บทที่ 689.4 พบเจอในยุทธภพทักทายว่าลำบาก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เพียงไม่นานหมี่อวี้ก็เข้าใจรากฐานของเหล่าพี่สาวน้องสาวจากตำหนักฉางชุนกลุ่มนี้ได้คร่าวๆ แล้ว

ล้วนเป็นพวกนางที่พูดจ้อให้เขาฟัง ไม่จำเป็นต้องให้หมี่อวี้หลอกถามเลยแม้แต่น้อย

สตรีหน้าตางดงามที่มีนามว่าจงหนันผู้นั้นยังคงชอบให้คนอื่นเรียกนางว่าอีซานมากกว่า เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง ดังนั้นถึงได้ออกเดินทางมาหาประสบการณ์ในครั้งนี้

ผู้ฝึกตนหญิงที่เหลืออีกสามคน คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจงหนันมีชื่อว่าฉู่เมิ่งเจียว มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลปัญญาชนแห่งหนึ่งของเมืองหลวงต้าหลี เล่าลือกันว่าในบ้านบรรพบุรุษมี ‘ผีฮั่นหลิน’ ที่ความรู้กว้างขวางอยู่คนหนึ่ง รับหน้าที่เป็นอาจารย์ของโรงเรียนประจำบ้าน ในตระกูลจึงมีลูกหลานหลายคนที่สอบติดเคอจวี่ เพราะถูกเจ้ากรมผู้เฒ่ากวนเอ่ยเรียกอย่างให้เกียรติว่า ‘หย่ากุ่ย’ (ผีที่สูงส่งสง่างาม) ถึงได้สามารถปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองหลวงด้วยสถานะของภูตผีได้อย่างยาวนาน

เด็กสาวที่ชื่อหลินไฉ่ฝู วันที่นางถือกำเนิด มารดาของนางฝันว่ามีคนขายยันต์หลากสีในวันตวนอู่เอายันต์มาขายให้ถึงบ้าน บอกว่าเป็นสหายสนิทที่รู้จักกับบรรพบุรุษของตระกูลหลิน ได้รับการปกป้องจากบุญกุศลที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ จึงควรจะรับยันต์ชิ้นนี้ไป ดังนั้นเด็กสาวจึงได้ชื่อนี้มา (ไฉ่ฝูคือยันต์ที่มีสีสัน)

และยังมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าหานปี้ยา มาจากตระกูลเมล็ดพันธ์แม่ทัพของต้าหลี เพียงแต่ว่าตำแหน่งขุนนางของบรรพบุรุษไม่ใหญ่นัก อย่างมากสุดก็เป็นแค่หน่วยลาดตระเวนคอยตรวจการเท่านั้น เพียงแต่ว่าดอกเถิงฮวา (หรือดอกวิสทีเรีย ดอกไม้เล็กๆ ที่รวมตัวกันเป็นพวงระย้าสีม่วงคล้ายพวงองุ่น) ในสวนของตระกูลหานกลับเป็นหนึ่งในพืชพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองหลวง ยามที่บานสะพรั่งก็เหมือนก้อนเมฆสีม่วงที่ห้อยระย้าลากระพื้นดิน กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก สร้างความรื่นรมย์ให้กับคนทั้งเส้นถนน มีชื่อเสียงทัดเทียมกับโบตั๋นแห่งวัดเป้ากว๋อและต้นชิงถงนอกห้องหนังสือของเจ้ากรมผู้เฒ่ากวนในเมืองหลวงต้าหลี

พวกนางสามคนต่างก็ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต

ในแจกันสมบัติทวีป เทพเซียนห้าขอบเขตกลาง ต่อให้จะเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตก็ยากที่จะเป็นกิ่งทองใบหยก เป็นเทพเซียนในกลุ่มผู้คนที่ล้ำค่าหายากยิ่ง ทว่าในอาณาเขตแคว้นเล็กใต้อาณัติทั้งหลาย ภูตผีขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทรกลับถือเป็นปีศาจใหญ่ เป็นผีดุร้ายแล้ว

ส่วนหญิงชราขอบเขตประตูมังกรคนนั้น นับแต่เด็กก็มีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของตำหนักฉางชุนอยู่แล้ว

ผู้ฝึกลมปราณหญิงสายของผู้อาวุโสไท่ซางตำหนักฉางชุนสายนี้ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องความรักชายหญิง กลับกันยังมองว่าเป็นหนึ่งในการหาประสบการณ์ที่มิอาจขาดไปได้บนเส้นทางของการฝึกตน

พวกนางเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ในเมื่อเป็นการฝึกประสบการณ์ แน่นอนว่าต้องไม่ได้เอาแต่เที่ยวเล่นอย่างเดียวเท่านั้น

หลังจากที่จงหนัน ‘สวมชุดแพรกลับคืนสู่บ้านเกิด’ ก็ต้องไปชายแดนแคว้นหวงถิงที่เป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ไปดูปีศาจภาพวาดในวัดอวิ๋นซานเขตการปกครองหวงฮวา บนผนังในห้องพักแขกของวัดมีภาพวาดโบราณลงสีที่ประวัติศาสตร์ยาวนานอยู่ภาพหนึ่ง ทุกค่ำคืนยามที่ในห้องไร้ผู้คน เมื่อแสงจันทร์ทะลุหน้าต่างสาดส่องลงมาบนผนัง คนในภาพวาดจะเดินไปตามผนังเหมือนการแสดงโคมไฟในหมู่ชาวบ้าน ปีศาจภาพวาดมักจะออกมาอาละวาดยามค่ำคืนเป็นประจำ แม้ว่าจะไม่ทำร้ายคน แต่ก็ทำให้เสียชื่อของวัดโบราณ ดังนั้นทางวัดอวิ๋นซานจึงมาขอความช่วยเหลือจากกรมพิธีการต้าหลี ตำหนักฉางชุนจึงรับงานนี้มา

หลังจากนั้นก็ต้องไปที่เขตการปกครองอวิ๋นสุ่ยของแคว้นเล็กแห่งหนึ่งที่ล่มสลายไปแล้วซึ่งสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้าหลีแล้ว จำเป็นต้องไปช่วยเทพเซียนผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตำหนักฉางชุนให้สละร่างจากโลกนี้ไป

ต่อจากนั้นคือไปเยือนอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง ช่วยชักนำดวงวิญญาณของแม่ทัพบู๊ท่านหนึ่งของต้าหลีที่รบตายในสนามรบกลับคืนบ้านเกิด

สุดท้ายยังมีเรื่องลับอีกอย่างหนึ่งคือไปซื้อต้นสนหมื่นปีต้นเล็กๆ มาจากหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ เรื่องนี้ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง หญิงชราไม่เคยอธิบายกับผู้ฝึกตนหญิงสี่คนอย่างละเอียด และยิ่งไม่เอ่ยอธิบายอะไรกับ ‘อวี๋หมี่’ หวังเพียงว่าเมื่อไปถึงศาลลมหิมะ อวี๋หมี่จะสามารถช่วยพูดให้ได้บ้าง หมี่อวี้ยิ้มตอบตกลง บอกว่าจะทำสุดความสามารถของตน เพราะความสัมพันธ์ของเขากับเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งหอเทพเซียนก็ธรรมดามาก หากเซียนกระบี่เว่ยอยู่ที่หอเทพเซียนด้วยพอดี เขายังพอจะทำหน้าหนาไปขอร้องอีกฝ่ายให้ช่วยเหลือได้บ้าง แต่หากเซียนกระบี่เว่ยไม่ได้ฝึกตนอยู่ในภูเขาของหอเทพเซียน เขา ‘อวี๋หมี่’ เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่โชคดีได้ขึ้นมาอยู่บนภูเขา หากเจอกับเทพเซียนผู้เฒ่าของสำนักการทหารจากร่องต้าหนี จากบ่อน้ำมรกตเข้าจริง คาดว่าแค่พบหน้าก็คงเกิดความขลาดกลัวแล้ว

หญิงชราเองก็บอกตามตรงว่าเรื่องนี้ไม่กล้าบังคับกันให้ต้องลำบากใจ แค่สหายอวี๋หมี่ยินดีช่วยพูดสักคำสองคำก็เพียงพอมากแล้ว

พวกนางเดินทางลงใต้ไปหาประสบการณ์ครั้งนี้ หลักๆ แล้วก็มีแค่สี่เรื่องนี้ มีทั้งเรื่องง่ายและเรื่องยาก หากพบเจอกับโชควาสนาหรือเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทางก็ยิ่งเป็นการขัดเกลาฝีมืออย่างหนึ่ง

มีผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่ชาติตระกูลดีอย่างอวี๋หมี่อยู่ หญิงชราก็สบายใจได้หลายส่วน

ไปถึงเมืองหงจู๋ที่การค้าเจริญรุ่งเรือง จงหนันไปก็ยังคุ้งน้ำบ้านเกิดของตนเพียงลำพัง

สำหรับเด็กสาวชาวเรือในอดีตคนหนึ่งแล้ว คุ้งน้ำแห่งนั้นกับเมืองหงจู๋ก็คือฟ้าดินสองแห่งที่แตกต่างกัน

สตรีชาวเรือที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำ แม้แต่ถนนริมชายฝั่งของเมืองหงจู๋ก็ยังไม่อาจย่างเท้าลงไปเหยียบได้ หากละเมิดกฎจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง ถูกเนรเทศไปทำงานใช้แรงงานที่ชายแดนของต้าหลีโดยตรง จุดจบมีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย

พวกหมี่อวี้เข้าพักที่จุดพักม้าแห่งหนึ่ง อาศัยเอกสารผ่านด่านของเซียนซือผู้ฝึกตนตำหนักฉางชุนจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินใดๆ

พอไปถึงโรงเตี๊ยมของเมืองหงจู๋ หมี่อวี้ก็ชำเลืองตามองยอดเขาของภูเขาฉีตุนแล้วส่ายหน้า คิดไม่ถึงว่าเว่ยซานจวินท่านนี้จะเป็นคนลุ่มหลงในรักคนหนึ่ง เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับตนโดยแท้ มิน่าเล่าถึงได้ถูกชะตากันนัก

ใกล้ถึงยามสายัณห์ หมี่อวี้ออกจากโรงเตี๊ยมไปเดินเล่นอยู่เพียงลำพัง

แม้จะบอกว่าได้อยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนเหล่านั้นมาแค่ไม่กี่วัน แต่หมี่อวี้กลับค้นพบอะไรมากมาย ที่แท้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเหมือนกัน ลำพังเพียงแค่ชาติกำเนิดก็สามารถแบ่งออกได้หลายระดับแล้ว ยามที่เอ่ยถ้อยคำไม่ได้เปิดเผยร่องรอยเหล่านี้ ทว่าสีหน้าท่าทางในบางช่วงเวลากลับเก็บซ่อนไม่อยู่ ยกตัวอย่างเช่นจงหนันที่มีชื่อว่าอีซานคนนั้น แม้ว่าลำดับอาวุโสจะสูงที่สุด แต่เพราะในอดีตเคยเป็นสตรีชาวเรือที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเป็นหญิงคณิกา อีกทั้งเพิ่งจะไปอยู่ตำหนักฉางชุนตอนที่เป็นเด็กสาวแล้ว ดังนั้นในใจของฉู่เมิ่งเจียว หลินไฉ่ฝูและหานปี้ยาสามคนจึงมีเส้นแบ่งขวางกั้นอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้จงหนัน ‘บรรพจารย์’ ที่อายุต่างจากพวกนางไม่มากได้เชื้อเชิญให้พวกนางไปยังคุ้งน้ำซึ่งเป็นจุดรวมตัวของเรือทัศนาจรลำเล็กด้วยกัน พวกนางกลับปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม

การกระทำเช่นนี้มองดูเหมือนหวังดี แต่ไยจะไม่ใช่มีเจตนาเล่า

หมี่อวี้หยุดเดิน หันหน้ากลับไปช้าๆ เป็นพวกฉู่เมิ่งเจียวสามคนที่ออกจากโรงเตี๊ยมมาชมทัศนียภาพจึงมาพบกัน ‘โดยบังเอิญ’ เมื่อครู่นี้สัมผัสได้ว่าหมี่อวี้จะหยุดเดิน พวกนางจึงเริ่มเบี่ยงตัวหันไปเลือกพัดไม้ไผ่จากร้านขายพัดข้างทางร้านหนึ่ง

คนที่ฉลาดหน่อยหันหน้ามาเร็ว คนที่น่ารักหน่อย หันหน้ามาช้า

หมี่อวี้จึงเดินขึ้นหน้าไปเป็นฝ่ายทักทายพวกนางก่อน จากนั้นก็ไปชมทัศนียภาพร่วมกันกับพวกนาง

คนงามทิวทัศน์งดงาม ล้วนไม่ควรทำให้ผิดหวัง

ถึงอย่างไรเขาก็แน่ใจแล้วว่าคนที่เว่ยซานจวินคิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่พวกนาง

เทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุนในอดีต ซานจวินใหญ่แห่งขุนเขาเหนือของทุกวันนี้ ตัวอยู่ในม้วนภาพวาดเทพเซียน แต่จิตใจโบยบินตามนกไปพบจงหนัน

ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น

หมี่อวี้หันหน้าไปมองเงาตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ขอความรู้เรื่องเวทลับตระกูลเซียนวิชาคว้าลมจับเงาของผู้ฝึกตนบนภูเขาจากพวกนาง ถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หากมีเรื่องนี้จริง มันจะไม่น่าตกใจมากเลยหรือ

ยามที่พูดคุยกับคนอื่นล้วนต้องประสานสายตาด้วย ผู้ฝึกตนอิสระอวี๋หมี่ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เพิกเฉยต่อแม่นางคนใด

น่าเสียดายที่เว่ยจิ้นไม่เคยเรียนรู้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบทนี้ไปจากเซียนกระบี่หมี่

ในตรอกเล็กแห่งหนึ่งที่เชื่อมโยงระหว่างถนนชมน้ำกับถนนชมภูเขาของเมืองหงจู๋ มีร้านหนังสือเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียงร้านหนึ่ง

คุณชายหนุ่มสวมชุดสีดำคนหนึ่ง วันนี้ก็ยังคงเอนกายบนเก้าอี้นอน พลิกเปิดหนังสือนิยายเรื่องเล่าแปลกประหลาดที่จัดพิมพ์ใหม่ล่าสุดในหมู่ชาวบ้านต้าหลีออกอ่าน กลิ่นน้ำหมึกหอมโชยมาจางๆ

เทพวารีแม่น้ำชงตั้นที่ใช้นามแฝงว่าหลี่จิ่นผู้นี้ ข้างกายเก้าอี้สานยังมีโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กตั้งวางอยู่ ด้านบนวางกาน้ำชาที่ทำมาจากนักสร้างกาน้ำชาที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์สกุลหลูในอดีต กาน้อยจื่อซา ลักษณะเรียบง่าย ว่ากันว่าของจริงมีเหลืออยู่บนโลกแค่สิบแปดชิ้นเท่านั้น สกุลซ่งต้าหลีและตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปได้ไปครองกันคนละครึ่ง มีคำเรียกขานที่งดงามว่า ‘ในวังกล่าวขาน บนภูเขาแย่งชิง’ ปัญญาชนเฒ่าที่เดินทางมาท่องเที่ยวซึ่งมาดูหนังสือที่นี่เห็นเข้าดวงตาก็เป็นประกายวาบ ถามว่าเถ้าแก่ขอข้าดูกาน้ำชานี้หน่อยได้หรือไม่ หลี่จิ่นจึงยิ้มเอ่ยว่าซื้อหนังสือหนึ่งเล่มย่อมดูได้ ปัญญาชนเฒ่าพยักหน้าตอบตกลง ก่อนจะยกกาน้ำชาใบนี้ขึ้นอย่างระวัง พอเห็นชื่อที่ประทับไว้ใต้ก้นน้ำชาก็ให้รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่เป็นของเลียนแบบ หากเป็นชื่อของผู้สร้างกาน้ำชาชื่ออื่น บางทีอาจเป็นของจริง แต่ในเมื่อคนผู้นี้เป็นคนทำ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นของปลอมอย่างแน่นอน ร้านหนังสือในหมู่ชาวบ้านร้านหนึ่งจะมีกาน้ำชาดีๆ มูลค่าควรเมืองเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร? แต่ปัญญาชนผู้เฒ่าก็ยังควักเงินซื้อตำราที่จัดพิมพ์อย่างงดงามเล่มหนึ่งก่อนออกจากร้าน ร้านหนังสือเล็ก ทว่ากฎใหญ่ ห้ามต่อราคา สภาพของตำราโบราณฉบับสมบูรณ์ล้วนไม่เลว เพียงแต่ยากจะบอกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคา

หลี่จิ่นเก็บเงินโยนใส่ลิ้นชักโต๊ะ แล้วนอนเสวยสุขกับวันเวลาที่สุขสบายต่อ ดื่มชาพลางอ่านตำราไปด้วย

ทุกวันนี้ขอแค่เป็นปัญญาชนที่มีชาติกำเนิดมาจากอาณาเขตของราชวงศ์ต้าหลีเก่า ต่อให้เป็นบัณฑิตตกอับที่ไร้ความหวังจะสอบเคอจวี่ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการหาเงินเลยแม้แต่น้อย ขอแค่ออกไปข้างนอกก็ไม่มีใครที่จะตกอับได้ แค่จับโน่นมาผสมนี่ ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่งหนังสือออกมาได้แล้ว พ่อค้าหนังสือของต่างถิ่นต่างก็ต้องมาเข้าแถวรออยู่หน้าร้านหนังสือน้อยใหญ่ของเมืองหลวงต้าหลี แต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งก็คือ คำนำของตำราจำเป็นต้องให้ขุนนางบุ๋นในท้องถิ่น หรือขุนนางที่มีระดับขั้นของต้าหลีเป็นผู้เขียนจึงจะได้ หากสามารถหานายท่านผู้สูงศักดิ์ว่างงานของสำนักฮั่นหลินได้ ขอแค่ได้คำนำรวมไปถึงตราประทับส่วนตัวที่สำคัญอย่างถึงที่สุดนั้นมาก่อน แล้วจ่ายเงินมัดจำก้อนใหญ่เอาไว้ก่อน ต่อให้เนื้อหาจะเละเทะแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก ไม่ใช่ว่าพ่อค้าหนังสือโง่แต่มีเงินมาก แต่เป็นเพราะทุกวันนี้ปัญญาชนของต้าหลีที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปเป็นเหมือนเรือที่ลอยสูงตามกระแสน้ำอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้จริงๆ

เดิมทีหลี่จิ่นอ่านคำนำนั้นแล้วก็ไม่มีความคิดจะอ่านตำราเล่มนี้ต่ออีก เป็นลายมือของขุนนางเล็กๆ คนหนึ่ง่ในกรมพิธีการต้าหลี ก็แค่เชี่ยวชาญด้านภาษาบ้างเล็กน้อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเนื้อหาช่วงท้ายจะดีจนเหนือการคาดการณ์ ดังนั้นจึงจำชื่อคนเขียนเอาไว้

นายท่านเทพวารีแม่น้ำชงตั้นที่ไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงานท่านนี้ยังคงชอบมาขายหนังสืออยู่ที่เมืองหงจู๋ ดังนั้นทางฝั่งของศาลเทพวารีแม่น้ำชงตั้น หลี่จิ่นจึงหาคนเฝ้าศาลที่นิสัยซื่อสัตย์คนหนึ่งให้มาคอยดูแลเรื่องควันธูป บางคนที่มีจิตศรัทธาจริงใจมากพอ ก็จะเป็นเหตุให้หลี่จิ่นได้ยินเสียงในใจที่เอ่ยคำภาวนาอธิษฐานของชายหญิงผู้แสวงบุญทั้งหลาย แล้วเขาถึงจะชั่งน้ำหนัก หากเป็นคำอธิฐานที่ไม่มากเกินไป ก็ล้วนทำให้สัมฤทธิ์ผล แต่หากเป็นเรื่องที่ขอให้เจริญก้าวหน้า สอบติดจิ้นซื่อ หรือร่ำรวยราวกับมีเงินทองหล่นจากฟ้ามาใส่หัว หลี่จิ่นก็คร้านจะสนใจ เขาเป็นแค่เทพวารีตัวเล็กๆ ที่ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่ใช่เทพเทวดาบนสวรรค์เสียหน่อย

หลี่จิ่นหาพวกผีพรายที่จมน้ำตาย หรือไม่ก็ผีสาวที่แขวนคอตายให้มาทำหน้าที่คอยตรวจตราลาดตระเวนพื้นที่ในการดูแลของจวนน้ำ แน่นอนว่าต้องเป็นประเภทที่ตอนมีชีวิตอยู่ได้รับความอยุติธรรม แต่ตายไปก็ไม่ยินดีหาใครมาเป็นตัวตายตัวแทน หากเกิดความขัดแย้งกับพวกเพื่อนร่วมงานอย่างแม่น้ำอวี้เย่ก็ให้อดทนข่มกลั้นเอาไว้ หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยมาระบายทุกข์กับเทพวารีเช่นเขา เมื่อระบายความขมขื่นที่อัดแน่นเต็มท้องออกไปหมดแล้วก็อดทนต่อไป ชีวิตต่อให้ยากลำบากแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังดีว่าเป็นผีหิวโหยที่ในอดีตอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะมีลูกหลานมาเซ่นไหว้

เรื่องเดียวที่หลี่จิ่นเก็บมาใส่ใจอย่างแท้จริงก็คือพวกคนที่สร้างบุญกุศลไว้มากซึ่งอยู่ในขอบเขตการปกครองของตน บ้างก็เป็นตระกูลน้อยใหญ่ที่ลูกหลานเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต บ้างก็เป็นพวกสตรีที่รักษาพรมจรรย์ ผู้ที่มีคุณธรมเพียบพร้อม บางคนต้องให้การสนับสนุน บางคนต้องให้การดูแล และยังมีพวกชาวบ้านที่สะสมกุศลคุณความดีแต่กลับมีร่างกายอ่อนแอที่หลี่จิ่นจำเป็นต้องใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบางอย่าง รวมไปถึงใช้โคมแดงใหญ่สองดวงคอยนำทางให้พวกเขาในยามค่ำคืน ป้องกันไม่ให้ถูกปราณชั่วร้ายของวิญญาณเร่ร่อนบางส่วนชะล้างเอาปราณหยางไป โคมแดงใหญ่พวกนี้มีข้อพิถีพิถันอย่างมาก แล้วก็ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนคนใดล้วนสามารถมองเห็นได้ เซียนดินย่อมมองเห็น ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่ไม่ใช่โอสถทอง ไม่ใช่ก่อกำเนิด แต่กลับเชี่ยวชาญด้านการมองลมปราณดูฮวงจุ้ยก็เห็นได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าก็เหมือนกับที่ในหนึ่งแคว้นมีจำนวนของเทพเซียนกำหนดไว้อย่างแน่นอนซึ่งต้องดูที่ว่าโชควาสนาแคว้นมีมากหรือน้อย ขุนเขาสายน้ำเล็กหรือใหญ่ โคมแดงใหญ่เหล่านี้ก็ต้องดูที่ระดับสูงต่ำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน หาใช่สิ่งของที่จะมอบให้คนอื่นได้ง่ายๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำบางส่วนที่หน้าเลือดก็มีที่เอาไปมอบให้ตระกูลคนรวยเพราะได้รับผลประโยชน์เหมือนกัน ขอแค่ไม่เกินกว่าเหตุ ไม่ถูกเพื่อนร่วมงานที่อยู่ใกล้เคียงฟ้องร้อง หรือไม่ถูกพวกซานจวิน พวกเทพอภิบาลเมืองที่เป็นผู้บังคับบัญชาร้องเรียน ทางฝั่งของกรมพิธีการของราชสำนักก็ไม่มาถือสาให้มากความ

ก่อนหน้านี้หลี่จิ่นก็ได้เอาโคมสองดวงไปแขวนไว้ด้านหลังร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดยากจน และอีกดวงหนึ่งแขวนไว้หน้าประตูบ้านของเด็กหนุ่ม โคมไฟดวงแรกจะตามติดเขาเป็นเงา กลางวันหายกลางคืนปรากฏ เมื่อสิ่งสกปรกวัตถุหยินเห็นเข้าก็จะล่าถอยไปด้วยตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ บนไส้ตะเกียงของโคมทั้งสองดวง หลี่จิ่นยังเขียนตัวอักษรไว้ว่า ‘สร้างด้วยวิธีลับของจวนเทพวารีแม่น้ำชงตั้น’ ความหมายนั้นตื้นเขินแต่ชัดเจน นี่คือคนที่ข้าหลี่จิ่นปกป้องคุ้มครองด้วยตัวเอง ไม่ว่าเป็นภูตผีหรือผู้ฝึกลมปราณ ใครที่กล้าทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มสั่นคลอนโดยพลการ ทำลายเส้นทางอนาคตในการเป็นบัณฑิตของเด็กหนุ่มไปแม้เพียงน้อย ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าช่วงชิงบนมหามรรคากับเทพวารีแม่น้ำชงตั้นเช่นข้า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำบางประเภทจะทุ่มเทกับเรื่องของโชคชะตาบุ๋นปราณบุ๋นโดยเฉพาะ โปรดปรานพวกบัณฑิตในอาณาเขตของตนเป็นพิเศษ เพราะหากได้ดิบได้ดีขึ้นมา เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่กลายเป็นขุนนางเหล่านี้ก็สามารถถูกบันทึกไว้ในอักขรานุกรมท้องถิ่น สามารถช่วยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของบ้านเกิดตัวเองเพิ่มเติมคุณความชอบลงบนสมุดบัญชีของกรมพิธีการได้ แต่บางคนอาจจะเลือกโชคชะตาบู๊ ส่วนจะจงรักภักดีหรือสั่งสอนให้ความรู้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องพื้นที่แห่งหนึ่งล้วนสามารถมองเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งได้

——