มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1407

ทะลุผ่านทางปริภูมิ หลัวซิวมาถึงแดนเทพสงครามอีกครั้ง เบิ่งมองพระราชวังทองคำที่ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเขาเซียน

เขาหกระเหินเดินฟ้า มองข้ามค่ายกลระดับเทพทั้งหลายก็วางอยู่บนท้องฟ้า ระดับของค่ายกลทั้งหมดนี้อยู่ไม่ไม่สูงกว่าระดับ 3 ซึ่งไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้แก่ร่างเนื้อเขาได้เลยด้วยซ้ำ

หลังจากที่ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ไปถึงยอดเขาเซียนเป็นที่เรียบร้อย ถึงแม้ไม่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากลูกแก้วความเป็นตาย เขาก็ไม่ถูกอำนาจที่น่าเกรงขามของเทพสงครามกระทบเลยแม้แต่น้อย

อดีตและปัจจุบัน เขาไม่ใช่ชายหนุ่มผู้อ่อนแอคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ศักยภาพมีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ

หลัวซิวเมินเฉยต่อวิชาห้ามค่ายกลที่อยู่หน้าพระราชวัง มุ่งหน้าเดินตรงเข้าไป พบเห็นซากกระดูกเทพสงครามเอกภพอยู่ด้านล่างรูปปั้นที่สูงตระหง่านนั่น

ในอดีต มีเศษเสี้ยวความคิดหนึ่งของเทพสงครามได้หลงเหลือไว้ในเศษใจแห่งศุภร และต่อสู้กับเขาโดยที่อยู่ในแดนเดียวกัน เพื่อเป็นการประเมิน

หลังจากเศษความคิดเพียงเสี้ยวหนึ่งนั้นสลายหายไปหมดแล้ว เทพสงครามเอกภพก็ไม่คงอยู่อย่างแท้จริงแล้ว ไขกระดูกของเขาเคยถูกพิษกัดกร่อน น่าจะยังสามารถเก็บรักษาได้อีกประมาณหมื่นกว่าปี ก็จะสลายกลายเป็นฝุ่นละอองแล้ว

ไม่มีผู้ใดคงอยู่ตลอดไปได้ เวลาเป็นมีดแกะสลักที่น่ากลัวที่สุด ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกกฎเวลาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเวลาที่เดินหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน และชะตากรรมที่อายุไขจะหมดสิ้น

แม้แต่ชีวิตยังไม่มีทางคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แล้วนับประสาอะไรกับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วเล่า?

“ผู้อาวุโสหวงเทียน ผู้น้อยสังหารซือถูเจิ้งเจี้ยน ช่วยท่านล้างแค้นแล้ว”

หลัวซิวหันหน้าไปทางซากกระดูกของเทพสงคราม คารวะอย่างเคารพนอบน้อม มาตรแม้นว่าเศษใจแห่งศุภรจะไม่มีประโยชน์ต่อเส้นทางการฝึกยุทธ์ของตัวเองเยอะมากนัก แต่เขาก็รู้สึกเคารพอัศวินแห่งยุคเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนคนนี้อยู่

ผู้แข็งแกร่งในโลกใบนี้มีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน มีทั้งผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเกรงกลัว และมีผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเคารพนอบน้อมเช่นกัน หากบอกว่าซือถูเจิ้งเจี้ยนเป็นผู้แข็งแกร่งประเภทแรก เช่นนั้นราชาเทพเอกภพก็เป็นผู้แข็งแกร่งประเภทหลัง

หลัวซิวค่อย ๆ ยกมือซ้ายขึ้นมา มีแสงสีดำสาดส่องออกมาจากตราดาราตรงกลางฝ่ามือ ร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารของอสูรดูดจิตโบราณบินออกมาจากด้านใน ลอยวนอยู่เหนือนภาพระราชวังทองคำ

มันร่วงลงด้านบนรูปปั้นเทพสงคราม ใช้กรงเล็บทั้งแปดจิกรูปปั้นเอาไว้ แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วคำรามด้วยความโศกเศร้า

“หากมีโอกาส ผู้น้อยจะไปเยือนโลกะอัมพรเทวเที่ยวหนึ่ง ฝังท่านกลับบ้านเกิดเมืองนอน”

หลัวซิวก้มกราบอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ใช้มือซ้ายผนึกรวมระลอกคลื่นปริภูมิขึ้นมาหนึ่งคลื่น เก็บซากกระดูกของเทพสงครามเอกภพเข้าไปในโลกาจุดลมปราณ

เมื่อเขาเดินออกมาจากแดนเทพสงคราม ทันใดนั้นจิตเขาก็สัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของตัวเองกำลังจะทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์แล้ว

ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูงได้ไม่นานมากนัก หากอ้างอิงตามการฝึกตนทั่วไป ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบกว่าปีถึงจะสะสมภูมิฐานเพียงพอ จากนั้นผลการฝึกตนของเขาถึงจะบรรลุได้เอง

หากฝืนบรรลุจะทำให้รากฐานไม่มั่นคงได้ง่าย มีเพียงบรรลุเองตามธรรมชาติถึงจะเป็นวิธีการที่มั่นคง

แต่ทว่าหลังจากผ่านการแปรเปลี่ยนโดยผู้เป็นอมตะแล้ว ภูมิฐานของเขาไม่เพียงสะสมถึงขีดจำกัด แม้กระทั่งรากฐานที่แข็งขันตั้งแต่แรกของเขาก็แข็งขันมากกว่าเดิมอีก พลังอันมากมายมหาศาลในร่างกายเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุยังไงอย่างนั้น อยากลองบรรลุขึ้นไปสู่แดนเทพมารอย่างอดใจไม่ไหว

ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้รับการชี้ทางสว่างทางสติปัญญาจากตราชีวีดั้งเดิมของตัวเองเช่นกัน หากเขาจะบรรลุกลายเป็นเทพมาร จำเป็นต้องดำเนินการขั้นตอนการทุกอย่างในโลกแสงดาว

โลกแสงดาวเป็นพิภพที่ถูกบุกเบิกขึ้นมาโดยการอาศัยกมลโลกาชั้นล่างหนึ่งใบจากเทพฟ้ายุคโบราณคนหนึ่ง ครั้นเมื่อเขาใกล้จะสิ้นอายุไข

หลังจากพิภพวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน ในโลกแสงดาวก็กำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าปีศาจ รวมไปถึงอสูรจิตต่าง ๆ

อสูรจิตที่กำเนิดในโลกแสงดาว ตั้งแต่วินาทีก็กำเนิดมา ในชีวิดั้งเดิมก็จะมีออร่าตราประทับของเทพฟ้าโบราณคนหนึ่งแฝงอยู่เสี้ยวหนึ่ง หลังจากที่ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นถึงระดับที่แน่นอนแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกร่วมกับออร่าตราประทับ และทั้งสองฝ่ายก็จะสิ้นสุดเหตุและผลในครั้งนี้