WSSTH ตอนที่ 2,991 : แจกจ่ายป้ายหยกสะสมคะแนน
“ตั้งแต่ที่ประมุขนิกายคนที่ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนอย่างปี้ไห่หมิงเฟิงสามารถผ่านบททดสอบและกลายเป็นผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ นั่นหมายความว่าพลังฝีมือของมันได้เหนือกว่าประมุขทั้ง 2 ไปแล้ว”
“อย่างน้อยๆ คนส่วนใหญ่ในคฤหาสน์เฉวียนโยวก็คิดเช่นนั้น”
สหายของชายวัยกลางคนกล่าว
“ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว? ประมุขอีก 2 คนของนิกายอมตะเหอฮวนไปทดสอบแล้วเช่นกัน แต่ไม่ผ่าน?”
หวงเจียหงดูงุนงงกับข้อมูลที่ได้รับทราบอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองตู้อวิ๋น จึงมักจะล่วงรู้เรื่องราวสำคัญที่คนส่วนใหญ่ของประเทศฝูชิวไม่รู้ กระทั่งล่วงรู้เรื่องราวบางประการของ 3 นิกาย 2 ตระกูลอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม เรื่องผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ว่า มันพึ่งได้ยินวันนี้เป็นครั้งแรก!
“พี่ชายท่านนี้…ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวมันคืออะไรหรือ และเมื่อครู่ข้ายังได้ยินท่านกล่าวว่าผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 10 คน?”
หวงเจียหลงมองไปยังสหายของชายวัยกลางคน พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่มีฐานะไม่ใช่ชั่วในคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ว่าได้ ในแง่ของอำนาจแล้ว จะเป็นรองก็แต่ชนชั้นรองผู้นำคฤหาสน์เท่านั้น”
สหายของชายวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยสายตาเร่าร้อนปานมีเปลวเพลิงลุกโชน “และในคฤหาสน์เฉวียนโยวจะมีผู้ตรวจการอยู่ด้วกันทั้งสิ้น 10 คน…ผู้ตรวจการทั้ง 10 คนที่ว่า เหล่ายอดฝีมือสามารถเข้าร่วมการทดสอบของคฤหาสน์เฉวียนโวได้ตามใจ ไม่ใช่แค่คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลเท่านั้น แม้แต่คนทั่วไปที่มั่นใจในตัวเองก็สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้เช่นกัน! ”
“และผู้ตรวจการของคฤหาสนน์เฉวียนโยวในปัจจุบันทั้ง 10 คนนั้น มาจากนิกายอมตะเหอฮวน 2 คน และจากนิกายอมตะอวิ๋นไถและเป้าผู่อีกอย่างละคน สำหรับตระกูลจ่างซุนกับตระกูลกงหยาง…ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบเป็นผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวได้เลย”
“แน่นอนว่าผู้ตรวจการของนิกายอมตะเหอฮวนคนหนึ่ง และของนิกายอมตะอวิ๋นไถเป้าผู่อีกอย่างละคน ล้วนเป็นชนรุ่นก่อนอันทรงพลัง ที่ได้ออกจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลไปเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวเต็มตัวแล้ว และมักจะอยู่ในคฤหาสน์เฉวียนโยว ไม่คิดข้องเกี่ยวกับนิกายต้นสังกัดของตัวในอดีตสักเท่าไหร่…”
“แต่เป็นธรรมดาว่าหากทั้ง 3 นิกายอมตะใหญ่พบเจอกับภยันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้ ทั้ง 3 ย่อมปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือแน่นอน…อย่างไรก็ตาม คฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น จะไม่ยืนหยัดเพื่อพวกมัน”
…
สหายของชายวัยกลางคนได้กล่าวเล่าเรื่องราวออกมาราวกับมหาปราชญ์ คล้ายมันรู้จักคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นอย่างดี
“อั้ยพี่ชายท่านนี้…ไฉนท่านถึงรู้เรื่องของคฤหาสน์เฉวียนโยวมากขนาดนี้เล่า?”
หลังได้ฟังเรื่องราวของสหายชายวัยกลางคนแล้ว หวงเจียหลงก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับความรู้มากของอีกฝ่าย
“เจ้านี่ยามว่างมันชอบไถ่ถามเรื่องราวจากผู้อื่นไปทั่วน่ะ…เช่นนั้นพอนานเข้า มันก็เลยรู้เรื่องอะไรหลายๆอย่างที่พวกเราไม่รู้เป็นธรรมดา”
ชายวัยกลางคนตอบแทน
หวงเจียหลงก็พอเข้าใจได้ ที่แท้พี่ชายท่านนี้ก็สายคุยเหมือนกัน
ส่วนอีกด้านนั้น
เมื่อชายวัยกลางคนร่างอ้วน ผู้นำคนของตระกูลจ่างซุนเอ่ยถามออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะอวิ๋นไถ เป้าผู่ หรือแม้แต่ ผู้นำของตระกูลกงหยาง ก็หันไปมองปี้ไห่หมิงเฟิงเป็นสายตาเดียวกัน
“ประมุขปี้ไห่ เรื่องนี้ข้าสุดแล้วแต่ท่าน”
“ใช่แล้ว ขอประมุขปี้ไห่ตัดสินใจเรื่องนี้เถอะ”
“นิกายอมตะเป้าผู่ของพวกเรา ล้วนว่าตามท่านประมุขปี้ไห่”
ทั้ง 3 คนกล่าวตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง และทั้งหมดเห็นชัดว่ายกให้ปี้ไห่หมิงเฟิงเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมด
กระทั่งพวกมันเอง ก็ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนมาเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้ จะเป็นปี้ไห่หมิงเฟิง!
หากเป็นประมุขคนอื่นๆของนิกายอมตะเหอฮวน พวกมันไม่มีทางไว้หน้าทั้งให้เกียรติอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อมขนาดนี้แน่!
หากทว่ากับชายหนุ่มเบื้องหน้าของพวกมันนั้น อีกฝ่ายไม่เพียงแต่สมควรมีพลังฝีมือเหนือกว่าพวกมันไปแล้วเท่านั้น แต่ยังมีฐานะเป็นถึง 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว!
ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น หากออกมาจัดการธุระปะปังนอกคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็สามารถเป็นตัวแทนของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวได้!
และคฤหาสน์เฉวียนโยวยังมีกฏสำคัญอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือผู้ตรวจการจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลคนใดที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปีแล้ว จะไม่อาจย้อนกลับไปยังนิกายหรือตระกูลต้นสังกัดของตัวเองได้อีก เรียกว่าไม่อาจสอดมือไปแทรกแซงเรื่องราวใดๆได้
หากทว่ากับประมุขนิกาอมตะเหอฮวนคนนี้ นับประสาอะไรกับ 3,000 ปี อีกฝ่ายยังมีอายุไม่ถึง 1,000 ปีด้วยซ้ำ!
ด้วยความที่มันยังมีอายุไม่ถึง 1,000 ปีนี้เอง แต่กลับมีพลังฝีมือถึงระดับนี้แล้ว ทำให้แม้จะมองไปทั่วคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งหมด แต่ปี้ไห่หมิงเฟิงก็จัดอยู่ในเหล่าอัจฉริยะที่อยู่เหนืออัจฉริะ!
ด้านผู้คนมากมายกว่า 20,000 คนที่ลอยร่างรออยู่ แม้พวกมันจะไม่อาจเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่พอได้เห็นทีท่าของเหล่าผู้นำกลุ่มคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล พวกมันก็ตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของผู้นำนิกายอมตะเหอฮวนทันที
ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก เอาแค่ท่าทีปฏิบัติของผู้นนำกลุ่มคนอีก 5 ขุมกำลังที่เหลือ พวกมันก็บอกได้ทันที ว่าผู้นำคนของนิกายอมตะเหอฮวนมาคราวนี้…ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ!
“คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”
“ในนิกายอมตะเหอฮวน มีตัวตนเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าต่อให้ประมุขนิกายอมตะเหอฮวนมาเอง แต่ก็ยากจะได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นแบบนี้มิใช่หรือไร?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
…
ในปัจจันมีหลายคนที่ไม่รู้ว่า ปี้ไห่หมิงเฟิง เป็นใครและมีฐานะอะไร และถึงจะเริ่มมีเสียงฮือฮากันว่าปี้ไห่หมิงเฟิงนั้นเป็นผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวดังขึ้นมาระงมแล้ว แต่หลายๆคนก็ไม่ทราบว่านั่นคือตำแหน่งฐานะอันใด
“ในเมื่อทุกคนให้ข้าเป็นคนตัดสินใจเรื่องราว…เช่นนั้นข้ามอบหน้าที่การจัดการเรื่องราวการเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ให้ผู้อาวุโสจ่างซุนฉงฉีดูแลแล้วกัน”
ปี้ไห่หมิงเฟิงที่นั่งๆนอนๆบนเกี้ยวอย่างสบายอารมณ์ เหลือบมองไปยังชายวัยกลางคนร่างอ้วนผู้นำตระกูลจ่างซุนพลางกล่าว
“จ่างซุนฉงฉี?”
ได้ยินชื่อดังกล่าวจากปากปี้ไห่หมิงเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “คิดไม่ถึงจริงๆ ที่แท้ชายวัยกลางคนอ้วนตุ้บผู้นั้นจะเป็นอาวุโสลำดับ 2 ของตระกูลจ่างซุน”
ถึงแม้ในตระกูลจ่างซุนจะมีชนชั้นผู้อาวุโสไม่น้อย อย่างไรก็ตามอาวุโสที่มีชื่อเสียงโด่งดังและผู้คนรู้จักกันดีของตระกูลจ่างซุนนั้นมีอยู่ด้วยกันสองคน ก็คืออาวุโสลำดับที่ 1 และอาวุโสลำดับที่ 2
และอาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลจ่างซุนก็มีนามว่า จ่างซุนฉงฉี หรือก็คือชายอ้วนผู้นี้นี่เอง เห็นมันอ้วนตุ้บแลดูอุ้อ้ายแบบนี้ แต่พลังฝีมือของมันนับว่าไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ เป็นรองก็แต่ประมุขตระกูลและผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น!
“เอาล่ะ ต่อไปพวกเจ้าก็เชื่อฟังคำสั่งอาวุโสจ่างซุนให้ดี”
หลังกล่าวตัดสินจบ ปี้ไห่หมิงเฟิงก็เอ่ยออกมาเสียงเบาอีกครั้ง เห็นชัดว่าเป็นการกล่าวกับ 10 คนที่อยู่ด้านหลังมัน
“ทราบแล้วท่านประมุขสาม!”
หลังได้ยินคำของปี้ไห่หมิงเฟิง ทั้ง 10 คนที่อยู่ด้านหลังงเกี้ยวก็ขานรับอย่างพร้อมเพรียง น้ำเสียงยังเปี่ยมล้นไปด้วยความเคารพอย่างหาที่สุดไม่ได้!
อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงของพวกมันแล้ว ยังเห็นชัดว่านี่คือความเคารพนับถือจากก้นบึ้งของใจ!
หากสังเกตให้ดี จะพบว่าแววตาที่พวกมันทั้ง 10 ใช้มองแผ่นหลังของปี้ไห่หมิงเฟิงนั้น เต็มไปด้วยความคลั่งไคล้อันเร่าร้อน! ประหนึ่งเบื้องหน้าไม่ใช่ผู้คนแต่เป็นทวยเทพที่พวกมันบูชา!!
เนื่องเพราะปี้ไห่หมิงเฟิงนั้น ไม่ได้เป็นแค่ประมุขคนที่ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังนับเป็นศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของนิกายอมตะเหอฮวนในรอบหลายแสนปี!
ผู้คนส่วนใหญ่ในนิกายอมตะเหอฮวน ล้วนเชื่อกันว่าด้วยมีปี้ไห่หมิงเฟิงนำพา นิกายอมตะเหอฮวนของพวกมันต้องก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น และอาจกลายเป็นนิกายอมตะระดับ 6 ก็เป็นได้!
“ย่อมได้”
ได้ยินคำตัดสินของงปี้ไห่หมิงเฟิง ชายวัยกลางคนร่างอ้วนนามจ่างซุนฉงฉีก็ขานรับฉับไว จากนั้นมันก็หันกับมามองไปยังเหล่าผู้คนที่เหินร่างกลางฟ้าโดยรอบ พลางเอ่ยออกเสียงเฉย “ตอนนี้ขอให้เหล่าผู้ที่นำยอดเซียนอมตะทั้งหลายมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณครานี้ก้าวออกมา”
เสียงของจ่างซุนฉงฉีแม้จะฟังดูเฉยเมยไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ก็ผสานไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันเข้มแข็ง จึงดังเข้าหูผู้คน 20,000 กว่าคนอย่างทั่วถึง ต้วนหลิงเทียนเองก็เช่นกัน
และทันทีที่เสียงกล่าวของจ่างซุนฉงฉีดังจบคำได้ไม่ถึงครึ่งลมหายใจ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ปรากฏร่างผู้คนนับพันๆรีบผละออกจากคนของตัวเอง ไปหยุดลอยรอคำสั่งเบื้องหน้าจ่างซุนฉงฉีด้วยท่าทียำเกรง
คนเหล่านั้น รวมไปถึงหูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวเช่นกัน
นอกจากนั้นฮ่องเต้ประเทศหนันฉี่อย่างเชวียหมิงไฉก็ออกไปลอยร่างรอคอยคำสั่งอยู่ด้วย
“ผู้ใดเป็นฮ่องเต้ของดินแดนพันประเทศ ให้ก้าวออกมาข้างหน้า”
หลังจากที่มีคนหลายพันมารวมตัวกันเบื้องหน้าแล้ว จ่างซุนฉงฉีก็เริ่มกล่าวออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็มีผู้คนพันคน ก้าวออกมาจากกลุ่มคนหลายพัน
หูหลินอี้กับเชวียหมิงไฉก็รวมอยู่ในนั้น
“สำหรับดินแดนพันประเทศ แต่ละประเทศจะได้รับสิทธิ์ในการเข้ารวมแดนสวรรค์ใต้โบราณ 9 สิทธิ์…ตอนนี้พวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูล จะทำการมอบป้ายหยกสะสมคะแนนให้พวกเจ้า”
จ่างซุนฉงฉีกวาดตามองฮ่องเต้ทั้งพันคนของดินแดนพันประเทศพลางงเอ่ยออกเสียงเรียบ “สำหรับป้ายหยกสะสมคะแนนมีไว้ทำอะไร รวมถึงกฏของแดนสวรรค์ใต้โบราณมีอะไรบ้าง พวกเจ้าจงไปบอกคนของพวกเจ้าเสียด้วยตัวเอง”
“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ”
พอเสียงกล่าวของจ่างซุนฉงฉีดังจบคำ มันก็หันหลังไปเหลือบมองคนที่มันพามาด้วยทั้ง 10 คน และแต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายไปหาฮ่องเต้ทั้งพันคนของดินแดนพันประเทศ และพวกมันทั้ง 10 ก็รับผิดชอบไปหาฮ่องเต้ 200 คนเพื่อแจกจ่ายป้ายหยกสะสมคะแนน
ขณะเดียวกันนิกายยอมตะเป้าผู้ อวิ๋นไถ เหอฮวน และตระกูลกงหยาง ก็ปรากฏคน 10 คนเหินร่างออกมาเช่นกัน
กล่าวได้ว่าทุกๆ 10 คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลจะแบ่งกันไปหาฮ่องเต้ 200 คนเพื่อแจกป้ายหยกสะสมคะแนน
จากนั้นไม่นานฮ่องเต้ทั้งพันคนก็ได้รับแจกป้ายหยกสะสมคะแนนจากทั้ง 50 คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลครบถ้วน
“พวกเจ้าได้ป้ายหยกสะสมคะแนนในส่วนของพวกเจ้าแล้ว ก็ให้นำมันไปมอบให้กับคนของพวกเจ้าเสีย…ขณะเดียวกันก็อย่าได้ลืมอธิบายหน้าที่ของป้ายหยก และกฏเกณฑ์ต่างๆให้ดี”
หลังคนทั้ง 50 ของ 3 นิกาย 2 ตระกูลกลับมา จ่างซุฉงฉี ก็หวาดตามองฮ่องเต้ทั้ง 1,000 คนของดินแดนพันประเทศอีกครั้ง แล้วเอ่ยเตือนเสียงเบา
“ทราบแล้วอาวุโสจ่างซุน”
ฮ่องเต้ของดินแดนพันประเทศขานรับอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็รีบแยกย้ายกลับไปหาคนของพวกมันอย่างเชื่อฟัง
ฮ่องเต้ทั้ง 1,000 คนจากดินแดนพันประเทศ อย่างไรก็คือผู้นำขุมกำลังระดับ 8 คนหนึ่ง มีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย และมักจะเป็นตัวตนที่มีฐานะสูงงสุดในประเทศของตัวเอง ไร้ผู้ใดมีอำนาจเหนือกว่าพวกมัน
ทว่าตอนนี้ ต่อหน้าจ่างซุนจงฉี อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลๆหนึ่งใน 3 นิกาย 2 ตระกูล พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
หลังฮ่องเต้ทั้งพันคนกลับไปแจกจ่ายป้ายให้คนของตัว จ่างซุนฉงฉีก็เริ่มเรียกขานคนอื่นๆออกมารับแจกป้ายต่อ ขณะเดียวกันก็หันไปพยักหน้าให้คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ทยอยกันออกมาแจกป้ายหยกสะสมคะแนนอีกครั้ง
ป้ายหยกสะสมคะแนนที่ได้รับแจกจากคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง เพราะสีไม่เหมือนกัน
แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้ท่านรับป้ายหยกสะสมคะแนนจากขุมกำลังใดมา ยามรอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับขุมกำลังนั้นๆ
สาเหตุที่ไฉนป้ายหยกสะสมคะแนนถึงมีสีสันต่างๆนั้น เป็นดั่งประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของ 3 นิกาย 2 ขุมกำลังมากกว่า
ยามแดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก ทั้ง 3 นิกาย 2 ตระกูล จะเล่นพนันกันอย่างหนึ่ง…
และหัวข้อพนันก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่ดูว่าหลังกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบรษรระดับต่ำแล้ว ผู้ที่ถือครองป้ายหยกสะสมคะแนนของขุมกำลังใดมีมากกว่า ขุมกำลังนั้นๆก็จะเป็นฝ่ายชนะพนัน
ขุมกำลังทั้ง 4 ที่เป็นฝ่ายแพ้ ก็จะต้องจ่ายของเดิมพันให้กับผู้ชนะ
แน่นอนว่าสิ่งของที่จะนำมาลงเดิมพันนั้น ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ตายตัว แต่หากท่านนำของเดิมพันที่ด้อยค่ากว่าขุมกำลังอื่นๆมาลงเดิมพัน ก็เสมือนทำให้ตัวเองขายหน้าและกลายเป็นที่น่าหัวร่อของผู้อื่นเขาแล้ว…
ดังนั้นของที่ 5 ขุมกำลังนำมาลงเดิมพันก็ไม่ใช่ชั่วเลย และพวกมันก็ลุ้นให้ผู้ที่รอดกลับออกมา มีผู้ที่ถือป้ายหยกสะสมคะแนนของพวกมันมากที่สุด
“ยังงมีอีกเรื่องหนึ่ง…”
เมื่อผู้นำแต่ละขุมกำลังที่พาคนมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณได้รับแจกป้ายหยกสะสมคะแนนกันครบแล้ว จ่างซุนฉงฉีก็เริ่มกล่าววออกมาอีกครั้ง
“คราวนี้หลังจากที่แดนสวรรค์ใต้โบรษณระดับต่ำเปิดให้เข้าไปแล้ว…มันจะถูกเปิดให้ผู้คนด้านในออกมาอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อผู้ที่เข้าไปได้ตกตายถึง 7 ส่วนแล้วเท่านั้น…”
ทันทีที่วาจานี้ดังออกมาจากปากจ่างซุนฉงฉี ผู้คนนับหมื่นๆก็พร้อมใจกันเงียบกริบ!