านที่แปดของห้องโถงมรรคาสวรรค์ กล่าวว่า “สรรสร้างความเป็นความตายท่ามกลางการมีอยู่และความว่างเปล่า ใจมีจักรวาลจึงขยายจักรวาล ควบคุมจักรวาลได้”

พรวด!

เฒ่าโดดเดี่ยวพลันพ่นเหล้าที่อยู่ในปากออกมา ไอกระแอมอย่างรุนแรงไม่ว่างเว้น อัดอั้นจนใบหน้าซูบตอบแดงซ่าน มือไม้สั่น

เขามองดูหลินสวินราวกับมองดูตัวประหลาด “นี่ใครบอกเจ้ากัน”

เขาไม่เชื่อว่าระดับอย่างหลินสวินก็เห็น ‘สรรสร้างจากความว่างเปล่า’ ที่แม้แต่ระดับจักรพรรดินั้นยังหยั่งถึงได้น้อยนิดนัก!

หลินสวินก็ประหลาดใจเสียแล้ว จึงเอ่ยว่า “นี่ยังต้องมีใครมาบอกข้าหรือ”

เฒ่าโดดเดี่ยวสีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาจดจ้อง กล่าวอย่างลังเลว่า “นี่เจ้าเห็นเองจริงๆ หรือ”

คราวนี้พอถูกเฒ่าโดดเดี่ยวจ้องมองด้วยดวงตาขุ่นมัวนั้น ตอนแรกหลินสวินรู้สึกอึดอัดไปบ้าง ประหนึ่งความลับทั้งภายในและนอกร่างกายต่างถูกมองทะลุทั้งสิ้น

เขานิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ “ระดับนี้มีตรงไหนผิดหรือ หรือจะพูดว่าเป็นทางแยกที่ได้รับการพิสูจน์มาก่อนแล้วหรือ”

เฒ่าโดดเดี่ยวพ่นลมหายใจขุ่นออกมายาวๆ แล้วเอ่ยพึมพำว่า “ถ้าเจ้าหนูอย่างเจ้าไม่ได้หลอกข้า ที่มองเห็นก็ไกลพอจริงๆ ไกลจนเป็น… เอ้อ ตัวประหลาด พูดไม่ได้แล้ว…”

เขาส่ายหัว ยามมองดูหลินสวินสายตาก็อ่อนโยนลงไม่น้อยไปแล้ว กล่าวว่า “ระดับที่เจ้าเห็นนั่นไม่ได้มีอะไรผิดแปลก ภายหน้าเจ้าก็จะเข้าใจ มาพูดกับเจ้าตอนนี้… ซับซ้อนเกินไปแล้ว มหามรรคไร้รูปร่าง พูดไปก็ไร้ที่สิ้นสุด ถ้าไม่ได้เสาะแสวงหาด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจสัมผัสความลึกลับของมันได้”

ขณะนี้จ้าวจิ่งเซวียนเก็บม้วนหยก นางจำเนื้อหาภายในได้ขึ้นใจแล้ว สีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อยกล่าวว่า “หลินสวิน ข้าอาจจะไปสมรภูมิกระหายเลือดเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว…”

หลินสวินงุนงง “ทำไมล่ะ”

“ระดับไม่พอ”

เฒ่าโดดเดี่ยวโพล่งคำสี่คำออกมาเบาๆ แล้วจากนั้นจึงเอ่ยว่า “ที่สำคัญที่สุดก็คือ จุดเปลี่ยนที่นั่นใหญ่เกินไป นางเอื้อมไม่ถึง”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มขื่น “เป็นเช่นนี้จริงๆ”

พลังปราณของนางตอนนี้บรรลุระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่แล้ว แต่จากสิ่งที่กล่าวไว้ในม้วนหยกที่บิดาของนางทิ้งไว้

หากหมายจะไปสถานที่ที่มีจุดเปลี่ยนใหญ่อย่างสมรภูมิกระหายเลือด อย่างน้อยก็ต้องมีพลังอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดขึ้นไป

ศักยภาพไม่พอ ต่อให้ไปแล้วก็ไม่ได้วาสนาที่ต้องการ

เพราะจุดเปลี่ยนที่นั่นใหญ่เกินไป ใหญ่จนสามารถทำให้อริยะบ้าคลั่งได้!

หลินสวินขมวดคิ้ว “ต่อให้ไม่อาจได้จุดเปลี่ยนไปครอง ไปเปิดหูเปิดตาสักครั้งก็ได้มั้ง”

“เปิดหูเปิดตาหรือ”

เฒ่าโดดเดี่ยวหัวเราะหยัน “ข้าควรจะพูดว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าบ้าระห่ำเกินไปหรือว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวดีล่ะ ข้าบอกเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้เจ้าไปก็เอื้อมไม่ถึงจุดเปลี่ยนใหญ่ที่อยู่ข้างในพวกนั้น เพราะจุดเปลี่ยนพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าในตอนนี้จะคะนึงหาได้ และไม่เกี่ยวกับเจ้าด้วย”

“ตกลงเป็นจุดเปลี่ยนอะไรกันแน่” หลินสวินนิ่วหน้า

เฒ่าโดดเดี่ยวดวงตาลุ่มลึก พูดว่า “หากอริยะแท้คว้าไว้จะเป็นมหาอริยะได้ หากมหาอริยะคว้าไว้ก็จะเป็นราชันอริยะ หากราชันอริยะคว้าไว้ได้…”

“จะบรรลุจักรพรรดิหรือ” หลินสวินสั่นสะท้านในใจ

เฒ่าโดดเดี่ยวหัวเราะแหะๆ ไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ตอนนี้แม้แต่จ้าวจิ่งเซวียนยังสูดหายใจเย็นอย่างอดไม่ได้ จุดเปลี่ยนเช่นนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ ใหญ่จนระดับที่นางมีในตอนนี้เอื้อมไม่ถึง

หลินสวินกลับหนังศีรษะชาหนึบ เอ่ยว่า “จุดเปลี่ยนใหญ่เช่นนี้ต้องมีคนที่มีระดับอริยะขึ้นไปมากมายมาแย่งชิงกันกระมัง”

เฒ่าโดดเดี่ยวหรี่ตาพยักหน้า

หลินสวินเอ่ย “มหาอริยะหรือ ราชันอริยะหรือ หรือจะเป็นกึ่งจักรพรรดิ”

เฒ่าโดดเดี่ยวยังยิ้มตาหยีดังเดิมแล้วพูดว่า “อาจจะมีทั้งนั้น”

หลินสวินยิ้มขื่น “เช่นนั้นข้าไปแล้วจะต่างอะไรกับรนหาที่ตาย ไปชิงอาหารกับเสือทั้งฝูงนะ ข้าน่ะ เป็นเพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้น ไปถึงที่นั่นต่อให้ถูกเมิน ก็เกรงว่าจะถูกกรงเล็บของเสือพวกนี้เหยียบตายเข้าโดยไม่รู้ตัว”

เฒ่าโดดเดี่ยวหุบยิ้มพูดจริงจังว่า “ไม่ ต่อหน้าเจ้าตัวโตพวกนั้น ขนาดมดเจ้ายังสู้ไม่ได้เลย”

หลินสวินหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง

“ผู้อาวุโส ทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้ไม่ดีนะ”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเย็นชา

เฒ่าโดดเดี่ยวหัวเราะร่า “โธ่ ล้อเล่นเท่านั้นเอง อย่าถือเป็นจริงเป็นจัง โลกนี้ไม่เคยมีเรื่องใดแน่นอน ในเมื่อบิดาของเจ้าให้เจ้าหนูนี่ไป จะไม่ดูแลเขาให้ดีได้อย่างไร”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าอ่อนลงไปมาก

แต่หลินสวินกลับรับรู้ได้ว่าจักรพรรดิจัดแจงเช่นนี้ต้องเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งตนไปตาย!

“ไปเถอะ ที่ควรบอกพวกเจ้าก็บอกไปหมดแล้ว อีกสิบวันเจ้าหนูค่อยมาอีกรอบ ข้าจะส่งเจ้าไปสมรภูมิกระหายเลือด”

เฒ่าโดดเดี่ยวโบกมือครั้งหนึ่งเป็นการส่งแขก

……

‘เสด็จพ่อข้ารับสั่งว่าราชครูหอดูดาวหลวงจะจัดแจงให้ข้าไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์รอบหนึ่ง ถึงตอนนั้นข้าก็จะแวะไปดูเจ้าคางคกได้พอดี’

หลังออกจากเรือนโอบดารานิทราบุหลัน จ้าวจิ่งเซวียนเดินไปบนถนนพลุกพล่านเคียงข้างหลินสวิน เอ่ยสื่อจิต

หลังกลับมาที่โลกชั้นล่างไม่นานนักเจ้าคางคกก็จากไปตามลำพัง เพื่อเสาะหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาบางอย่างที่ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ซึ่งอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ

ตอนนั้นเขาสัญญากับพวกหลินสวินไว้ว่าจะกลับมาภายในครึ่งปี ตอนนี้อีกไม่นานจะถึงกำหนดนั้นแล้ว

ตอนนี้หลินสวินถึงรู้ว่าที่แท้จักรพรรดิเตรียมการทุกอย่างให้จ้าวจิ่งเซวียนไว้นานแล้ว นี่ทำให้ใจเขาผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยว่า “แบบนี้ก็ดี”

“เจ้าก็ไปสมรภูมิกระหายเลือดอย่างสบายใจเถอะ ถึงที่นั่นแล้วอย่าอวดตัวเด็ดขาด เชื่อฟังตามที่เสด็จพ่อข้าจัดการไว้ทุกอย่างก็พอ”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเสียงนุ่มนวล

“อืม เจ้าก็ด้วย ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นลี้ลับยากคาดเดายิ่งนัก…”

หลินสวินพูดถึงตรงนี้ก็ถูกจ้าวจิ่งเซวียนหัวเราะขัดคอ เอ่ยว่า “ตอนนั้นพวกเราไปด้วยกัน ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เจ้าก็วางใจเถอะ”

ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงหอดูดาวหลวง

มีเด็กยืนอยู่ก่อนแล้ว รับทั้งสองคนขึ้นไป

ที่ยอดหอดูดาวหลวงราชครูเรียกหลินสวินมาข้างกายตามลำพัง เอ่ยว่า “เจ้าคงยังจำได้ใช่ไหมว่าตอนนั้นก่อนเจ้าไปดินแดนรกร้างโบราณ พวกเราเคยคุยเล่นกันที่นี่ครั้งหนึ่ง”

หลินสวินพยักหน้า “จำได้ขอรับ”

ดวงตาของราชครูลุ่มลึกราวมหาสมุทร เปล่งประกายกระจ่างใส กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนนั้นข้าเคยทำนายให้เจ้า อยากดูเสียหน่อยว่าอนาคตของเจ้าจะดีหรือร้าย แต่เจ้ารู้ไหมว่าข้าเห็นอะไร”

ดวงตาดำของหลินสวินหดรัดลง

ครู่ต่อมาราชครูจึงเอ่ยว่า “บนทางข้างหน้าของเจ้ามีแต่หมอกหนาไร้ขอบเขต ไม่อาจมองเห็นได้”

เสียงของเขาแก่ชรา ต่ำลึก ทั้งเจือไปด้วยกลิ่นอายเจนโลกอันเป็นเอกลักษณ์

“แต่เบื้องหลังของเจ้ากลับฟ้าถล่มดินทลาย สรรพสิ่งแตกพัง ทุกอย่างต่างไม่อาจกลับมาดำรงไว้ได้อีก!”

หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ประกาบวาบขึ้นในดวงตา กล่าวว่า “ผู้อาวุโส นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ”

“ลักษณ์ชะตาเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจเข้าใจได้”

ริ้วรอยบนใบหน้าราชครูมาบรรจบกัน เจือความซับซ้อนเล็กน้อย “ที่บอกเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง ก็เพียงต้องการให้เจ้ารู้ว่าหนทางแห่งการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา…ไม่ง่ายดาย ภายหลังต้องกระทำการอย่างระมัดระวัง”

——