ตอนที่ 1425 บังเอิญพบเพื่อนเก่า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ยามหลินสวินมาถึงทิวเขาอบอวลด้วยไอวิญญาณแห่งหนึ่งก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่ ทิวเขาเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลอันหายากหาใดเทียบแห่งหนึ่งไปแล้ว

แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครยึดครอง

‘ถ้าฝึกบำเพ็ญที่นี่…’

พอคิดถึงตรงนี้หลินสวินก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

ครืน!

เขาสูดลมหายใจเฮือกนี้เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ บริเวณใกล้เคียงทิวเขาแห่งนี้ต่างเกิดพายุรุนแรงกึกก้อง ทำให้เมฆรอบทิศแหลกสลาย ดั่งมังกรเทพดึกดำบรรพ์กลืนกินอากาศ

ไอวิญญาณไหลหลั่งเข้าไปในร่างของหลินสวินจากทุกทิศทาง ทำให้เขาพร่างพราวไปทั้งตัว ผิวหนังและเลือดเนื้อทุกกระเบียดต่างดูดซับไอวิญญาณบริสุทธิ์อันไพศาลหาใดเทียบนั้นอย่างละโมบ

ในที่สุดพลังทั้งหมดก็ถูกหลอมเข้าไปในเลือดเนื้อร่างกาย

แทบจะในชั่วพริบตา หลินสวินก็สัมผัสได้ว่าพลังหลอมกายของตนแกร่งกล้าขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

ต่อให้เพียงนิดเดียวเท่านั้นก็ทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด

เพียงลมหายใจเดียวเท่านั้นก็ทำให้พลังหลอมกายเพิ่มพูนขึ้นเล็กน้อย แค่คิดก็รู้ว่าหากฝึกฝนที่นี่อย่างเต็มที่ พลังจะพัฒนาได้เร็วขึ้นปานไหน

‘นอกจากนี้ยังมีผลึกกำเนิดเจตะมากมาย โอสถเทพ วัตถุดิบเทพที่หาได้ยาก… หากใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ พลังหลอมกายจะเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก…’

ดวงตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย

เขามาถึงสมรภูมิกระหายเลือดแล้ว ต่อให้ตอนนี้ไปรวมตัวกับเหล่าคนใหญ่คนโตอย่างจักรพรรดิกับจักรพรรดินีที่ป่าต้นหม่อน ยามพบจุดเปลี่ยนใหญ่ย่อมไม่มีทางได้รับคุณประโยชน์ใดๆ อย่างแน่นอน

เพราะพลังปราณของเขายังไม่เพียงพอที่จะไปจู่โจมระดับอริยะ

และด้วยการชี้แนะของเฒ่าเดียวดาย ทำให้หลินสวินรับรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องใคร่ครวญตอนนี้ไม่ใช่การบรรลุมกุฎอริยะ แต่เป็นการฝ่าเคราะห์มรรคตัดขาด!

และหากต้องการทะลวงเคราะห์นี้ ก็ต้องแก้ไขข้อบกพร่องในพลังหลอมกาย

ก่อนหน้านี้หลินสวินยังไม่มีแผนการอะไร ตอนนี้ด้วยการรับรู้และสืบเสาะมาหลายชั่วยาม เขาก็มีแผนในใจแล้ว

สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ก็คือสถานที่ฝึกฝนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง!

‘แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นยังต้องสืบดูสถานการณ์ก่อนเป็นดี…’

ยามหลินสวินใคร่ครวญแล้วเดินทางอีกครั้งหนึ่ง

ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือตลอดทางมานี้เขาเดินลัดเลาะภูผาธารา แต่ไม่ได้พบสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่สักตัวเสียอย่างนั้น

กลางป่าเขาไม่มีสัตว์ปีศาจดุร้าย ทั้งไม่มีภูตพฤกษา แม้กระทั่งร่องรอยของแมลงยังไม่มี

ควรรู้ว่าไอวิญญาณกับพลังชีวิตในโลกนี้เข้มข้นจนน่าตกตะลึง เป็นที่ที่ให้กำเนิดชีวิตได้ง่ายที่สุด แต่จวบจนตอนนี้หลินสวินยังไม่ได้พบสิ่งมีชีวิตสักตัว

เรื่องนี้ดูประหลาดนัก ผิดปกติมาก และยังทำให้เขาหาข้อมูลบางอย่างที่อยากสืบให้รู้ได้ยาก

กระทั่งผ่านไปสามชั่วยาม จู่ๆ ในขอบเขตที่จิตรับรู้ของหลินสวินปกคลุมก็รับรู้ได้ถึงเสียงกระแทกโครมครามอย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง

‘มีกลิ่นอายต่อสู้ทางตะวันออกหนึ่งพันสามร้อยลี้ หืม? ดูท่า… ฝ่ายหนึ่งในนั้นเป็นเผ่ามนุษย์!’

หลินสวินจิตใจสั่นไหว ในที่สุดก็พบคนเป็นๆ แล้ว!

สวบ!

เงาร่างเขาไหวกะพริบ แปรสภาพเป็นแสงเคลื่อนไร้รูปสายหนึ่งทะลุออกไปกลางอากาศ

เพียงไม่กี่อึดใจหลินสวินก็มาถึงจุดที่ห่างออกมาพันลี้ ตอนนี้ไม่ใช้จิตรับรู้ก็เห็นได้ว่าเงาร่างกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ในนั้นมีชายหญิงเจ็ดคนเป็นมนุษย์ อยู่ในค่ายค่ายหนึ่ง แต่ละคนต่างมีพลังปราณแข็งแกร่งระดับราชันอมตะเคราะห์

นี่ก็ทำให้หลินสวินหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้

พอมองไปที่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอีกครั้ง รูปร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน มีทั้งชายและหญิง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มนุษย์

พวกเขาแต่ละคนต่างมีผมสีโลหิตทั้งศีรษะ ผิวหนังสีขาวแวววาวพิสดาร เบื้องหลังมีปีสีเงินเจิดจ้าคู่หนึ่ง

เผ่าวิญญาณขนนกหรือ

หลินสวินอึ้งไป

ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณมีชนเผ่าพื้นถิ่นหลายเผ่ากระจายตัวอยู่ โดยมากเป็นลูกหลานของหมื่นเผ่าบรรพกาล มีขุมอำนาจจำนวนมาก

เช่นเผ่าสิงห์โลหิต เผ่าวาฬมังกร เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าเต่าทมิฬ เผ่าโห่วเมฆา เผ่ากาฬพฤกษ์เป็นต้น

ตอนนั้นยามหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียน รวมทั้งเหล่าศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เคยได้ขับเคี่ยวกับบุคคลระดับบุตรเทพในเผ่าเหล่านั้น

อย่างเผ่าวิญญาณขนนก เขาก็เคยพบมาก่อน

แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้จะยังได้พบผู้แข็งแกร่งจากเผ่าวิญญาณขนนกด้วย!

พวกเขาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยมาสมรภูมิกระหายเลือด ตอนนั้นมีเพียงสองขุมอำนาจใหญ่อย่างค่ายทัพจักรวรรดิกับค่ายทัพพ่อมดเถื่อนเท่านั้น

แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว!

‘ดูท่า สถานการณ์ในสมรภูมิกระหายเลือดจะซับซ้อนกว่าที่ข้าจินตนาการไว้…’

ดวงตาดำหลินสวินวาววับ

หลินสวินไม่ได้ลังเล พุ่งไปหาทันที

…..

“รังแกกันเกินไปแล้ว!”

หญิงสาวผู้แต่งกายด้วยชุดแดงทั้งตัว เงาร่างสง่างามชดช้อยคนหนึ่งส่งเสียงโกรธเคืองท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ยามพูดจาก็โบกมือเรียกดาบเทพเปลวเพลิงยาวร้อยจั้งเล่มหนึ่งออกมา

แต่กลับถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกคนหนึ่งโจมตีให้สลายไปโดยง่าย ฟันดาบออกมาครั้งเดียวก็ทำให้หญิงสาวชุดแดงคนนั้นสะท้านจนใบหน้างามซีดขาว ถอยโซซัดโซเซ

“แม่นางเย่ สถานการณ์อันตรายนัก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ากองหนุนยังไม่ทันมาพวกเราก็คงยันไม่อยู่แล้ว!”

ชายหญิงสองสามคนที่อยู่ทางอื่นร้อนรนหาใดเทียบ สถานการณ์ของพวกเขามีแต่เค้าลางอันตรายทุกแห่งหน หนำซ้ำหลายคนยังได้รับบาดเจ็บไปแล้ว

‘แข็งใจอีกหน่อย เมื่อกี้ข้าขอกำลังเสริมจากท่านพี่แล้ว เชื่อว่าเขาจะรีบมาโดยเร็ว’

หญิงสาวชุดแดงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วสื่อจิตเอ่ย

“เหอะๆ จนตอนนี้พวกเจ้ายังคิดว่าจะมีคนมาช่วยพวกเจ้าอีกหรือ ละเมอเพ้อพก! จะบอกพวกเจ้าให้ เกรงว่าตอนนี้กองหนุนของพวกเจ้าก็คงวอดวายกันหมดแล้ว!”

ชายหนุ่มเผ่าวิญญาณขนนกคนหนึ่งแค่นหัวเราะ

“อะไรนะ”

พวกแม่นางเย่ต่างหน้าเปลี่ยนสี หลายคนเผยสีหน้าสิ้นหวัง สาเหตุที่พวกเขาประคองตัวมาได้ถึงตอนนี้ ก็เป็นเพราะเชื่อมั่นว่าจะมีกองหนุนรุดหน้ามา

แต่ถ้าขนาดกองหนุนยังถูกจู่โจมขัดขวาง…

เช่นนั้นทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว!

ด้านคู่ต่อสู้ของพวกเขาต่างสีหน้าเย็นชาดุดัน มองพวกแม่นางเย่เหมือนคนตาย

“รีบสู้รีบจบ!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่นำหน้าตะคอก

“รีบดูเร็ว!”

แต่ในขณะเดียวกันมีคนร้องตกตะลึง

ก็เห็นเงาร่างเงาหนึ่งเคลื่อนทะลุอากาศมาราวรุ้งเทพมายาสายหนึ่ง เจือด้วยเสียงดังโครมคราม พอรุ้งเทพนั้นหยุดก็ฉายให้เห็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง

เห็นเพียงเขาเงื้อมือขึ้นชี้

ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าพลันเคลื่อนออกมา พร่างพราวแสบตา เฉียบคมไร้เทียมทาน ส่องเวิ้งฟ้าให้สว่าง

ชั่วพริบตาผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกสิบกว่าคนแทบไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ ร่างกายก็ถูกปราณกระบี่ไร้เทียมทานกรีดเฉือนตัดขาด เลือดเนื้อระเบิดออกกลางอากาศราวควันเพลิง

ชั่วพริบตาปราณกระบี่ออกมาทำลายเหล่าศัตรู ไม่มีผู้ใดฟื้นคืน!

หญิงสาวชุดแดงอึ้งไป ม่านตาเบิกกว้าง

นั่นเป็นถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่คนอ่อนแอที่สุดยังมีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสาม ก่อนหน้านี้กดดันพวกเขาจนสิ้นหวังกันไปหมด

แต่ตอนนี้กลับถูกเด็ดชีวิตไปอย่างง่ายดายเหมือนต้นหญ้าไร้ค่าแล้ว!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ชั่วพริบตาก็ปิดฉากลง แต่ความสั่นสะท้านที่ก่อขึ้นกลับจู่โจมจิตใจพวกหญิงชุดแดงประหนึ่งมหานที

“เย่หงเสวี่ยจากตระกูลเย่ทะเลตะวันออกคารวะผู้อาวุโส ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต”

หญิงสาวชุดแดงผู้เป็นหัวหน้าได้สติกลับมาคนแรก โค้งกายคำนับ

คนอื่นก็พลันได้สติจากความตื่นตระหนก รีบร้อนก้าวมาทำคาระวะ

ขณะที่พูดพวกเขาต่างเห็นรูปลักษณ์ของหลินสวินชัดเจนแล้ว ล้วนตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ไปครู่หนึ่ง คล้ายคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะอ่อนวัยขนาดนี้

แต่ผู้บรรลุเป็นอาจารย์ ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ศักดิ์สูง เรียกว่าผู้อาวุโสก็เหมาะสม

ผู้ที่มาช่วยชีวิตก็คือหลินสวิน เขาทอดสายตามองดูหญิงสาวชุดแดงนามเย่หงเสวี่ย แล้วเอ่ยถามว่า “ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกหรือ ผู้อาวุโสเย่ฉิงเทียนเป็นอะไรกับเจ้า”

เย่หงเสวี่ยกล่าวด้วยเสียงนอบน้อมว่า “เรียนผู้อาวุโส เป็นบิดาข้าเจ้าค่ะ”

“งั้นเจ้าเป็นพี่สาวหรือน้องสาวของเย่เสี่ยวชี” หลินสวินเอ่ย

สมัยฝึกปราณที่ค่ายกระหายเลือด เพื่อนที่หลินสวินผูกมิตรด้วยมีไม่มาก หนึ่งในนั้นก็มีเย่เสี่ยวชี

เย่หงเสวี่ยคล้ายตกตะลึงไปบ้าง แต่ยังเอ่ยตอบว่า “เย่เสี่ยวชีเป็นพี่ชายข้าเจ้าค่ะ”

หลินสวินยิ้มพูด “แบบนี้พวกเราก็ไม่ถือเป็นคนอื่นไกล ข้าชื่อหลินสวิน พี่ชายเจ้าเป็นเพื่อนข้าเอง”

เย่หงเสวี่ยชะงักไป กล่าวอย่างยินดีปรีดาว่า “เช่นนั้นผู้อาวุโสก็คือหลินสวิน ผู้นำแห่งภูเขาชำระจิตที่อำนาจทั่วนครหลวงคนนั้นหรือ”

หลินสวินลูบจมูก ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่บังอาจมีอำนาจทั่วนครหลวงหรอก อีกอย่างอย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเลย ข้าไม่ได้แก่อย่างที่เจ้าคิด”

คนอื่นคล้ายได้สติกลับมาเช่นกัน แสดงสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างเคยได้ยินเรื่องราวของหลินสวิน

“เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่หลินสวินก็แล้วกัน”

เย่หงเสวี่ยพูดยิ้มระรื่น นางแต่งกายชุดแดงทั้งตัว นิสัยใจคอชัดเจนตรงไปตรงมา

หลินสวินพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงปะทะกับเผ่าวิญญาณขนนก”

“เมื่อวันก่อนตอนพวกเราสำรวจทิวเขาแห่งหนึ่ง ค้นพบสายแร่ผลึกกำเนิดเจตะยาวราวร้อยจั้งสายหนึ่งโดยบังเอิญ พอพวกเรากำลังจะขุดสายแร่ ก็ถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกพวกนี้หมายหัวเข้า…”

เย่หงเสวี่ยยังออกจะแค้นเคือง เล่าเรื่องให้ฟัง

พูดง่ายๆ ก็คือพวกเย่หงเสวี่ยถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกฉวยโอกาสปล้นเสียแล้ว

“แย่ล่ะ ตามที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกพูดเมื่อกี้ เป็นไปได้สูงยิ่งที่พี่ชายข้าจะถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางมาช่วยเสริมทัพ!”

ทันใดนั้นเย่หงเสวี่ยก็นึกเรื่องหนึ่งออก ใบหน้างามเปลี่ยนสี

“เย่เสี่ยวชีหรือ” หลินสวินถาม

เย่หงเสวี่ยรีบร้อนพยักหน้า

“เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน” หลินสวินเอ่ยถาม

“รู้เจ้าค่ะ”

“เจ้านำทางที ข้าจะไปหาเขา”

หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเล

คนอื่นต่างจิตใจสั่นไหว เมื่อกี้พวกเขาได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวินไปแล้ว ถ้ามีเขาช่วยย่อมดียิ่งนัก

ฉับพลันด้วยการนำของเย่หงเสวี่ย พวกเขาก็รีบร้อนเดินทาง

เดิมหลินสวินยังอยากถามสถานการณ์ในสมรภูมิกระหายเลือดบ้าง แต่พอเห็นท่าทางกังวลใจของเย่หงเสวี่ย สุดท้ายจึงยังเก็บกลั้นไว้ รอยามได้พบเย่เสี่ยวชีค่อยถามก็ไม่สาย

ตูม!

ไม่นานนักเสียงปะทะดังลั่นจนหูแทบดับระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นไกลๆ

มองออกไปไกลๆ ในสถานที่อันไกลลิบเป็นทุ่งร้างกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้เหนือทุ่งร้างนั้นมีการต่อสู้ดุเดือดกำลังปะทุขึ้น

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมโจมตีชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดดำ ร่างกายอ้วนท้วนผู้หนึ่ง

อย่ามองว่าร่างของชายหนุ่มผู้นั้นอ้วนกลม ทว่าปราดเปรียวผิดธรรมดา แม้ถูกผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งล้อมโจมตี กลับอาศัยท่าร่างราวปีศาจสลายอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ใครก็ดูออกว่าสถานการณ์ของเขาอันตรายนัก!

“เป็นพี่ชายของข้า!” เย่หงเสวี่ยเอ่ยร้อนรน

หลินสวินก็เห็นแล้ว อีกทั้งมองปราดเดียวก็จำเย่เสี่ยวชีได้ ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ รูปร่างของเขายังอ้วนกลมเช่นนั้น

แต่หลินสวินก็ดูออกว่าพลังปราณของเย่เสี่ยวชีบรรลุถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านหกแล้ว!

‘ดูท่าในช่วงหลายปีที่ข้าจากไปนี้ เจ้าพวกที่เข้ามาในสมรภูมิกระหายเลือดอย่างพวกเย่เสี่ยวชี พลังปราณก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าดินทั้งนั้น…’

หลินสวินทอดถอนใจในใจครู่หนึ่ง ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดถึงไม่พบเหล่าเพื่อนสมัยเด็กอย่างพวกเย่เสี่ยวชีในจักรวรรดิ

เห็นได้ชัดว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่พวกเขาจะมาที่สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้แล้ว!

——