ตอนที่ 2986

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,986 : ธาตุสายฟ้า ธาตุดิน..

 

“หืม? นั่นมิใช่…เชวียจิงอวี่ องค์ชายรองแห่งประเทศหนั่นฉี่รึไร?”

 

“มิผิด! องค์ชายรองหนันฉี่ เชวียจิงอวี่ผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่ง…อายุได้เพียง 200 กว่าปี กลับบรรลุด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้แล้ว อีกทั้งยังลือกันว่ามันเข้าใจกฏแห่งสายฟ้าได้แล้วด้วย!”

 

“พรสวรรค์ระดับมัน ต่อให้กวาดมองไปยังเหล่าบรรดายอดฝีมือเซียนอมตะที่จะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำที่จะเปิดออก ยังนับเป็นตัวตนระดับต้นๆ!”

 

“ว่าแต่…เชวียจิงอวี่ทำท่าราวกับกำลังจะประมือกับผู้ใดอยู่เลย?”

 

“เฮ่อ ฮ่องเต้หนันฉี่กับฮ่องเต้ฝูชิวไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร…พบเจอหน้ากันเมื่อใดก็มีเรื่องกันตลอด ข้าดูแล้วไม่พ้นองค์ชายรองหนั่นฉี่ต้องกำลังจะปะทะกับคนของฝูชิวแน่นอน”

 

“ข้าก็ว่างั้น ท่าทางเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะเป็นยอดเซียนยอมตะที่ได้สิทธ์ในการเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณของฝูชิว”

 

“จะว่าไปเมื่อครึ่งปีก่อนข้าได้ยินว่ามีอัจฉริยะไร้สังกัดคนหนึ่งปรากฏตัวที่ประเทศฝูชิวด้วย แม้จะยังไม่เข้าใจกฏ ทว่าอาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ กลับเอาชนะยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ในกระบวนท่าเดียว!”

 

“เจ้าว่า…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะใช่อัจฉริยะที่ว่าของฝูชิวรึเปล่า?”

 

“จะใครอีกล่ะ ยอดเซียนอมตะของฝูชิว…เกรงว่าคงมีแต่อัจฉริยะไร้สังกัดที่ร่ำลือผู้นั้นคนเดียว ถึงจะพอต่อกรกับองค์ชายรองหนันฉี่ได้…”

 

“เหอะๆ แต่อาศัยยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ที่ไม่เข้าใจกฏ จะใช่คู่มือองค์ชายรองหนั่นฉี่ได้หรือ? ข้ามองอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เลย!”

 

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับเชวียจิงอวี่เผชิญหน้ากัน หลายคนก็เริ่มเข้ามามุงชมมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะเดียวกันหลายๆคนก็เริ่มคาดเดากันไปว่า ต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องเป็นอัจฉริยะที่พึ่งโด่งดังขึ้นมาของฝูชิวแน่แท้

 

“เชิญป้อนกระบวนท่าเถอะ…หากให้ข้าลงมือก่อน เกรงว่าเจ้าคงไร้โอกาสอันใด”

 

เชวียจิงอวี่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยเมยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน

 

แม้เสียงกล่าวจะฟังดูเรียบง่ายไร้เรื่องราว แต่กลับแฝงเร้นไปด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด ราวต้วนหลิงเทียนจะพบกับความปราชัยทันทีที่มันลงมือ!

 

“โอหังนัก!”

 

หลายคนอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา ด้วยคิดว่าเชวียจิงอวี่จะถือดีเกินไปแล้ว

 

“หึ! มันจะโอหังแล้วอย่างไร ในเมื่อมันมีทุนรอนให้โอหัง!”

 

หากแต่หลายคนรู้สึกว่าเชวียจิงอวี่มีดีมากพอให้ถือดี!

 

“หยิ่งจริงๆ…แต่อย่างไรเสียมันก็มีดีพอจะให้หยิ่ง ไม่ทราบน้องต้วนจะเอาชนะมันได้หรือไม่…”

 

หวงเจียหลงที่ชมดูเรื่องราวอยู่วงนอก ก็มองไปยังการเผชิญหน้าระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเชวียจิงอวี่อย่างลุ้นระทึก

 

แม้ตอนนี้มันจะพอมีความเข้าใจในพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง และรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังพยายามทำความเข้าใจกฏแห่งดินอยู่

 

อย่างไรก็ตามพอมันทราบว่าเชวียจิงอวี่นั้น ได้เข้าใจกฏแห่งสายฟ้าแล้ว มันก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าต้วนหลิงเทียนต้องชนะแน่

 

แต่เป็นธรรมดาว่ามันก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะต้องแพ้พ่ายเช่นกัน

 

มันรู้สึกว่าผลการประลองครั้งนี้ สมควรจบลงที่เสมอ!

 

“ในเมื่อองค์ชายรองใจดีถึงขนาดนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะ”

 

เจอกับการท้าทายของเชวียจิงอวี่ ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยิ้มตอบคำเสียงเฉย จากนั้นก็ลงมือทันที

 

เพียงหนึ่งเท้าที่เหยียบย่ำลงอากาศ ร่างคนก็พุ่งออกไปปานกระสุน!

 

พร้อมกันนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างที่ดั่งสายธารไพศาล ก็เริ่มไหลเชี่ยวไปตามชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย

 

เริ่มใช้ออกด้วยเวทย์พลังทั้งวรยยุทธ์อมตะที่ชำนาญแล้วอย่างไม่รั้งรอ

 

ปฐมเวทย์กลืนกิน!

 

ปราณม่วงบูรพา!

 

ราชันไม่เคลื่อนไหว!

 

เพียงเสี้ยวพริบตาหลังจากที่ร่างต้วนหลิงเทียนยทะยานพุ่งมาดั่งกระสุน  ก็ปรากฏร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องที่ปกคลุมไปด้วยมวลพลังสีม่วง อีกทั้งรอบกายพุทธองค์สีทองอันมีไอพลังม่วงปกคลุม ยังอุบัติวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาหนุนเสริมพลังอานุภาพฉับไว

 

วู้ม! วู้ม! วู้ม!

 

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่หากแต่ในมือต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏพลองยาวหนึ่งกระชับถือไว้ และตัวพลองก็เริ่มสั่นไหวเปล่งแสงพลังลี้ลับออกมาเรืองรอง ยิ่งมายังยิ่งส่องสว่างเจิดจ้า!

 

เมื่อถ่ายทอดพลังลงสู่ตัวพลองแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเกรงใจอันใด เพียงง้างพลองขึ้นสุดเหยียด พร้อมกันนั้นเงาร่างพุทธองค์สีทองที่ถูกไอพลังม่วงปกคลุมก็ทำท่าเดียวกัน จากนั้นในมือยังปรากฏมวลพลังขุมหนึ่งก่อลักษ์เป็นพลองพลังเล่มเขื่อง ทำท่าอริยาบถเดียวกัน

 

ยามพลองฟาดหวด วาโยสะท้าน หมู่เมฆกำจาย อานุภาพปานลมคุ้มฝนคลั่ง!

 

ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!

 

 

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนโคจรเร่งเร้าพลังจู่โจมออกมาเต็มพิกัดเช่นนี้ พลังทั่วร่างย่อมปะทุแผ่ซ่านออกไปสะท้านสะเทือนในบรรยากาศ ส่งกลิ่นอายพลังน่าเกรงขามขุมหนึ่งออกไปให้ทุกผู้คนสัมผัสได้ชัดเจน

 

“เฮ่ย! เจ้านั่นมันเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนี่!!”

 

“เอ๊า! ผู้ใดว่าต้วนหลิงเทียนแห่งฝูชิวเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์กัน มันเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดชัดๆ!!”

 

“อะไรกัน…ในช่วงครึ่งปีที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนผู้นี้กลับสามารถทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้แล้วงั้นรึ?!”

 

“เช่นนั้นมิได้หมายความว่า พลังของมันได้ก้าวหน้าขึ้นจากครึ่งปีก่อนคนละเรื่องเลยรึไร!?”

 

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปกปิดกลิ่นอายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ปะทุออกทั่วร่างแม้แต่น้อย ทำให้ทุกกคนที่ชมดูเรื่องราวอยู่ ไม่ว่าใครที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของเขา ก็ระบุได้ทันทีว่ามันคือกลิ่นอายพลังของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด

 

“ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดรึ?”

 

เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่ลงมือจู่โจมฟาดพลองเข้ามาด้วยสภาวะดุร้าย เชวียจิงอวี่เพียงยกยิ้มแสยะที่มุมปากเบาๆ จากนั้นทั่วร่างก็เริ่มปรากฏพลังลุกโชนขึ้นมาปกคลุมปานเพลิงไฟ “แต่กระนั้นหากเจ้ายังทำได้แค่นี้ ก็คงมิอาจรับข้าได้แม้กระบวนท่าเดียว!!”

 

ถึงแม้จากกลิ่นอายพลังทั้งสภาวะรุกโหมเข้ามาของต้วนหลิงเทียน จะถือว่าเกรี้ยวกราดดุร้ายอย่างหาตัวจับยากในบรรดายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่มันเคยพบเจอ แต่เชวียจิงอวี่ก็ไม่ได้ไยดีสักเท่าไหร่

 

กระทั่งเชวียจิงอวี่ยังรู้สึกว่า…

 

พลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนที่เผยออกมาตอนนี้ ไม่น่าจะทรงพลังมากพอสยบหวงเจียหลง เจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองตู้อวิ๋นของประเทศฝูชิวได้ด้วยซ้ำ

 

เพราะก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนก็รู้กันดีว่าหวงเจียหลงคือยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอันดับสอง แห่งฝูชิว!

 

ส่วนยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอันดับ 1 ของฝูชิว ก็คือองค์ชายแห่งฝูชิว ที่พลังฝีมือเหนือกว่าหวงเจียหลงเล็กน้อย

 

“ก็ลองรับพลองข้าดู!”

 

เผชิญหน้ากับท่าทีถือดีของเชวียจิงอวี่ สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงสงบ สภาวะพลังไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย

 

ครืน! ครืน! ครืน!

 

 

เมื่อต้วนหลิงเทียนเจียนบรรลุถึงร่างเชวียจิงอวี่ พลังทั่วร่างเชวียจิงอวี่ก็เริ่มบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราด สีสันของพลังยังเริ่มกลับกลายเป็นสีม่วง

 

อีกทั้งหลังจากที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันกลับกลายเป็นสีม่วงแล้ว ยังปรากฏกระแสอัสนีแล่นวาบแปลบปลาบ ปกคลุมไปทั่วร่างกาย

 

และเมื่อร่างเชวียจิงอวี่โจนทะยานออกไป กระแสอัสนีแล่นวาบแปลบปลาบที่ปกคลุมไปทั่วกายดังกล่าว ก็เคลื่อนที่ตามติดไปดั่งเงา!

 

เรียกว่าบัดนี้เชวียจิงอวี่คล้ายกลับกลายเป็นเทพเจ้าสายฟ้า ที่ควบคุมใช้งานอัสนีธาตุได้ดั่งใจ!

 

“นั่นน่ะหรือพลังอำนาจแห่งกฏสายฟ้า…จากความลึกซึ้ง ความหมายแห่งสายฟ้า ที่เชวียจิงอวี่เข้าใจ!?”

 

“ทันทีที่มันลงมือ ก็ถึงกับใช้พลังแห่งกฏสายฟ้าออกมา…ดูท่าเชวียจิงอวี่คงคิดสยบต้วนหลิงเทียนในท่าเดียวจริงๆ!”

 

“เหอะๆ ดูจากกระแสอัสนีที่แลบลั่นไปทั่วร่างมันอย่างมั่นคง ท่าทางมันจะเข้าใจความหมายแห่งสายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แล้ว!”

 

“ความแข็งแกร่งของมันตอนนี้ น่ากลัวว่าต้องให้กวาดตามองไปทั่วยอดเซียนอมตะทั้งหมดที่จะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็ไม่พ้นต้องติดอยู่ในร้อยอันดับแรก!”

 

 

การลงมือของหวงเจียหลงนำพาความแตกตื่นมาสู่ฝูงชนที่มาล้อมมุงชมดูเรื่องราวไม่น้อย หลายคนยังเริ่มมองต้วนหลิงเทียนที่โจนทะยานหววดพลองเข้าไปด้วยสายตาสงสาร คล้ายพวกมันกำลังแลเห็นตั๊กแตนตัวกระจ้อย กำลังจะใช้เรี่ยวแรงน้อยนิดต้านทานรถม้า…

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! วูม! วูม!

 

 

และเมื่อทั่วร่างเชวียจิงอวี่ปะทุพลังสุดไพศาลพร้อมกระแสอัสนีแลบลั่นปกคลุมไปทั่วเรือนกายได้ไม่ทันไร มวลพลังทั้งกระแสอัสนีส่วนหนึ่งของมัน ก็ได้ควบรวมผสานก่อเกิดดาบสายฟ้าขึ้นจากความว่างเปล่าไม่หยุดหย่อน!

 

ดาบสายฟ้านับร้อยอุบัติ เปล่งพลังอานุภาพสะท้านขวัญ กระแสอัสนีที่เปล่งออกมาจากดาบสายฟ้าแต่ละเล่ม ยังคล้ายร้อยเรียงเชื่อมประสานเข้าด้วยกัน

 

“รวม!!”

 

สิ้นเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดของเชวียจิงอวี่ดาบอัสนีสะท้านขวัญนับร้อย ก็ได้พุ่งวาบมาด้วยความเร็วสุดที่ใครจะตั้งตัวก่อเกิดเป็นดาบอัสนีเล่มเขื่องยาวราวๆ 4 ฉื่อ! จากนั้นเชวียจิงอวี่ที่ไม่ทราบเรียกดาบสีเทาเล่มหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ได้ประทับดาบอัสนีดังกล่าวลงตัวดาบสีเทาฉับไวสุดที่ใครจะทันได้ตั้งตัว!!

 

และทันทีที่ดาบถูกประทับไปด้วยดาบพลังอัสนี สภาวะพลังของดาบดังกล่าว แม้จะยังไม่ได้รุกโหมโจมตี แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันบีบคั้นเหนือกว่าพลองที่ต้วนหลิงเทียนฟาดลงเสียอีก!

 

เห็นได้ชัดว่าดาบที่เชวียจิงอวี่เรียกออกมา สมควรเป็นดาบอมตะระดับราชา!

 

ฟั่บ!!

 

เชวียจิงอวี่ที่คอนดาบพุ่งร่างไป คนคล้ายกลับเป็นเงาเลือน มองไปกลางฟ้าแลเห็นเป็นร่างเงาถือดาบอัสนีสีม่วงพร้อมพลังลี้ลับสีเทาที่ผสานกันอย่างกลมกลืน พุ่งทะลวงตัดอากาศออกไปฉับไว!

 

เห็นได้ชัดว่านอกจากพลังแห่งกฏสายฟ้าแล้ว เชวียจิงอวี่ยังสมควรใช้วรยุทธ์ดาบหรือเวทย์พลังอะไรบางอย่าง ทำให้การโจมตีของมันทั้งรวดเร็วทั้งรุนแรง!

 

“หนึ่งดาบสยบ!!”

 

ทันใดนั้นเชวียจิงอวี่ก็คำรามออกมาเสียงดังลั่นฟ้า จากนั้นหนึ่งคนที่คอนดาบอัสนีสีม่วงเจือเทาแลดูลี้ลับดั่งเงาเลือน ก็บรรลุถึงขอบเขตความเร็วอัศจรรย์ พุ่งวาบไปดั่งประกายแสงสวนเข้าหาต้วนหลิงเทียน!

 

พร้อมกันนั้นดาบอัสนีในมือ ก็ประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงจากสวรรค์ ดาบอันอัดแน่นไปด้วยพลังน่ากลัวฟันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างอำมหิต!

 

หากสายตาผู้ใดไวพอ ย่อมแลเห็นได้ชัดว่าหนึ่งดาบที่ตวัดฟันลงมานั้น มวลอากาศเบื้องหน้าตัวดาบได้ถูกแบ่งผ่าเป็นสองเสี่ยงก่อนที่ตัวดาบจะบรรลุถึงเสียอีก! เป็นดาบอัสนีที่ว่องไวคล้ายอสรพิษสายฟ้ากัดฉกนัก! พริบตาก็เจียนจะปะทะกับพลองที่ฟาดลงของต้วนหลิงเทียนแล้ว!

 

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ร่างในชุดสีม่วงหนึ่งฟาดพลองลงไปด้วยสภาวุดะร้ายปานขุนเขาถล่ม อีกด้านกลับเป็นหนึ่งดาบที่อัดแน่นไปด้วยพลังอัสนีแลบลั่น ไม่เพียงอานุภาพของดาบที่ฟันลงจะน่ากลัว อาศัยแค่กระแสอัสนีที่แล่นววาบแปลบปลาบรอบกายผู้ลงดาบ ก็ยากจะต้านทานรับได้แล้ว

 

เรียกว่าในขณะเดียวกับที่ออกดาบฟันฟาดใส่ต้วนหลิงเทียน กระแสอัสนทั่วร่างเชวียจิงอวี่ ก็คล้ายตาข่ายฟ้าแหสวรรค์ที่ทอดมาตามติด จะเพื่อทำร้ายก็ดี หรือเป็นปราการแกร่งป้องกันก็ดี!

 

อีกทั้งกระแสอัสนีแลบลั่นที่อยู่รอบกายเชวียจิงอวี่ ก็ยังมีพลังลี้ลับสีเทาฉาบเคลือบไว้ด้วย บ่งบอกว่าเป็นปราการป้องกันที่ทรงพลังไม่ใช่ชั่ว!

 

‘ในรุกมีรับงั้นรึ? เช่นนั้นให้ข้าชมดูหน่อยว่าการป้องกันของเจ้าแข็งแกร่ง หรือของข้าที่แข็งแกร่ง!’

 

เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะประชด จากนั้นพลันสะบัดมือซ้ายฉับไว ปรากฏร่มคันหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือ

 

“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน!”

 

ต้วนหลิงเทียนร่ำร้องในใจอย่างดุดันคราหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็โยนร่มออกไปให้พุทธองค์ร่างทองพร้อมไอพลังม่วงที่ฟาดพลองด้วยมือขวา คว้าจับร่มเขาด้วยมือซ้าย!

 

และทันทีที่มือพลังมหึมาคว้าจับตัวร่ม แสงพลังสีทองพร้อมมวลพลังสีม่วงก็หลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ตัวร่มเร็วไว!

 

ในเสี้ยวพริบตานั้นเอง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันลุกโชนทัวร่างที่เดิมไร้สีสันของต้วนหลิงเทียน อยู่ๆก็เริ่มกลับกลายเป็นสีกากี แผ่ซ่านกลิ่นอายทรงพลังหนักแน่นถึงขีดสุดออกมา!

 

ธาตุดิน!

 

เสี้ยวพริบตาก่อนปะทะ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้ใช้ออกด้วยพลังแห่งกฏของธาตุดินที่เขาบรรลุถึง หลังจากเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดินออกมา!

 

และทันทีที่เข้าใช้ออกด้วยพลังกฏแห่งดิน พลังสีกากีที่ผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอย่ากลมกลืมไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนสีพลังเท่านั้น ยังหลั่งไหลไปผสานกับวรยุทธ์ทั้งเวทย์พลังไม่เว้นอุปกรณ์อมตะที่เขาถ่ายทอดพลังลงไปทั้งหมด!

 

ที่สำคัญท่ามกลางพลังสีกากีดังกล่าว ยังปรากฏพลังลี้ลับสีเหลืองแก่ขุมหนึ่งลอบแผ่ซ่านออกมาจากร่างเขาอย่างเงียบงัน โดยไม่ทันที่ใครจะพบเห็น!!

 

พลังสีเหลืองแก่ที่ว่า ไม่ใช่อันใดอื่น แต่เป็นพลังอำนาจของปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดิน!!

 

เนื่องจากพลังแห่งกฏของธาตุดินที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็ใช้ออกมาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ทุกคนมัวแต่สนใจพลังสีกากีกันหมด จึงไม่อาจมีผู้ใดพบเห็นกระแสพลังลี้ลับสีเหลืองแก่ที่อ่อนจางกว่าได้เลย!

 

“นั่นมัน…พลังธาตุดิน!?”

 

“จ้าวสววรรค์ช่วย! ไหนผู้ใดบอกข้าว่าอัจฉริยะของประเทศฝูชิวไม่เข้าใจกฏ…นั่นมันพลังของกฏแห่งดินชัดๆ หากจะเข้าถึงพลังอำนาจของกฏแห่งดิน มิใช่ว่าอย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจความหมายแห่งดินแล้วรึไร!?”

 

“ให้ตายเถอะ อัจฉริยะของประเทศฝูชิวคนนี้…ไม่ใช่ว่าอายุยังไม่ถึงร้อยปีรึไง!?”

 

“บัดซบ! นี่มันปีศาจจากนรกขุมใดกันแน่!?”

 

 

หลังต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยพลังแห่งกฏ ทุกผู้คนก็พากันแตกตื่นโกลาหลครั้งใหญ่!

 

และเนื่องจากความสนใจของทุกผู้คนล้วนถูกพลังแห่งกฏธาตุดินของต้วนหลิงเทียนดึงดูดไปจนหมด จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นกระแสพลังสีเหลืองแก่ที่แผ่ซ่านไปยังตัวร่มอย่างเงียบงันด้วยความฉับไวแม้แต่น้อย

 

ซู่มมม!!

 

ครืนนนน!!

 

 

และภายใต้สายตาของทุกคน ทันทีที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนได้กลับกลายเป็นสีกากีหลังผสานใช้ด้วยพลังแห่งกฏธาตุดิน กระแสพลังที่ปกกคลุมไปทั่วตัวพลองแน่นอนว่าต้องเริ่มเปลียนสีตาม! มองไปยามนี้คล้ายธารโคลนสายเชี่ยวฉาบเคลือบตัวพลอง!!