ป้ายกระดูกขนาดเท่าฝ่ามือ สีตุ่นมอซอไม่สะดุดตา

แต่พอหล่นลงในมือหลินสวินกลับเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่สูงตระหง่านลูกหนึ่งกดทับร่าง ด้วยไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างของเขาโคลงเคลงไปหมด ต้องรีบโคจรพลังจึงจะประคองป้ายกระดูกนี้ไว้ในมือดีๆ ได้

“นี่เป็นของที่ใช้ขู่ให้กลัวหรือ”

หลินสวินชะงักไป กำลังจะใช้จิตรับรู้ตรวจสอบกลับถูกเฒ่าโดดเดี่ยวรีบร้อนห้ามไว้ “ถ้าไม่อยากตกใจตาย เจ้าอย่าทำอย่างนี้ดีที่สุด”

ตกใจตายหรือ

หลินสวินสงสัย แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเฒ่าโดดเดี่ยว สุดท้ายเขาจึงไม่ทดลอง

เฒ่าโดดเดี่ยวฉีกยิ้มเอ่ยว่า “แม้พูดว่าเป็นของขู่ให้คนอื่นตกใจกลัว แต่สมบัตินี้ก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้ เจ้าต้องเก็บไว้ให้ดี”

หลินสวินนิ่วหน้า “ของเล่นนี่จะขู่ให้อริยะตกใจกลัวได้หรือ”

เฒ่าโดดเดี่ยวดูถูก “อริยะวิเศษวิโสตรงไหน บอกเจ้าให้เอาบุญ ถ้าอยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ ป้ายกระดูกนี่กินเรียบหมด ขู่ให้พวกเขาตกใจจนหัวหดได้ ถึงอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นของที่ข้ามอบให้ จะธรรมดาทั่วไปได้หรือ”

น้ำเสียงเจือความหยิ่งผยองอย่างบอกไม่ถูก

หลินสวินจับป้ายกระดูกเล่น สายตาไหววูบ จ้องเฒ่าเดียวดายพลางเอ่ยว่า “หรือให้ข้าลองหน่อยไหม”

เฒ่าโดดเดี่ยวอึ้งไป พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ของของข้าจะทำให้ข้าตกใจได้อย่างไร เจ้าหนูอย่าคิดเล่นพิเรนทร์หน่อยเลย จำไว้ สิ่งนี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ถ้าไม่ได้คับขันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่าใช้ง่ายๆ เด็ดขาด”

พอพูดจบก็ไม่ให้โอกาสหลินสวินได้ตอบโต้ เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง

ทันใดนั้นเงาร่างทั้งสองก็ลับตาไป

……

ณ ส่วนลึกของพระราชวังในจักรวรรดิ มีเขตหวงห้ามแห่งหนึ่งอยู่

ตำหนักเก่าแก่ตั้งตระหง่านหลังหนึ่ง หน้าตำหนักมีแท่นบูชาห้าสีที่มีกลิ่นอายโบราณเจนโลกแท่นหนึ่งตั้งอยู่ ดุจดั่งดำรงมาช้านาน

บนตำหนักมีแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ ตำหนักกระหายเลือด

หลินสวินจำได้ทันทีว่าตนเคยมาที่นี่แล้ว!

สมัยเข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือดครั้งแรก เขาก็ถูกจ้าวไท่ไหลพามาที่นี่ อาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณชิ้นนี้เดินทางออกไป

เพียงแต่คราวนี้พอได้เห็น ‘ตำหนักกระหายเลือด’ นั้น ได้เห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณค่ายนั้นอีกครั้ง หลินสวินก็นึกถึงเรื่องราวมากมาย

“นี่เป็นสิ่งที่ท่านลู่วางเองกับมือกระมัง”

หลินสวินเอ่ยเสียงเบา

เฒ่าโดดเดี่ยวถาม “ใครหรือ”

หลินสวินตอบ “ลู่ป๋อหยา”

เฒ่าโดดเดี่ยวเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เจ้ารู้แล้วหรือ”

“การก่อตั้งค่ายกระหายเลือดก็เกี่ยวข้องกับท่านลู่ การมีอยู่ของตำหนักกระหายเลือดแห่งนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับท่านลู่ได้อย่างไร”

หลินสวินเจืออารมณ์ทอดถอนใจ “ตามการคาดเดาของข้า เป็นไปได้สูงที่ท่านลู่จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง จากความเชี่ยวชาญในการสลักรอยวิญญาณของเขาแล้ว การวางค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

เฒ่าโดดเดี่ยวร้องอืมแล้วเอ่ยว่า “สิบกว่าปีก่อนฟ้าดินแปรผันฉับพลันปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ สมรภูมิกระหายเลือดนั่นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เจ้าไปก็จะรู้เอง”

เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง

วิ้ง!

แท่นบูชาห้าสีเก่าแก่นั้นเปล่งแสง ฉับพลันเกิดเสียงร้องสะเทือนเลื่อนลั่นพิสดารราวตื่นขึ้นจากความเงียบสงัด

หลินสวินกำลังเตรียมเดินทางกลับถูกเฒ่าเดียวดายขวางไว้ ดวงตาปรากฏแววประหลาดจับจ้องหลินสวิน “บนตัวเจ้ายังมีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตอีกตัวหนึ่ง”

หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว นี่โดนมองออกแล้วหรือ

‘เสี่ยวอิ๋น ออกมาเถอะ’ เขาคิดในใจ

เสียงฉึบดังขึ้น เงาร่างของเสี่ยวอิ๋นเคลื่อนตัวออกมา

แววประหลาดผุดขึ้นในดวงตาของเฒ่าโดดเดี่ยว จ้องเสี่ยวอิ๋นเขม็งครู่สั้นๆ แล้วถึงยิ้มเงียบๆ เอ่ยว่า “น่าสนใจ หนอนกินเทพที่บรรลุมกุฎมรรคาตัวหนึ่ง ทั้งยังปลุกอภินิหารพรสวรรค์ กลายเป็นราชันหนอนระดับอมตะที่แท้จริง ยุคบรรพกาลยังไม่พบสักตัว… ดูท่าในมหายุคครั้งนี้ เจ้าตัวเล็กนี่ก็คงได้วาสนากับผลประโยชน์ไม่น้อย”

มองปราดเดียวก็ดูเบื้องลึกเบื้องหลังของเสี่ยวอิ๋นออกทะลุปรุโปร่ง!

หลินสวินลอบสั่นสะท้านในใจ หรือตาแก่นี่จะเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่งจริงๆ

“พวกเจ้าไปเถอะ”

เฒ่าเดียวดายชักสายตากลับมาแล้วโบกมือ ทั้งไม่ได้ห้ามไม่ให้เสี่ยวอิ๋นไปกับหลินสวิน

“ผู้อาวุโส ลาล่ะขอรับ”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วพาเสี่ยวอิ๋นก้าวเท้าขึ้นไปบนแท่นบูชา

ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็หายลับไป

เฒ่าเดียวดายจับจ้องภาพนี้เงียบๆ จนกระทั่งค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง เขาพ่นลมหายใจขุ่นออกมาเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอ่ยพึมพำว่า “ก่อนบรรลุมกุฎอริยะ ก็ต้องดูว่าเจ้าจะคว้าจุดเปลี่ยนครั้งนี้ ทำลายคำสาปต้องห้ามอย่างเคราะห์มรรคตัดขาดได้หรือไม่แล้ว…”

…..

สมรภูมิกระหายเลือด

ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล หมู่ภูเขารวมตัวต่อเนื่องกันไปเป็นทิวแถวสูงต่ำ ไอวิญญาณสีม่วงหนาแน่นราวทะเลเมฆปั่นป่วน ไหลวนพลุ่งพล่านบนเวิ้งฟ้า

ภูผาธาราบนผืนปฐพีดั่งภาพวาด!

ภูเขาทุกลูกต่างงามเด่นเหนือธรรมดา เขียวชอุ่มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

แม่น้ำทุกสายต่างอบอวลไปด้วยหมอกวิญญาณ ประกายดุจเกล็ดมัจฉาปรากฏขึ้นยามคลื่นน้ำซัดขึ้นลง กระทั่งหินผาและต้นไม้ใบหญ้าต่างมีสีสันเปล่งประกายกระจ่างใส

ในห้วงอากาศยังอบอวลไปด้วยไอวิญญาณอันหนาแน่น

ที่จุดสูงสุดของยอดเขาสูงชันลูกหนึ่งมีเมฆวิญญาณไอมงคลสีม่วงสายแล้วสายเล่าปลิวไหว เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น มองออกไปรอบด้าน สีหน้าเจือแววตื่นตะลึงที่สลัดไม่หลุด

คนผู้นี้ก็คือหลินสวินที่เพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด

เพียงแต่เวลานี้เขากลับสงสัยว่าตนมาผิดที่!

ในความทรงจำของหลินสวิน สมรภูมิกระหายเลือดฟ้าดินหมองหม่น ผืนดินขมุกขมัว กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทุกที่มีแต่สัญญาณแห้งแล้งรกร้าง ต้นหญ้าไม่อาจถือกำเนิด

เหนือผืนดินแห่งนั้นซากศพที่เน่าเปื่อยยับเยินกระจายอยู่ท่ามกลางฝุ่นธุลี กลิ่นคาวเลือดเหม็นเน่าที่ไม่อาจหายไปอบอวลอยู่ในอากาศ

ความมืดมิด เงียบงัน นองเลือด หดหู่… บรรยายภาพอันหมองมัวของสมรภูมิกระหายเลือดได้คร่าวๆ

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในสมรภูมิกระหายเลือดไม่มีไอวิญญาณ!

กองทัพผู้ฝึกปราณที่ประจำการอยู่ที่นี่ต่างต้องอาศัยโอสถวิญญาณและลูกกลอนวิญญาณมาเติมพลังของตน

แต่ตอนนี้…

ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว!

กลางฟ้าดินสรรพสิ่งเจริญงอกงาม ไอวิญญาณหนาแน่น ภูผาธารางดงามอัศจรรย์ ไอวิญญาณกับพลังชีวิตไหลหลั่งราวกระแสน้ำเชี่ยว อบอวลออกมาทั่วฟ้าดิน

ที่นี่ใช่สมรภูมิกระหายเลือดในความทรงจำของเขาเสียที่ไหน เป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลและสวยงามประหนึ่งเรือนเซียนแดนมงคล!

ดอกไม้ใบหญ้าพวกนั้นต่างมีแสงวิญญาณเปล่งปลั่งรวมตัว แม้ไม่ใช่โอสถวิญญาณแต่กลับต่างจากต้นไม้ใบหญ้าทั่วไปโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็น ‘วัตถุวิญญาณ’

หลินสวินหายใจ ในปากและจมูกมีแต่ไอวิญญาณสดใหม่ เข้มข้น และอุดมไปด้วยพลังชีวิตกระชุ่มกระชวย รู้สึกเพียงสดชื่นปลอดโปร่งไปครู่หนึ่ง

‘ในช่วงเวลาสิบกว่าปี เปลี่ยนไปหมดแล้ว…’

‘ความหนาแน่นและบริสุทธิ์ของไอวิญญาณที่นี่ไม่ด้อยไปกว่าแดนเก้าบนแดนมกุฎเลย!’

‘ไม่สิ! ไอวิญญาณในโลกนี้ยังมีพลังเจตะอยู่รางๆ มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งระดับอมตะ’

‘ถ้าฝึกปราณที่นี่วันเดียว ก็เทียบเท่ากับฝึกปราณที่โลกภายนอกหนึ่งเดือน!’

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินถึงสงบใจลงช้าๆ เริ่มตั้งสมาธิสัมผัสสมรภูมิกระหายเลือดที่แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแห่งนี้

ยิ่งระดับฝึกปราณสูงขึ้นเท่าไร เงื่อนไขของทรัพยากรก็ยิ่งเข้มงวด

ปลาตัวหนึ่งสามารถแหวกว่ายอย่างสุขใจในบ่อโคลน แต่เมื่อปลาแปรสภาพเป็นมังกรยักษ์ บ่อโคลนเล็กๆ บ่อหนึ่งจะรับไว้ได้อย่างไร

ในวัยเยาว์ หลินสวินฝึกปราณที่จักรวรรดิก็เปรียบดั่งปลาเติบโตขึ้นในบ่อโคลน

แต่เขาในตอนนี้เป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดแล้ว หากยังฝึกปราณในจักรวรรดิ ชั่วชีวิตก็คงไม่อาจบรรลุระดับมกุฎอริยะได้

เหตุผลก็ง่ายดายนัก ทรัพยากรฝึกปราณในอาณาจักรไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของเขาได้ อีกทั้งยังขาดจุดเปลี่ยนมหามรรคที่จำเป็นต่อการฝึกปราณด้วย!

แม้ฟ้าดินแปรผันฉับพลันในปัจจุบันทำให้จักรวรรดิไม่เหมือนเดิม แต่หากต้องการเสาะแสวงหาวิธีบรรลุมกุฎอริยะ เขาก็ทำได้เพียงมาที่สมรภูมิกระหายเลือดเท่านั้น

‘มิน่าจักรพรรดิถึงเคยกล่าวว่าในโลกชั้นล่างมีจุดเปลี่ยนของการบรรลุมกุฎอริยะอยู่เช่นกัน สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้เปลี่ยนไปพร้อมกับการเกิดขึ้นของฟ้าดินแปรผันฉับพลันแล้ว…’

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ยอมรับความเป็นจริงตรงหน้าโดยสมบูรณ์

ฉึบ!

ครู่ต่อมาเงาร่างของหลินสวินก็หายไปจากที่เดิม

สองชั่วยามผ่านไป

ที่ริมฝั่งแม่น้ำกว้างใหญ่ไพศาลสายหนึ่ง เงาร่างของหลินสวินโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว แววฉงนไหวเคลื่อนในดวงตา

สมรภูมิกระหายเลือดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ตามความทรงจำของเขา เดิมนึกว่าไม่นานก็หาทางเข้าป่าต้นหม่อนพบ

แต่กลับไม่เคยคิดว่าโลกนี้จะต่างจากในความทรงจำของเขาโดยสมบูรณ์ ใหญ่ขึ้นไม่รู้กี่เท่า!

‘ทิศตรงข้ามกับอาทิตย์ตกดิน สถานที่ที่พระอาทิตย์ขึ้นก็คือค่ายของจักรวรรดิข้า’

นี่คือประโยคที่อยู่บนหนังสือคู่มือหนังสัตว์ที่จ้าวไท่ไหลมอบให้หลินสวิน สมัยเขาเข้ามาในสมรภูมิกระหายเลือดครั้งแรก

เพียงแต่ในสมรภูมิกระหายเลือดตอนนี้ยังมีค่ายของจักรวรรดิอยู่หรือไม่

หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง มองดูท้องฟ้าแยกแยะทิศทางแล้วก็คิดจะออกเดินทางอีกครั้ง

หืม?

แต่ก็ในตอนนี้เอง เขาหรี่ตาลง ในการรับรู้ของจิตรับรู้ มีกลิ่นอายจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์น่าตกใจอย่างยิ่งยวดอยู่สายหนึ่งที่ก้นแม่น้ำสายนี้

เขาขยับตัวนิดเดียวก็เข้าไปอยู่ในก้นแม่น้ำแล้ว

สายน้ำพลิกตลบ ผลึกขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ที่ก้นแม่น้ำ ประกายเจตะงดงามราวภาพมายาแผ่กระจายออกมา

นี่มันของอะไรกัน

หลินสวินยื่นมือไปคว้าแล้วหยิบเอาผลึกนี้มาไว้ในมือ ประเมินดูเล็กน้อยก็ตกตะลึงทันที ภายในผลึกนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายเจตะอันบริสุทธิ์หาใดเทียบ เหมือน ‘ผลึกกำเนิดเจตะ’ ที่ร่ำลือยิ่งนัก!

ผลึกกำเนิดเจตะ เป็นสมบัติล้ำค่าที่แทบสูญสิ้นไปจากโลกภายนอกชนิดหนึ่ง พบเห็นได้ยากยิ่ง โดยทั่วไปมีเพียงสถานที่ที่มีชีพจรปราณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงจะฟูมฟักขึ้นมาได้

พลังเจตะที่บรรจุอยู่ในผลึกนี้มีประโยชน์เกื้อหนุนที่ไม่อาจประเมินได้ต่อการฝึกปราณของผู้ฝึกปราณ

เช่นอริยะฝึกปราณ ถ้ำสวรรค์แดนมงคลทั่วไปไม่มีทางตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณของเขาได้เลย แต่หากมีผลึกกำเนิดเจตะ ปัญหาเรื่องการฝึกปราณก็จะคลี่คลายอย่างง่ายดาย

สมบัติเช่นนี้ต่อให้ตกอยู่ในมือผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

เพราะพลังที่บรรจุอยู่ในผลึกกำเนิดเจตะสูงส่งและยิ่งใหญ่เกินไป ผู้ฝึกปราณธรรมดาไม่อาจรับไหวและหลอมได้!

ตามความเข้าใจของหลินสวิน ไม่อาจหาสิ่งนี้พบในจักรวรรดิอันกว้างใหญ่แห่งนี้แล้ว ต่อให้อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณก็มีเพียงสำนักโบราณเหล่านั้นเท่านั้นถึงมีไว้ในครอบครอง

‘ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ถึงกับมีผลึกกำเนิดเจตะก่อตัวขึ้นมา…’

หลินสวินลอบเอ่ยในใจ ‘เช่นนี้ดูท่าต่อให้เป็นอริยะแล้ว ที่นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นแดนสมบัติในการฝึกปราณแห่งหนึ่ง!’

เขาเก็บผลึกกำเนิดเจตะเอาไว้แล้วเคลื่อนตัวจากก้นแม่น้ำ เริ่มออกเดินทาง

ตลอดทางภายใต้การสืบเสาะอย่างจริงจังของหลินสวิน ถึงกับเก็บรวบรวมผลึกกำเนิดเจตะในภูผาธาราหลายก้อนได้อย่างต่อเนื่อง มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ล้วนมีแสงวิญญาณเจิดจ้า พลังเจตะเต็มเปี่ยมทั้งนั้น

มิหนำซ้ำในบริเวณภูเขาที่ไอวิญญาณรวมตัวกันอย่างน่าตกตะลึงที่สุดบางแห่ง ยังมีโอสถเทพและวัตถุดิบเทพหายากขึ้นอยู่บ้าง ล้วนถูกหลินสวินเก็บไปจนหมดโดยไม่เกรงใจสักนิด

และในตอนนี้หลินสวินแน่ใจได้โดยสิ้นเชิงแล้วว่า หากกล่าวว่าแดนมกุฎแดนเก้าบนเหมาะสมกับการฝึกปราณของระดับราชันมรรคาอมตะ

เช่นนั้นแล้วสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ก็ตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณของบุคคลระดับอริยะได้อย่างสมบูรณ์!

——