ดังนั้นถึงได้บอกว่าเป็นคนยาก เป็นผีเป็นเทพ อันที่จริงก็ไม่ง่าย
และหากกลายเป็นผี ข้อห้ามก็ยิ่งมีมาก ผิดพลาดเพียงน้อยนิดก็ถือว่าละเมิดข้อต้องห้าม ชักนำมาด้วยการลงโทษจากเสมียนกองโลกมืด พวกที่อยู่แถวป่าร้างชานเมืองยังดีหน่อย แต่หากอยู่ตามหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของเมืองใหญ่นครใหญ่ นั่นก็ต้องเรียกว่าทุกหนทุกแห่งมีแต่บ่อสายฟ้าอย่างแท้จริง ยิ่งเป็นในภูเขาสายน้ำที่มีโชคชะตาแคว้นทอดยาว สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจยิ่งใหญ่ ผีก็ยิ่งไม่กล้าออกอาละวาดตามใจชอบ นอกเสียจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำและศาลบุ๋นบู๊แล้ว ก็ยังมีศาลเทพอภิบาลเมืองน้อยใหญ่ บวกกับพวกโรงเรียนวัดวาอาราม รวมไปถึงเทพทวารบาลที่แปะอยู่หน้าเรือนประตูสูงทั้งหลาย ภูตผีสิ่งสกปรกคิดจะหาพื้นที่หยัดยืนสักแห่งยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระหว่างผีด้วยกันเองที่ยิ่งมีการรังแกข่มเหงแบบไร้เหตุผลอีกสารพัดอย่าง อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างจากเรื่องสกปรกโสมมทั้งหลายในโลกคนเป็นสักเท่าใด
กุศลผลบุญที่เด่นชัด บารมีของคนเที่ยงธรรม พวกภูตผีจะพากันถอยร่น เดินอ้อมหลบไปเอง คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำกล่าวที่เลื่อนลอยเลยสักนิด
กิจการของร้านซบเซา หลี่จิ่นเริ่มคิดถึงลูกค้าที่คุ้นเคยกันดีสองคนซึ่งมักจะมาอุดหนุนกันเป็นประจำบ้างแล้ว คนแรกที่มาคือพี่น้องต้าเฟิง คนหลังคือน้องจู คนเขาซื้อหนังสือ นั่นต้องเรียกว่าใจป้ำนักหนา ซื้อทีเป็นถุงครึ่งถุง
สนิทกับจูเหลี่ยนยังต้องยกคุณความดีให้กับมรสมแม่น้ำอวี้แย่ในครานั้น ภายหลังจูเหลี่ยนจึงมาซื้อหนังสือที่นี่เป็นประจำ
แม้จะบอกว่าหลังจบเรื่องเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ผู้นั้นไม่ได้ถูกกรมพิธีการของต้าหลีลงโทษ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าถูกเสมียนกองงานพิธีของกรมพิธีการต้าหลีลงบันทึกคดีเอาไว้แล้ว เพราะหลี่จิ่นสนิทกับใต้เท้าหลางจงผู้นั้น ขุนนางหลักของสามกองอย่างกองการสอบกรมขุนนาง กองการคัดเลือกทหารกรมกลาโหมและกองงานพิธีของกรมพิธีการต้าหลีนี้ ระดับขั้นก็แค่ขั้นห้าชั้นเอกเท่านั้น แต่อำนาจกลับยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองงานพิธีของกรมพิธีการต้าหลี หลักๆ แล้วจะคอยตรวจสอบประเมินความชอบและความผิดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั้งหมดของต้าหลี มีอำนาจสำคัญในสำคัญอีกที ดังนั้นจึงถูกบนภูเขามองเป็น ‘ขุนนางสวรรค์น้อย’ ใต้เท้าหลางจงของกองงานพิธี ก่อนหน้านี้ไม่นานได้แต่งกายธรรมดามาเยี่ยมเยือนอาณาเขตของแม่น้ำทั้งสามสาย แล้วก็มานั่งพูดคุยเรื่องวันวานที่ร้านหนังสือแห่งนี้พักหนึ่ง การที่สามารถรบกวนให้ใต้เท้าหลางจงท่านนี้เดินทางมาเยือนเมืองหงจู๋ได้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเป็นเพราะปัญหาที่เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ผู้นั้นก่อไว้ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
ในฐานะเพื่อนร่วมงานของเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ หลี่จิ่นไม่ถึงขั้นมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น แต่ก็อดรู้สึกเห็นใจเหมือนกระต่ายตายหมาป่าเศร้าไม่ได้ ต่อให้เป็นองค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของแม่น้ำหนึ่งสายแล้ว มหามรรคาก็ยังคงแปรปรวนไม่แน่นอนเช่นนี้ ตลอดทั้งปีต้องคอยยุ่งวุ่นวายเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่เคยได้หยุดพัก
แน่นอนว่าเพราะความฝันงดงามของหลี่จิ่นกลายมาเป็นความจริง หลังจากได้เป็นองค์เทพแห่งสายน้ำ ความทะเยอทะยานของหลี่จิ่นมีไม่มาก จึงถือว่ายังผ่อนคลายอยู่บ้าง หากหลี่จิ่นคิดอยากจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น ยกระดับของแม่น้ำชงตั้นให้เลื่อนไปอยู่ในระดับขั้นเดียวกับแม่น้ำเถี่ยฝู เลื่อนขั้นให้เท่าเทียมกับเทพวารีชั้นต้นอย่างหยางฮวา ย่อมต้องมีเรื่องให้ยุ่งวุ่นวายอีกมาก
หลี่จิ่นปิดตำราลง แล้วโยนมันไว้บนหน้าอก เริ่มหลับตาพักผ่อน
เขาเริ่มคิดถึงถ้อยคำที่เคยพูดคุยกับน้องจูขึ้นมาเสียแล้ว หากไม่พูดถึงสถานะและจุดยืนของทั้งสองฝ่าย อันที่จริงพวกเขาก็พูดคุยกันได้ถูกคอมาก หลี่จิ่นถึงขั้นยินดีให้น้องจูมานอนบนเก้าอี้สานตัวนี้ ส่วนตัวเองไปยืนอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน
จำได้ว่าจูเหลี่ยนเคยยิ้มเอ่ยว่า ข้าเชื่อในพระธรรมแต่อาจไม่เชื่อในภิกษุ ข้าเชื่อในปรัชญาขงจื๊อแต่อาจไม่เชื่อในตัวลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ข้าเชื่อในหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์แต่อาจไม่เชื่ออริยะปราชญ์
จูเหลี่ยนแห่งภูเขาลั่วพั่วเป็นยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่ยากจะพานพบได้จริงๆ ไม่เพียงแต่วิชาหมัดสูงส่ง ความรู้ก็สูงมากด้วย
มีแขกมาเยือน หลี่จิ่นลืมตาขึ้น ยกกาน้ำชามาดื่มชาหนึ่งอึกแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เลือกหนังสือได้ตามสบาย ห้ามต่อราคา”
หลี่จิ่นชำเลืองตามอง นอกจากบุรุษวัยกลางคนที่ยิ้มตาหยีแล้ว ผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนอีกสามคนที่ไม่ว่าจะเป็นชุดคลุมอาคมหรือปิ่นปักผมก็ล้วนบอกตัวตนของตัวเองอย่างชัดเจน ต่างก็มีตบะตื้นเขิน หลี่จิ่นมองแค่แวบเดียวก็ดูออก
ในฐานะองค์เทพแห่งสายน้ำที่ควบคุมการโคจรของโชคชะตาในหนึ่งพื้นที่ เรื่องของการมองลมปราณมองโหงวเฮ้งในพื้นที่ปกครองของตน คือวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งที่ได้รับมาเป็นพิเศษ เห็นว่าผู้ฝึกตนหญิงสามคนที่อยู่ในร้านล้วนขอบเขตไม่สูง แต่โชคชะตากลับไม่เลว นอกจากจะมีโชควาสนาตระกูลเซียนแล้ว บนร่างของสตรีทั้งสามยังแทรกซอนไปด้วยโชคชะตาบุ๋น โชคแห่งภูเขาและโชคชะตาบู๊ คำว่าผู้ฝึกตนไม่สนใจเรื่องทางโลก ตัดขาดฝุ่นโลกีย์ ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น
มีเพียงบุรุษที่มีโฉมหน้าเป็นชายวัยกลางคนเท่านั้นที่หลี่จิ่นมองอีกฝ่ายไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ประหนึ่งเจอกับเจินเหริน เห็นได้อย่างเลือนรางท่ามกลางหมู่เมฆ
ในใจของหลี่จิ่นตกตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปมองอีกฝ่ายดีกว่า หากอีกฝ่ายเป็นพวกเซียนดินจริงๆ การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่หนึ่งลอบสังเกตการณ์เขาเช่นนี้ก็คือการล่วงเกินที่ไร้มารยาทอย่างหนึ่ง
นี่ก็เหมือนยามที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนออกหมัดใส่รอบด้านไม่หยุด ส่วนตัวเจ้าโห่ร้องไม่ขาดเสียง นั่นไม่เรียกว่าต้องการถามหมัดอยากโดนซ้อม จะเรียกว่าอะไร?
หมี่อวี้ไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นเกินควรใดๆ ต่อสตรีทั้งสาม ทุกอย่างหยุดไว้แค่ความพอเหมาะพอดีมีมารยาทเท่านั้น
ยามที่อยู่ร่วมกับสตรีจำนวนมาก ไม่ควรเผยท่าทีว่าจะเลือกใครคนใดคนหนึ่ง เพราะยามที่สตรีอยู่ด้วยกันล้วนหน้าบาง ดังนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วบุรุษส่วนใหญ่มักจะต้องกลับไปมือเปล่า อย่างมากสุดก็ได้ใจสาวงามไปแค่คนเดียว ส่วนสตรีคนอื่นๆ ก็จะเปลี่ยนจากคนร่วมทางกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไป
แน่นอนว่าเซียนกระบี่หมี่ไม่ได้มีความคิดอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร เขาออกจากภูเขามาครั้งนี้ก็เพื่อทำธุระอย่างจริงจัง
การจัดการกับปีศาจภาพวาดในวัดอวิ๋นซานเขตการปกครองหวงฮวาชายแดนแคว้นหวงถิงไม่คณามือเหล่าผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนแม้แต่น้อย สตรีในภาพวาดเป็นแค่ผีสาวขอบเขตถ้ำสถิตตนหนึ่ง แล้วก็จะไปอยู่ที่ตำหนักฉางชุนด้วย หมี่อวี้ที่อยู่ด้านข้างรับชมอย่างสบายตา วัดอวิ๋นซานซาบซึ้งในพระคุณอย่างยิ่ง ที่ว่าการในท้องถิ่นได้ผูกสัมพันธ์ควันธูปชั้นหนึ่งกับตำหนักฉางชุน ทุกคนต่างก็ยินดี
กลับเป็นสถานที่เล็กๆ ที่ชื่อว่าเขตการปกครองอวิ๋นสุ่ย ท่ามกลางหน้าผาของถ้ำหินแห่งหนึ่งในป่าลึก ‘เทพเซียนผู้เฒ่า’ ที่เป็นคอขวดขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นทำให้หมี่อวี้ได้เปิดโลกทัศน์ไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าบนโลกจะมีผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนจนเนื้อหนังของตัวเองเป็นดั่งคุกที่กักขังจิตหยินอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดร่างของผู้ฝึกตนเฒ่าถึงฝังเลื่อมอยู่ในผนังถ้ำ ทุกข์ทนจนพูดไม่ออกมาหลายสิบปีแล้ว ผมยาวเหมือนเถาวัลย์ที่ลากไปตามพื้น ผิวหนังไม่ต่างจากก้อนหินหรือเปลือกไม้ จุดจบที่น่าเวทนาเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง การที่ต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะว่าได้รับคัมภีร์เป็นเซียนยามทิวามาบทหนึ่ง แต่กลับเป็นบทเล็กๆ ที่ไม่สมบูรณ์ เขาไม่ยินดีที่จะเปิดเผยมรรคกถา ฝึกตนจนหลงเดินทางผิด นี่ก็คือความน่าจนใจของผู้ฝึกตนอิสระ ต่อให้มีกระดูกแห่งเซียน อีกทั้งยังมีโชควาสนาแห่งเซียน แต่ขอแค่โชควาสนาของเซียนไม่มากพอ อีกทั้งไม่มีอาจารย์บนภูเขาคอยชี้แนะ จะกลายเป็นดั่งขนนกบางเบาที่ล่องลอยได้อย่างไร (ในสมัยโบราณเชื่อว่าเมื่อฝึกตนจนกลายเป็นเซียนแล้วจะรู้สึกตัวเบาเหมือนขนนกที่ล่องลอยพ้นจากโลกีย์ได้)
ผู้ฝึกตนเฒ่าถูกกักขังอยู่ในนี้มานานหลายปี สีหน้าอ่อนระโหยเต็มที และจิตวิญญาณก็ใกล้จะเน่าเปื่อยแล้ว จึงได้แต่ไปเข้าฝันคนตัดต้นไม้คนหนึ่ง แล้วบอกให้คนตัดต้นไม้นำความไปบอกแก่ที่ว่าการในท้องถิ่น หวังว่าจะส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังตำหนักฉางชุน ช่วยให้เขาสละร่างไปจากโลกนี้ หากทำเรื่องนี้สำเร็จจะต้องมีค่าตอบแทนให้คนที่ช่วยส่งข่าวให้อย่างงาม
หมี่อวี้รู้กาลควรอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนนอก จึงไม่ได้ขยับเข้าใกล้ผนังหินแห่งนั้น บอกว่าจะไปรอที่ตีนเขา เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนโอสถทองเฒ่าคนนั้น ลำพังเพียงแค่มรรคกถาฉบับไม่สมบูรณ์ที่ถูกเทพเซียนผู้เฒ่าพูดอย่างน่าเชื่อถือว่า ‘ขอแค่โชคดีเก็บรวบรวมได้ครบถ้วน ผู้ฝึกตนก็สามารถเป็นห้าขอบเขตบนได้โดยตรง’ เล่มนั้น ก็มีคาถาตระกูลเซียนมากมายที่เซียนดินปรารถนาแม้ในยามหลับฝันแล้ว
การที่รู้เรื่องพวกนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะหมี่อวี้ร่ายใช้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ เขาแค่มองดูเท่านั้น หากคิดว่าเขาจะน้ำลายสออยากได้โชควาสนาน้อยนิดแค่นี้ ก็ช่างหมิ่นเกียรติเขาหมี่อวี้เกินไปแล้ว
หญิงชราแห่งตำหนักฉางชุนมีการเตรียมการไว้ก่อนนานแล้ว นางหยิบกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมออกมาจากกล่องไม้อย่างระมัดระวัง แล้วใช้เวทลับเฉพาะของตำหนักฉางชุนแทงเทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้น จากนั้นก็เก็บจิตวิญญาณของอีกฝ่ายเอามาไว้ในสมบัติหนักตระกูลเซียนชิ้นหนึ่ง คือหยกแกะสลักเป็นรูปโกวหลง คือของที่ถูกฝังไว้ในสุสานจักรพรรดิแคว้นสู่โบราณ ถูกบรรพจารย์ท่านหนึ่งของตำหนักฉางชุนเก็บได้เมื่อครั้งที่ไปค้นหาซากปรักจวนเซียน วัตถุชิ้นนี้สามารถบำรุงความอบอุ่นให้กับจิตวิญญาณได้ดีที่สุด
คำว่าสละร่างไปจุติใหม่ แน่นอนว่าเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น การกลับไปจุติเพื่อมาฝึกตนอีกครั้ง ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ขอบเขตประตูมังกรเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีค่ามากพอให้ตำหนักฉางชุนปฏิบัติด้วยเช่นนี้ และผู้ฝึกตนเฒ่าเองก็ไม่มีขอบเขตและฐานกระดูกเช่นนั้น มีคุณสมบัติมาพูดถึงการสละร่างไปจุติใหม่ซึ่งรักษาสติปัญญาและนิสัยเดิมเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ แต่ไม่มีจิตวิญญาณสติปัญญาที่แท้จริงซึ่งสำคัญที่สุดนั้น ต่อให้ไปเกิดใหม่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจจดจำเรื่องในชาติก่อนได้เลยตลอดชีวิต
เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยน วันหน้าผู้ฝึกตนเฒ่าที่มอบคาถาไม่สมบูรณ์บทนั้นให้แก่ศาลบรรพจารย์ตำหนักฉางชุนสามารถคงรูปร่างเป็นผีหรืออยู่ในสถานะของเค่อชิงไปฝึกตนต่อในแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งของตำหนักฉางชุนได้ ในอนาคตหากเลื่อนเป็นโอสถทองก็จะสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของตำหนักฉางชุน
หมี่อวี้นั่งอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ตรงตีนเขา ดื่มเหล้าหมักข้าวในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เนิบนาบสบายอุรา ยิ่งนานก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความ…ยุ่งวุ่นวายของสำนักตระกูลเซียนทั่วไปแห่งหนึ่งในใต้หล้าไพศาล
ลำพังเพียงแค่เรื่องการคบค้าสมาคมกับที่ว่าการในท้องถิ่น โรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ท่าเรือเทพเซียน สำนักบนภูเขาของแต่ละสถานที่ เห็นคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผี เจอกับเทพเซียนพูดภาษาตระกูลเซียนที่ไม่มีกลิ่นอายของโลกีย์แม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังต้องตั้งใจมานะฝึกตน คนที่อายุมากน้อยก็ต้องคอยถ่ายทอดมรรคาไขข้อข้องใจให้กับเด็กรุ่นหลัง ทั้งต้องให้เด็กรุ่นหลังประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่อาจทำให้เด็กรุ่นหลังเกิดความคิดเป็นอื่นไปสวามิภักดิ์สำนักอื่น…เหนื่อย ช่างน่าเหนื่อยจริงๆ
หมี่อวี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดใต้เท้าอิ่นกวานถึงได้เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน
เพราะใต้เท้าอิ่นกวานคือมือดีในด้านนี้ อายุน้อยกลับสามารถอยู่บนยอดสูงสุดได้แล้ว
เพราะคำพูดคำจาที่หญิงชราใช้กับผู้คนในพื้นที่ต่างๆ สำหรับในสายตาของหมี่อวี้ที่เห็นตัวเองเป็นนอกซึ่งไม่เชี่ยวชาญในด้านนี้แล้ว อันที่จริงยังมีข้อบกพร่องอยู่อีกมาก ยกตัวอย่างเช่นยามที่พูดจากับผู้อาวุโสบนภูเขาด้วยดี สีหน้าของนาง โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่จริงใจมากพอ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบความจริงใจที่ออกมาจากหัวจิตหัวใจแท้ๆ ราบรื่นดุจน้ำมาคลองสำเร็จ ดั่งคำที่กล่าวว่า ‘ผู้อาวุโสท่านไม่เชื่อข้า แต่ท่านจะไม่เชื่อตัวท่านเองหรือ’ ซึ่งทำให้คนเชื่ออย่างหมดใจของใต้เท้าอิ่นกวานได้ติด และยามที่เดิมทีควรพูดคุยกับเด็กรุ่นหลังของภูเขาลูกอื่นอย่างอ่อนโยน ความเย่อหยิ่งทะนงตัวที่เผยออกมาจากกระดูกของนางนั้นก็ยังเก็บงำไว้ได้ไม่ดีพอ ซ่อนไว้ได้ไม่ลึกพอ ส่วนยามที่ควรจะพูดจาเด็ดขาด คำพูดของหญิงชราก็จะมากเกินไปอยู่เสมอ สีหน้าแสร้งทำเป็นแข็งกระด้างเกินไป ทำให้หมี่อวี้รู้สึกว่าคำพูดมากเกินไป แต่พลังสยบยังไม่เพียงพอ
ระหว่างที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้ม พอหรี่ตาก็ฆ่าคนในเสี้ยววินาที
เมื่อจัดการกับเรื่อง ‘สละร่างลาจากโลกนี้’ ได้สำเร็จ มาเจอกันที่ตีนเขาอีกครั้ง หญิงชราอารมณ์ไม่เลว น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่อวี๋หมี่เดินจากมาอย่างรู้กาลเทศะก่อนหน้านี้อยู่มาก
หลังจากนั้นพวกนางก็ไปเยือนศาลบู๊ใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่ง ช่วยเอาเสื้อเกราะที่ทำขึ้นจากวิธีการลับบนภูเขามาห่มบนร่างของวิญญาณวีรบุรุษที่เป็นแม่ทัพบู๊ซึ่งรบตายในสนามรบ ตอนกลางคืนเขาสามารถออกมาเดินได้อย่างไม่เป็นปัญหา ไม่ถูกพายุลมกรดรุนแรงในฟ้าดินพัดเป่าดวงวิญญาณ ส่วนช่วงกลางวัน วิญญาณวีรบุรุษแม่ทัพบู๊ก็จะกลายร่างเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในกระถางสองหูสลักคำว่า ‘เน่ยถานเจียวเซ่อ’ ที่วิญญูชนท่านหนึ่งของสำนักศึกษาเขียนด้วยลายมือตัวเองซึ่งเป็นของสะสมของหญิงชรา จากนั้นก็ให้จงหนันจุดธูปด้วยตัวเองดอกหนึ่ง ยามที่ขึ้นเขาจุดธูปภูเขา ยามที่ข้ามน้ำจุดธูปน้ำ ให้จงหนันคอยถือกระถางธูปไว้ตลอดเวลา น้อยครั้งที่จะทะยานลม อย่างมากก็แค่นั่งเรือข้ามฟากของตระกูลเซียน เมื่อถึงยามนั้นก็จะจุดธูปเมฆาเรืองที่ทำจากสูตรลับของภูเขาเมฆาเรือง
ต่อให้จะเป็นการเดินทางตอนกลางคืน วิญญาณวีรบุรุษตนนั้นก็ยังคงเงียบขรึมพูดน้อย ในสายตาของผู้ฝึกตนหญิงทั้งหลาย หมี่อวี้เองก็เหมือนว่าจะพูดน้อยลงไปด้วย
นับแต่โบราณมา แม่ทัพผู้ห้าวหาญ บุคคลผู้กร้าวแกร่ง หลังตายไปปราณความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งยากที่จะสลายหายไป จึงสามารถเรียกว่าวิญญาณวีรบุรุษได้
ครั้งนี้ผู้ฝึกตนของตำหนักฉางชุนมาเพื่อนำทางวิญญาณวีรบุรุษไปยังเขตการปกครองถงหลูของเมืองหลวงต้าหลี วิญญาณวีรบุรุษจะรับหน้าที่เป็นเซ่อกง (หรือเซ่อเสิน เทพแห่งผืนดิน) ก่อน หากผ่านการทดสอบจากกรมพิธีการ รออีกแค่ไม่กี่ปีก็จะสามารถสำรองเป็นเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอได้
ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้มีแค่เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ เกิดขึ้นสองเรื่องเท่านั้น ครั้งหนึ่งคือเจอกับผีออกอาละวาดในเมืองแห่งหนึ่ง นายพรานล่าสัตว์สามคนถูกผีอำติดต่อกัน สะลึมสะลือคล้ายไม่ได้สติอยู่ทั้งวัน พอถึงตอนกลางคืนจะออกจากบ้านมารวมตัวกันคล้ายเดินละเมอ พอเจอกันแล้วก็ยืนอยู่ที่เดิมแล้วตบปากกันเอง ทั้งศาลเทพอภิบาลเมืองและเทพแห่งผืนดินต่างก็จนปัญญา
หญิงชราจึงให้ ‘อาจารย์อา’ จงหนันไปตั้งแท่นพิธี วางตำราบทอสนี อัญเชิญแม่ทัพเทพลงมา ผลคือสามารถจับตัวเซียนจิ้งจอกเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรตนหนึ่งได้สำเร็จ ปีศาจจิ้งจอกเฒ่าโอดครวญไม่หยุด ร้องระบายทุกข์กับเซียนซือหญิงทั้งหลายด้วยน้ำเสียงร้าวรานปานจะขาดใจ บอกว่าพวกนายพรานเหล่านั้นสังหารศิษย์ลูกศิษย์หลานของมันไปหลายสิบตัว บัญชีนี้ควรจะคิดกันอย่างไร หากไม่ใช่เพราะมันขัดขวางไว้ไม่ให้พวกศิษย์ลูกศิษย์หลานแก้แค้น ป่านนี้นายพรานทั้งสามก็ตายไปนานแล้ว แค่โดนตบหน้าไม่กี่ร้อยที มันเกินไปจริงหรือ?
หญิงชราคร้านจะพูดจาไร้สาระกับภูตจิ้งจอกตนนั้น เตรียมจะใช้เวทอสนีสังหารอีกฝ่ายให้ตาย แต่จงหนันช่วยเกลี้ยกล่อม เรื่องนี้จึงจบลงด้วยดี บุญคุณความแค้นครั้งนี้จึงเลิกรากันแต่เพียงเท่านี้ นางไม่ลืมหันไปเอ่ยเตือนจิ้งจอกเฒ่า หวังว่าวันหน้ามันจะตั้งใจฝึกตนให้ดี อยู่ในที่พักของตัวเองอย่างสงบเสงี่ยม อย่าออกมาเพ่นพ่านให้พวกนายพรานเห็นง่ายๆ อีก ทว่าหญิงชรากลับไม่ค่อยพอใจนัก นางสั่งสอนจิ้งจอกเฒ่าอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่ง จิ้งจอกเฒ่าได้แต่หดคอลงอย่างขลาดกลัว บอกว่าตนจะมอบเงินส่วนหนึ่งเป็นการชดเชยให้กับสามคนนั้น จงหนันทำท่าจะพูดต่อ แต่พอเห็นสีหน้าของหญิงชรา นางก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก สุดท้ายนางกลับถูกหญิงชราตำหนิอยู่หลายคำ บอกว่าปฏิบัติต่อพวกภูตผีตามภูเขาเช่นนี้ไม่ควรจะใจอ่อนแบบนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบเซียนกระบี่หมี่เพียงแค่มองดูดาย นั่งดื่มเหล้าอยู่บนราวรั้วเท่านั้น
หากอิ่นกวานอยู่ที่นี่ ผลลัพธ์คงไม่เป็นเช่นนี้กระมัง
แต่แม่หนูที่ชื่อว่าหานปี้ยาคนนั้นกลับทำให้หมี่อวี้ต้องมองนางเสียใหม่ นางพึมพำในใจตัวเองว่า จิ้งจอกเฒ่าแค่ยอมรับผิดก็พอแล้ว ยังต้องชดใช้เงินกับผายลมอะไรอีก
หมี่อวี้ได้ยินอย่างชัดเจน
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่นี่นะ
นอกจากนี้ก็เป็นครั้งที่อยู่กลางเขาห่างไกลร้างผู้คน พวกนางเจอกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีคนหนึ่งที่ออกมาเที่ยวผ่อนคลายจิตใจ คือสตรีคนหนึ่ง ตรงเอวของนางห้อยดาบรบของกองทัพต้าหลี แต่ถอดเสื้อเกราะออก เปลี่ยนมาสวมชุดผ้าแพรที่แขนเสื้อเล็กแคบ สวมกระโปรงผ้าโปร่งสีหมึก บนรองเท้าที่ปักลายอย่างประณีต ตรงปลายแหลมของรองเท้ามีไข่มุกสองเม็ดห้อยย้อย ตอนกลางวันเห็นประกายแสงไม่ชัด ทว่าตอนกลางคืนกลับเป็นเหมือนดวงตามังกรที่ส่องสว่างสุกสกาว นางพบเจอกับผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนในศาลาชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งบนยอดเขา