บทที่ 689.6 พบเจอในยุทธภพทักทายว่าลำบาก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตอนนั้นเท้าข้างหนึ่งของสตรีเหยียบอยู่บนแผ่นหลังของเทพภูเขาองค์หนึ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เทพภูเขาที่น่าสงสารกำลังบอกเล่าเรื่องลับของเซียนซือท่านหนึ่งในอาณาเขตการปกครอง ส่วนสตรีก็แหงนหน้าร่ำสุรา เห็นผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนก็เช็ดปาก โยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งไปนอกหน้าผา นางใช้นิ้วโป้งชี้ไปยังที่อื่น ความหมายนั้นชัดเจนยิ่ง สถานที่แห่งนี้มีเจ้าของแล้ว รบกวนทุกท่านจงไปที่อื่น

หญิงชราขมวดคิ้วมุ่น ตำหนักฉางชุนมีวิชาตระกูลเซียนบทหนึ่งที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ สามารถหล่อหลอมแสงอรุโณทัยและแสงจันทร์ได้ ทุกๆ วันที่สิบห้า โดยเฉพาะในช่วงยามจื่อ (ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) จะต้องเลือกยอดเขาของภูเขาสูงที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณมาหล่อหลอมแสงจันทร์

และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมที่สุดในการฝึกตนของค่ำคืนนี้

ไปที่อื่น การหลอมแสงจันทร์และการหลอมแสงตะวันของเช้าวันพรุ่งนี้ก็จะถูกลดทอนไปเกินครึ่ง

สตรีผู้ฝึกตนยกเท้าถีบเทพภูเขาที่เพิ่งได้เข้าสู่ทำเนียบวงศ์ตระกูลของกรมพิธีการได้ไม่นาน ฝ่ายหลังรีบมุดดินหนีไปทันที จะไม่เข้าร่วมคลื่นมรสุมบนภูเขาอย่างเทพเซียนตีกันเช่นนี้เด็ดขาด

สิ่งที่ทำให้หญิงชราไม่ยอมถอยให้อย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ประโยคหนึ่งของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนนั้น สตรีจากตำหนักฉางชุนอย่างพวกเจ้า ยามอยู่บนสนามรบไม่เคยเห็นสักคน ตอนนี้กลับพากันโผล่หัวออกมา เป็นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นหลังฝนตกกันหรือ?

ไม่เพียงเท่านี้ สตรียังเงยหน้าขึ้น เอ่ยพึมพำกับตัวเองอีกประโยคหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ไม่มีฝนนี่นา

หมี่อวี้ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแต่ในใจกลับรู้สึกรื่นหูยิ่งนัก ฟังเข้าสิ คำพูดคำจาช่างคล้ายใต้เท้าอิ่นกวานยิ่งนัก ใกล้ชิด รู้สึกใกล้ชิดอย่างยิ่ง

สุดท้ายสาเหตุที่คลื่นมรสุมครั้งนี้ไม่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นหายนะใหญ่ก็เรียบง่ายมาก สตรีผู้ฝึกตนคนนั้นเห็นหญิงชราหน้าเขียวก็ไม่พูดพล่าม บอกว่าให้สองฝ่ายมาประลองฝีมือกันดู นางจะไม่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลี แล้วก็ไม่พูดถึงสถานะลูกศิษย์ของยอดเขาเหวินชิง ไม่แบ่งเป็นตาย ไม่มีความจำเป็น นั่นจะทำลายความปรองดองมากเกินไป ขอแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลุกไม่ขึ้นเป็นพอ จำไว้ว่าใครก็ห้ามกลับไปร้องไห้ฟ้องสำนักเด็ดขาด น่าเบื่อจะตายไป

พอหญิงชราได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากยอดเขาเหวินชิงของศาลลมหิมะ ไฟโทสะก็มอดดับลงทันที เป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยด้วยตัวเอง

หญิงสาวผู้นั้นคงจะรู้สึกหมดสนุกจึงทะยานลมออกไปจากศาลาโดยตรง

หมี่อวี้มองตามไป สตรีแบบนี้จึงจะมีรสชาติของสุราบ้านเกิดอยู่บ้าง

หลังจากนั้นหญิงชราก็นำพาสตรีทั้งหลายที่มีจงหนันเป็นหนึ่งในนั้นฝึกตนเข้าฌานอยู่ในศาลา

หมี่อวี้จากมาเพียงลำพังอีกครั้ง

เขามาเอนตัวนอนอยู่บนกิ่งไม้ท่ามกลางป่าเขาของภูเขาลูกอื่น ดื่มเหล้าเพียงลำพัง

หยิบเอายันต์กระดาษเหลืองที่สามารถออกคำสั่งแก่ขุนเขาสายน้ำได้ออกมาแผ่นหนึ่ง ใช้ปราณกระบี่เล็กน้อยจุดไฟเผายันต์แล้วโยนมันทิ้งไป

เพียงไม่นานเทพภูเขาน้อยองค์นั้นก็ปรากฏกายอยู่ใต้ต้นไม้ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าเซียนซือ

หมี่อวี้ถามต้นสายปลายเหตุแล้วก็หลุดหัวเราะพรืด ที่แท้จวนวารีของพ่อปู่ลำคลองแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงมีนิสัยชอบบังคับเอาผีหญิงมาเป็นอนุภรรยา มีผีหญิงเอาเรื่องไปฟ้องศาลเทพเจ้าที่แต่ไม่ได้ผล กลับกันเทพเจ้าที่ยังเอาความลับไปแพร่งพรายให้พ่อปู่ลำคลองฟัง นางจึงเกือบจะโดนโบยตายคาที่ ผีหญิงเอาเรื่องไปฟ้องศาลเทพอภิบาลเมืองของอำเภอต่อ พ่อปู่ลำคลองผู้นั้นทำตัวกำเริบเสิบสานมาจนชินแล้ว ถึงขั้นกระชากผมของผีสาวลากไปถึงในศาลเทพอภิบาลเมือง ต้องการโบยผีสาวให้ตายต่อหน้าเทพอภิบาลเมืองที่เป็นสหายรัก ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นผ่านทางมาเจอเข้าพอดี บางทีอาจเป็นเพราะติดที่กฎเกณฑ์แห่งขุนเขาสายน้ำซึ่งต้าหลีเป็นผู้กำหนด นางจึงได้แต่รายงานเรื่องนี้ไปยังกรมพิธีการ ไม่อาจสังหารพ่อปู่ลำคลอง เทพเจ้าที่และเทพอภิบาลเมืองด้วยมือตัวเองได้ ดังนั้นคืนนี้นางถึงได้ออกมาผ่อนคลายอารมณ์ที่ภูเขาลูกนี้ ลากเอาเทพภูเขาที่น่าสงสารมาระบายอารมณ์ เหตุผลก็คือเขาบกพร่องต่อหน้าที่

หมี่อวี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามว่า “หากมีคุณความชอบทางการทหารติดกาย ตามกฎของกองทัพต้าหลี ไม่ใช่ว่าสามารถเอามาแลกเปลี่ยนเป็นหัวคนได้หรอกหรือ? ดูจากท่าทางแล้วสตรีผู้นั้นก็น่าจะสะสมคุณความชอบเอาไว้ไม่น้อย”

เทพภูเขาน้อยผู้นั้นใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง “เซียนซือหญิงท่านนั้นมีคุณความชอบเยอะจริง สั่งสมชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้บนสนามรบ ดูเหมือนว่าทูตผู้ตรวจการของต้าหลีท่านหนึ่งยังเคยเอ่ยปากชมเชยนาง เรื่องนี้แม้แต่ข้าน้อยยังเคยได้ยินมา แต่ดูเหมือนว่านางจะยกคุณความชอบให้สหายไปแล้ว”

หมี่อวี้ที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้โบกมือยิ้มเอ่ย “นายท่านเทพภูเขาไประงับความตกใจให้ตัวเองก่อนเถอะ”

หมี่อวี้พึมพำ “เป็นแม่นางที่ดีจริงๆ”

หมี่อวี้ทำท่าขนลุกขนชัน หันขวับไปมอง

บนกิ่งไม้ที่ห่างไปไม่ไกลมีสตรีพกดาบยืนตระหง่านอยู่คนหนึ่ง

หมี่อวี้เงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มถามว่า “ผีสาวตนนั้น?”

สตรีไม่เอ่ยอะไรสักคำ

หมี่อวี้จึงได้แต่ดื่มเหล้าของตัวเองต่อไป

นางหัวเราะหยันเอ่ยว่า “คนที่ร่วมเดินทางมาพร้อมกับผู้ฝึกตนหญิงตำหนักฉางชุนก็กล้าสะพายกระบี่ไว้บนร่าง แสร้งทำตัวเป็นมือกระบี่ เป็นจอมยุทธพเนจรอย่างนั้นรึ?”

หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “บอกตามตรง ข้าเคยเจอเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยมาก่อน ยังเคยดื่มเหล้าร่วมกันด้วย”

สตรีผู้นั้นอึ้งตะลึง เอามือกดด้ามดาบ เอ่ยอย่างเดือดดาล “พูดจาเหลวไหล กล้าหมิ่นเกียรติอาจารย์อาเว่ย อยากตายรึ?!”

หมี่อวี้ระอาใจยิ่งนัก เว่ยจิ้นผู้นั้นตาบอดหรือไร? สตรีแบบนี้ก็ยังมองไม่เห็น?

หมี่อวี้จึงได้แต่โบกมือเอ่ยวิงวอน “ถือเสียว่าข้าถูกผีบดบังจิตใจ พี่สาวอย่าโกรธเลย ข้าหรือจะรู้จักเซียนกระบี่ใหญ่เว่ย ข้าก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่ดื่มเหล้าหมักข้าวของชาวบ้านคนหนึ่ง…”

สตรีเอ่ยเสียงเย็นชา “อาจารย์อาเว่ยไม่มีทางใช้ตบะสูงต่ำ ชาติกำเนิดดีเลวมาแบ่งแยกสหายเด็ดขาด เจ้าพูดจาระวังปากให้มากหน่อย!”

เห็นได้ชัดว่าสตรีไม่ยินดีจะพูดคุยกับคนผู้นี้ต่ออีก ร่างของนางจึงทะยานวูบหายไปประหนึ่งนกที่บินผ่านกิ่งไม้

หมี่อวี้เอนตัวนอนลงบนกิ่งไม้ อารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน

สุดท้ายพวกผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนก็มาถึงประตูภูเขาของศาลลมหิมะ เพียงแต่อวี๋หมี่ผู้นั้นกลับบอกว่าจะต้องจากไประยะเวลาหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายนัดหมายกันว่าจะไปเจอกันที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง

หมี่อวี้มีธุระจริงๆ เขาต้องไปหาอวี๋เวิงเซียนเซิงที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี บอกกล่าวตัวตนที่แน่ชัดของตัวเอง แน่นอนว่าคือตัวตนอวี๋หมี่ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว และยังพกจดหมายลายมือของเว่ยซานจวินมาด้วยฉบับหนึ่ง รวมไปถึงต้องเล่าเรื่องในอดีตสองสามเรื่องที่ทำให้อาจารย์และศิษย์สามคนเชื่อในตัวตนของเขาหมี่อวี้

เพราะจดหมายที่อิ่นกวานหนุ่มให้เหวยเหวินหลงนำมามอบต่อเว่ยป้อนั้นได้พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ หากสุดท้ายแล้วเขาหมี่อวี้เลือกจะอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว ก็ให้หมี่อวี้ไปหาอาจารย์และศิษย์สามคนที่เมืองแยนจือ กลับไปที่ภูเขาห้อยหัวก่อน ถึงเวลานั้นค่อยให้หมี่อวี้เดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปพร้อมกับคนทั้งสาม ให้จ้าวซู่เซี่ยไปอยู่ที่ยอดเขาสิงโต ไปฝึกวิชาหมัดกับผู้อาวุโสหลี่เอ้อ ให้จ้าวหลวนไปฝึกตนอยู่กับจวนไฉ่เชวี่ย ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าอู๋สามารถไปเป็นแขกที่นครเหนือเมฆได้ ในช่วงเวลาระหว่างนี้หมี่อวี้สามารถดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ดูว่าจะช่วยชี้แนะให้แก่จ้าวซู่เซี่ยที่ได้รับคาถาปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปแล้วหรือไม่

ทำเรื่องเหล่านี้ หมี่อวี้ยินดีอย่างยิ่ง ก็เหมือนได้กลับไปยังคฤหาสน์หลบร้อน หรือไม่ก็เรือนชุนฟาน

ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันผ่อนคลายสบายอารมณ์ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ยังว่างเปล่าอยู่ดี

ส่งอาจารย์และศิษย์สามคนขึ้นเรือข้ามฟากฟ่านโม่ลำนั้น หมี่อวี้ไปหาหลิวจ้งรุ่นแล้วจากนั้นถึงได้ไปยังท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับศาลลมหิมะ

คิดไม่ถึงว่าถึงเวลานัดหมายแล้วแต่ผู้ฝึกตนของตำหนักฉางชุนกลับยังไม่ปรากฏตัว หมี่อวี้รออยู่ครึ่งวันก็ได้แต่ใช้ตบะของผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรทะยานลมไปยังประตูภูเขาของศาลลมหิมะ

ผลคือเห็นว่าพวกนางเพิ่งจะออกมาจากประตูภูเขา หญิงชรามีสีหน้ากลัดกลุ้ม

เรื่องที่สำคัญที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ของพวกนางก็คือไปขอซื้อต้นสนหมื่นปีท่อนเล็กๆ มาจากหอเทพเซียนศาลลมหิมะ เพราะสตรีในครอบครัวของผู้สนับสนุนใหญ่คนหนึ่งของตำหนักฉางชุนต้องใช้ของสิ่งนี้รักษาโรคอย่างเร่งด่วน ผู้สนับสนุนคนนั้นมีอำนาจบารมีอย่างมาก ตอนนี้ได้เป็นทูตผู้ตรวจการของต้าหลีแล้ว ตำแหน่งฝ่ายบู๊ตำแหน่งนี้คือตำแหน่งที่เพิ่งแต่งตั้งขึ้นมาใหม่หลังจากที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ ถูกมองเป็นเสาค้ำยันแคว้นสำหรับแม่ทัพบู๊โดยเฉพาะ หากรวมเฉาผิงกับซูเกาซานแล้ว ทุกวันนี้ตลอดทั้งต้าหลีก็ยังมีอยู่แค่สี่ท่าน และสตรีในครอบครัวของทูตผู้ตรวจการท่านนี้ก็เป็นโรครักษายาก เซียนซือบนภูเขากล่าวอย่างชัดเจนว่ามีเพียงใช้สนหมื่นปีของหอเทพเซียนมาทำเป็นยาเท่านั้นถึงจะสามารถรักษาให้หายได้ มิเช่นนั้นแล้วก็คงได้แต่ต้องไปขอร้องเทพเซียนห้าขอบเขตบนของสำนักโอสถแล้ว

แต่ไม่บังเอิญเลยก็คือ แม่ทัพใหญ่ผู้นั้นมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับภูเขาเจินอู่ แต่กลับไม่ถูกกับศาลลมหิมะอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไหว้วานให้ตำหนักฉางชุนรับทำเรื่องนี้ หากทำสำเร็จ นอกจากจะตบรางวัลอย่างงามแล้ว ยังถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่เหมือนน้ำเส้นเล็กไหลยาวครั้งหนึ่ง ทำไม่สำเร็จ ตำหนักฉางชุนก็ใคร่ครวญเอาเองแล้วกัน

ราชสำนักต้าหลี หรือควรจะพูดว่าตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้

บนภูเขาไม่เหมือนบนภูเขาแม้แต่นิดเดียวแล้ว

ส่วนต้นสนหมื่นปีที่มีชื่อว่า ‘ฉางฉิง’ (ความรักความสัมพันธ์อันยาวนาน/รักมั่นไม่เสื่อมคลาย) ของศาลลมหิมะต้นนั้นก็เติบโตอยู่ริมหน้าผาของหอเทพเซียนพอดี กิ่งไม้สูงเหนือหลังเขา แต่รากกลับทอดยาวลงไปในธารน้ำ อิงแอบแนบรากภูเขา อาบย้อมไปด้วยโชคชะตาน้ำ ดังนั้นจึงมีประสิทธิผลยามนำมาทำยา เปลือกหนาชุ่นกว่า เมื่อปอกออกแล้วสีสันจะเหมือนอำพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสตรี ไม่ว่าจะเป็นสตรีในตระกูลชนชั้นสูงล่างภูเขาที่การข่าวว่องไว หรือเซียนซือหญิงบนภูเขาที่ยังไม่ถึงวัยหมดระดู ทุกคนล้วนต้องการ น่าเสียดายที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง เหตุผลก็เรียบง่ายมาก สนหมื่นปีอยู่บนหอเทพเซียน และเรื่องของหอเทพเซียนก็ต้องถามเว่ยจิ้นก่อนถึงจะได้ ต่อให้เป็นบรรพจารย์ของศาลลมหิมะ เชื่อว่าก็ยังไม่มีหน้าไปขอเปลือกต้นสนหมื่นปีสักแผ่นเดียวมาจากเว่ยจิ้น

เพราะผู้อาวุโสไท่ซ่างของตำหนักฉางชุนมีความสัมพันธ์เก่าแก่กับบรรพบุรุษสกุลฉินแห่งร่องต้าหนี ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าจะทำเรื่องน้ำสำเร็จ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เงินเทพเซียนสามารถแก้ไขได้เลย เดิมทีหญิงชราคิดว่าแม้เรื่องนี้จะค่อนข้างยากลำบาก แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังเหลือพื้นที่ให้พอจะทำได้ คิดไม่ถึงว่าไปถึงร่องต้าหนีของศาลลมหิมะแล้ว พอบรรพจารย์สกุลฉินได้ยินเรื่องนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที ท่าทียืนกรานหนักแน่น พูดอย่างเด็ดขาดว่าเรื่องนี้มิอาจทำได้เด็ดขาด ขอให้หญิงชราเลิกเพ้อฝันได้เลย

หลังจากหมี่อวี้พบเจอกับผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนก็บอกแค่ว่าตนจะไปลองเสี่ยงดวงที่ศาลลมหิมะดู

แน่นอนว่าไม่ได้ทำเพื่อตำหนักฉางชุน แต่เพราะรู้สึกว่าในเมื่อต้นสนหมื่นปีมีค่ามากขนาดนี้ ในฐานะที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว หากไม่ฟันออกมาสักท่อนใหญ่ๆ จะมีหน้ากลับบ้านได้อย่างไร?

ถึงอย่างไรตอนนั้นที่เดินผ่านสนหมื่นปีต้นนั้นพร้อมกับเว่ยจิ้น เว่ยจิ้นก็เคยเอ่ยว่าหากต้นไม้ต้นนี้ไปงอกที่ยอดเขาเหวินชิง บ่อน้ำมรกต กลับกลายเป็นว่าจะลดทอนปัญหายุ่งยากให้ตนได้ไม่น้อย

เมื่อหมี่อวี้ขึ้นไปบนหอเทพเซียนอย่างคนที่คุ้นชินทางดี เขาก็เริ่มหักกิ่งไม้ หักมาได้กิ่งหนึ่งก็พูดว่าเรื่องดีต้องมาเป็นคู่ จึงหักออกมาสองกิ่ง จากนั้นก็เอ่ยอีกว่าต้องมีสามถึงจะครบถ้วน ในขณะที่หมี่อวี้พึมพำว่าสี่สมบูรณ์ก็มีสตรีผู้หนึ่งทะยานลมมาถึงอย่างรีบร้อน ทั้งสองฝ่ายนับว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี สตรีที่เพิ่งกลับมาเยือนสำนักได้ไม่นานฟาดพายุดาบเข้าใส่ข้างกายของหมี่อวี้ทันใด คิดไม่ถึงว่าคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นวัวสันหลังหวะหรืออย่างไร ถึงได้เอาหัวโหม่งเข้าใส่แสงดาบ จากนั้นก็ทิ้งตัวดิ่งลงไปจากหน้าผา รอกระทั่งสตรีทะยานลมตามไปจะช่วยคนกลับไม่พบร่องรอยใดๆ แล้ว

สตรีย้อนกลับไปมาระหว่างยอดเขากับหุบเขาอยู่หลายรอบ แต่ก็ยังหาเจ้าคนที่หายตัวไปอย่างน่าประหลาดผู้นั้นไม่พบ รอกระทั่งนางหวนกลับมายังข้างต้นสนหมื่นปีด้วยความมึนงง บรรพบุรุษศาลลมหิมะ บรรพบุรุษสกุลฉินสายร่องต้าหนี รวมไปถึงบรรพจารย์สายยอดเขาเหวินชิงของนาง คนทั้งสามต่างก็มารวมตัวกันที่ยอดเขา อาจารย์ยิ้มเอ่ยกับนางว่าไม่ต้องสนใจคนผู้นี้ สตรีอดไม่ไหวถามว่าคนผู้นั้นรู้จักอาจารย์อาเว่ยจริงๆ หรือ?

บรรพบุรุษสกุลฉินร่องต้าหนียิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีอนาคตนะนี่”

บรรพจารย์หญิงจากยอดเขาเหวินชิงแค่นเสียงในลำคอ

บรรพจารย์ศาลลมหิมะที่รูปโฉมเหมือนเด็ก ขี่กระบี่หยุดลอยตัวใช้เสียงในใจเอ่ยกับบรรพจารย์ของศาลบรรพจารย์ทั้งสองท่านว่า “คนผู้นี้เป็นเซียนกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”

หลังจากหมี่อวี้แอบหนีออกมาจากศาลลมหิมะก็บอกว่าหน้าตาตัวเองไม่ใหญ่มากพอ แต่ก่อนที่เรือข้ามฟากที่พวกเขาโดยสารมาจะจอดเทียบท่าที่ภูเขาหนิวเจี่ยว เขากลับแอบยื่นต้นสนหมื่นปีแผ่นหนึ่งให้กับหานปี้ยา บอกว่าเก็บมาได้ระหว่างทาง ไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่แน่ว่าอาจเป็นต้นสนหมื่นปีก็ได้

แม่นางน้อยเอ่ยว่าท่านหลอกกันเล่นกระมัง?

แต่เมื่อต้นสนโบราณแผ่นนั้นมาอยู่ในมือนางกลับมีน้ำหนักมาก

หมี่อวี้ยิ้มตาหยีเอ่ยว่าหลอกเรื่องไม่ต้องจ่ายเงิน หรือหลอกเรื่องต้นสนหมื่นปีล่ะ?

เด็กสาวชอบพูดคุย แต่กลับไม่ค่อยชอบยิ้ม เพราะว่าตัวเองมีฟันกระต่าย นางจึงรู้สึกว่าเวลาตัวเองยิ้มไม่ค่อยน่ามอง

ดังนั้นพอบอกลากับผู้อาวุโสอวี๋หมี่ มองแผ่นหลังสง่างามที่จากไปไกล นางถึงได้แอบยิ้มกับตัวเอง

……

ริมตลิ่งลำน้ำที่ยังขุดเจาะไม่เสร็จสมบูรณ์ของภาคกลางแจกันสมบัติทวีป เด็กหนุ่มชุดขาวขี่อยู่บนหลังของเด็กชายคนหนึ่ง ข้างกายมีหลินโส่วอีที่เร่งเดินทางมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนติดตามมาด้วย

ชุยตงซานกระโดดลงพื้น รับเอาแผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่แผ่นมาจากมือของหลินโส่วอี กวาดตามองรอบด้าน พึมพำเบาๆ ว่า “ลำบากแล้ว”

ก่อนหน้านี้ตัวอักษร ‘ฉี’ เหล่านั้นได้มาถึงมือของเขาแล้ว

และจดหมายคลายพันธะสัญญาฉบับหนึ่งก็ส่งจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาถึงแจกันสมบัติทวีปแล้วเช่นกัน

ชุยตงซานตะเบ็งเสียงตะโกนดังลั่น “ลำบากแล้ว!”

เขาเคยเอ่ยสัพยอกการพบเจอกันอีกครั้งระหว่างหลิ่วชิงเฟิงกับหลี่เป่าเจินว่า พบหน้าเอ่ยคำว่าลำบาก ล้วนเป็นคนในยุทธภพ (คนในยุทธภพยามเจอหน้ากันจะไม่เอ่ยคำว่าสวัสดี จะเอ่ยว่าลำบากแล้ว เพราะรู้ดีว่าทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพอย่างไม่ง่าย ภายหลังคำว่าลำบากแล้วนี้จึงกลายมาเป็นสัญญาณลับอย่างหนึ่งในยุทธภพ)

ตอนนี้ต่อให้ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนถือเป็นยุทธภพ (คำว่ายุทธภพยังแปลตามตัวว่าแม่น้ำและทะเลสาบได้ ดังนั้นประโยคนี้จึงอาจใช้ความหมายว่าแม่น้ำทะเลสาบได้ด้วย) แห่งหนึ่ง แต่อาจารย์เล่าอยู่ที่ใด?