ตอนที่ 2994

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,994 : ฝูงอีกาดำเขาทอง

คนของฝูชิวเองตอนนี้ก็ยืนอยู่ในแถวตอนแถวหนึ่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และผู้ที่ยืนนำหน้าแถวก็คือองค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูชิว หูจี้หย่ง

“เช่นนั้นข้าขอล่วงหน้าไปก่อน…พวกเจ้าเองก็ระวังตัวให้มาก”

หลังจากที่หูจี้หย่งหลั่งโลหิตใส่ป้ายย่อยที่คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลตระเตรียมไว้ให้แล้ว มันก็หันไปพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก่อนที่จะเหินร่างเข้าสู่วังวนแห่งความมืดอันเป็นประตูสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทันที

เดิมทีหูจี้หย่งก็คิดให้ต้วนหลิงเทียนเป็นผู้นำและเข้าไปคนแรกของประเทศฝูชิว อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจเรื่องลำดับอะไรพวกนี้ ยังเลือกยืนด้านหลังหวงเจียหลงอย่างไม่ได้สนใจอะไร

ผู้ที่ถูกจัดให้เข้าไปเป็นคนที่ 2 ของประเทศฝูชิวก็คือ หวงเจียเชา น้องชายของหวงเจียหลง

“น้องห้าเจ้าระวังตัวให้มาก อยู่ข้างในอย่าได้ผลีผลามบุ่มบ่ามเชียว”

ถึงแม้ว่าหวงเจียหลงจะมีพี่น้องหลายคน แต่คนที่มันสนิทสนมด้วยมากที่สุดก็คือน้องชายคนที่ 5 ที่มีอายุใกล้เคียงกัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าถึงคราที่น้อง 5 ของมันต้องเข้าไปแล้ว สีหน้าของมันก็อดไม่ได้ที่จะขมึงตึงเครียด

“ขอพี่สี่อย่าได้ห่วงข้าเลย รับรองว่าข้าต้องรอดกลับออกมาได้แน่!”

หวงเจียเชาคลี่ยิ้มสดใส

จากนั้นมันก็หันไปพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนเบาๆครั้งหนึ่ง ค่อยเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณพร้อมกับคนอื่นๆอีก 49 คน

หลังหวงเจียหลงเข้าไปแล้ว กลุ่มต่อไปก็มีหวงเจียเชารวมอยู่ด้วย

“น้องต้วนข้าขอล่วงหน้าไปก่อน…แม้พลังฝีมือท่านจักแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่เขตคฤหาสน์เฉวียนโยวกว้างใหญ่ไพศาล ยังมียอดเซียนอมตะที่มีพลังฝีมือระดับท่านอยู่ไม่น้อย ขอท่านอย่าได้ประมาทพวกมันเชียว”

ก่อนที่จะเข้าไป หวงเจียหลงก็ไม่วายหันมากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนที่มีพลังฝีมือสูงจะเกิดการดูเบาผู้อื่น ประเมินยอดเซียนอมตะที่จะเข้าร่วมครั้งนี้ต่ำเกินไป

“พี่เจียหลง เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วง”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ พลางมองส่งหวงเจียหลงเข้าไปในห้วงมืด

คำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนนั้น เขาย่อมรู้ดีเป็นธรรมชาติ…

ยิ่งไปกว่านั้นโลกทัศน์ของเขา กล่าวไปก็กว้างไกลยิ่งกว่าหวงเจียหลงมาก ถึงแม้หวงเจียหลงจะเป็นชนพื้นเมืองของระนาบเทวโลก ส่วนเขาเป็นแค่ผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาก็ตามที…

นั่นเพราะแม้เขาจะเป็นแค่คนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา อย่างไรก็ตามเขาได้ประสบพบเจอกับตัวตนที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าขอบเขตจักรพรรดิอมตะ หรือตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์มาด้วยตัวเอง!

ดังนั้นวิสัยทัศน์ของเขา จึงสูงล้ำอย่างสุดที่หวงเจียหลงจะจินตนาการได้ออก!!

หลังจากหวงเจียหลงเข้าไปแล้ว คนต่อไปก็คือต้วนหลิงเทียนที่ร่นขึ้นมาเป็นหัวแถว ที่จะเข้าไปพร้อมๆกับหัวแถวคนอื่นๆอีก 49 คน ที่ยืนเรียงเป็นแถวตอนเบื้องหน้าคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลทั้ง 50 คน

จากนั้นคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่ยืนอู่ด้านหน้า ก็ยื่นป้ายหยกแผ่นหนึ่งมาให้ต้วนหลิงเทียน

ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าป้ายหยกดังกล่าวสมควรเป็นป้ายหยกย่อย ซึ่งพอหยดเลือดผูกพันธะแล้ว มันก็จะเชื่อมโยงกับป้ายหยกสะสมคะแนนของเขา และคอยสะท้อนความเป็นไปของป้ายหยกสะสมคะแนนของเขาตลอดเวลา

“หลังจากเจ้าหยดเลือดลงงบนป้ายหยกย่อยแล้ว เจ้าลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบมันดู เจ้าก็จะพบว่ามันมีความเชื่อมโยงกับป้ายหยกสะสมคะแนนในมือเจ้า อีกทั้งยังมีคะแนนสะสมอยู่ 1 แต้มดุจเดียวกัน”

คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่คอยจัดแถวและจัดการเรื่องราวให้ต้วนหลิงเทียน เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งจากนิกายอมตะอวิ๋นไถ ซึ่งสวมใส่ชุดคลุมนักพรตเต๋า สีหน้าท่าทีของมันแลดูเฉยเมยไร้แส เสียงกล่าววาจายังแผ่วเบา

ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่สำนึกเทววะเข้าไปตรวจสอบป้ายหยกย่อยดูทันที จึงพบว่ามันมีความเชื่อมโยงกับป้ายหยกสะสมคะแนนที่เขาหยดเลือดผูกพันธะไว้แต่แรก และมีคะแนนสะสมอยู่ 1 แต้มเช่นเดียวกัน

“หากไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้าก็เข้าไปเถอะ”

ศิษย์นิกายอมตะอวิ๋นไถกล่าว

“อ่า”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าก่อนจะเหินร่างมุ่งหน้าไปยังห้วงแห่งความมืดกลางประตูบานเขื่องอย่างไม่รีบไม่ร้อน

เมื่อต้วนหลิงเทียนแตะสัมผัสถูกความมืดดังกล่าว เขาก็พบว่ามีพลังดูดรั้งมหาศาลขุมหนึ่งแผ่มากระทำต่อร่างกายเขา หมายฉุดดึงเขาเข้าไปด้านใน

ในกระบวนการนี้ถึงแม้ว่าเขาจะเลือกแข็งขืน แต่ก็คงไร้ความหมาย

หลังจากร่างถูกดูดเข้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ารอบกายเขามีแต่ความมืดมิดจนไม่อาจแลเห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5 จากนั้นในใจเขาก็บังเกิดความรู้สึกเสมือนโลกมันหมุนติ้วชวนให้ผู้คนวิงเวียนไม่น้อย

ความรู้สึกดังกล่าวยังกินเวลานานกว่าสิบลมหายใจถึงจะหยุดลง

หลังความรู้สึกหมุนติ้วหยุดลงแล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็หวนกลับมาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง และด้วยความที่เห็นแสงสว่างอีกครั้งหลังอยู่ในความมืดมานานนับสิบลมหายใจ เขาจึงหยีตาลงเพื่อหลบแสงโดยไม่รู้ตัว

“ที่นี่….”

หลังหยีตาหันรีหันขวางพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในป่าทึบแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบเห็นแต่ต้นไม้ที่เขาไม่รู้จัก

นอกจากนั้นผืนดินที่เขายืนอยู่ ยังเต็มไปด้วยใบไม้บ้างสดใหม่บ้างก็เริ่มย่อยสลาย นับเป็นผืนดินที่อ่อนนุ่มและอุดมสมบูรณ์มาก

“หืม?”

ทันใดนั้นเอง คล้ายต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง สายตาจึงหันขวับไปมองทางพุ่มไม้ไม่ไกลแห่งหนึ่งเขม็ง

พุ่มไม้ดังกล่าวแม้ไม่ทราบว่าเป็นพันธุ์ไม้อะไร หากแต่มีใบสีเหลืองแก่ และค่อนข้างเติบโตได้อย่างดีจึงแลดูหนาแน่นทั้งมั่นคงราวกับจะยึดติดรวมผสานไปกับผืนดิน

“ฮูววว…”

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสังเกตพุ่มไม้ดังกล่าวโดยละเอียด เขาก็พบเห็นดวงแสงสีเขียวจางๆ 2 ดวงส่องสว่างลอดแนวพุ่มไม้ออกมา

และในวินาทีเดียวกันกับที่เขามองสบเข้ากับดวงแสงสีเขียวจางๆที่ว่า ร่างสีเหลืองเข้มหนึ่งที่แลดูผสมกลมกลืนไปกับสีสันของพุ่มไม้ ก็กระโจนออกมาว่องไว มันโจนทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!

“นี่มัน…สัตว์อมตะรึ?”

มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเห็นว่าที่แอบซ่อนซุ่มมองเขาอยู่นั้น ดูเหมือนจะเป็นสัตว์อมตะที่มีรูปร่างละม้ายคล้ายหมาป่าอยู่ 6-7 ส่วน อีกทั้งเพียงมองไปปราดเดียวเขาก็สามารถระบุได้ทันทีว่ามันเป็นเดียรัจฉานที่ไร้สติปัญญา

“ด่านพลังของมันกลับบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับ…อีกทั้งการกระโจนเข้ามาโดยรวมรั้งพลังสร้างวังวนคมมีดพลังรอบอุ้งเท้านั่น พลังอานุภาพยังไม่ด้อยไปกว่าวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังสายจู่โจมเลย..”

ขณะที่ชมมองร่างเหลืองเข้มโจนทะยานเข่นฆ่าเข้ามาอย่างดุร้าย สำนึกเทวะที่แผ่ออกไปตรวจสอบอีกฝ่าย ก็ล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของเดียรัจฉานไร้สติปัญาตัวนี้ชัดเจน

ขวับ!

เมื่อสัตว์อมตะโจนทะยานมาเจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน มือขวาของเขาก็พุ่งออกไปราวสายฟ้าฟาด จากนั้นแสงสีกากีเข้มหนึ่งก็เรืองสว่างขึ้นมาในฝ่ามือ แผ่กลิ่นอายพลังหนักแน่นอันน่ากลัวออกมา

เรียกว่าในขณะที่พุ่งฝ่ามือขวาออกไป ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงโคจรใช้ออกด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดถ่ายเดียว หากแต่ยังรวมผสานพลังจากกฏแห่งดินเข้าไปอย่างน่าดูชม!

“อ๋าวววฮู้ววว”

พริบตาต่อมา เสียงร้องหนึ่งพลันดังขึ้น

พบบว่าบัดนี้ต้วนหลิงเทียน ได้คว้าจับลำคอของเดียรัจฉานไร้สติปัญญาตัวนี้เอาไว้อยู่หมัด! แน่นอนว่าที่คว้าจับลำคอของมันเอาไว้เป็นฝ่ามือพลังมีสภาพอันเขื่องที่ต้วนหลิงเทียนควบรวมสร้างขึ้น!!

ด้วยเพราะเดียรัจฉานตัวนี้วัดจากความสูงยามยืนสี่เท้าบนพื้น ก็คงสูงราวๆ 1 หมี่ 5 ลำคอของมันจึงค่อนข้างใหญ่ทีเดียว อาศัยมือเปล่าของเขาคงจับลำบาก…

(1 หมี่ 5 = 1.5 เมตร )

และเป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดเข่นฆ่าเดียรัจฉานหน้าขนตัวนี้แต่อย่างไร หาไม่แล้วด้วยความสามารถในการจับมันได้อย่างง่ายดายราวอินทรีย์จัลูกเจี๊ยบแบบนี้ คิดจะฆ่ามันก็คงอาศัยแค่พลิกฝ่ามือ

“หืม? นี่มันเป็นสัตว์อมตะจริงๆงั้นเหรอ…ไม่ใช่ร่างควบรวมพลังจากค่ายกลอะไร ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ กลับมีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ด้วย?”

ด้วยสำนึกเทวะที่แผ่ออกไปตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักได้ว่าเบื้องหน้าคือสัตว์อมตะที่มีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ร่างมายาหรือร่างควบแน่นพลังก่อลักษณ์อะไรทั้งสิ้น

“นี่น่ะเหรอ…โลกใบเล็กของตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะ?”

“โลกใบเล็กของจอมราชันอมตะ…ถึงกับสามารถปล่อยให้สิ่งมีชีวิตเข้ามาอยู่ดำรงอาศัยอยู่ได้เป็นเวลานาน?”

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเคยครอบครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หากแต่เรื่องโลกใบเล็กอะไรนี่ เขาไม่รู้เลย

อย่างไรก็ตามหากเป็นโลกใบเล็กของขุนนางอมตะ กับราชาอมตะนั้นเขาพอรู้อยู่บ้าง

และต่อให้เป็นโลกใบเล็กของราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือ อย่างไรก็ตามเมื่อมันเปิดออก ผู้ที่เข้าไปก็ไม่อาจรั้งอยู่ภายในได้นาน สุดท้ายก็ต้องถูกส่งออกไปอยู่ดี

“ไม่สิ…!”

พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมา “บางทีสัตว์อมตะพวกนี้…อาจจะพึ่งถูกจับมาปล่อยไว้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำรึเปล่า?”

เมื่อมองสำรวจสัตว์อมตะเบื้องหน้าอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าแม้เบื้องหน้าจะเป็นสัตว์อมตะที่ไร้สติปัญญา แต่หลังจากที่มันถูกเขาจับเอาไว้โดยที่ไม่

อาจดิ้นรนขัดขืนอะไรได้เลยสักพัก สองตากลมเขียวของมันก็เริ่มฉายชัดถึงความหวาดกลัว แลดูสลดหดหู่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“จะปล่อยแกไปสักครั้งแล้วกัน…ทีหลังอย่าห้าวโผล่มากัดผู้อื่นมั่วๆอีกล่ะ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเบา

และพอกล่าวจบคำ เขาก็สลายฝ่ามือพลังอันเขื่องที่กอบกุมลำคอสัตวว์อมตะดังกล่าว คืนอิสรภาพให้มันอีกครั้ง

สัตว์อมตะที่ถูกปลอยตัว หลังร่วงตุ๊บลงไปบนพื้น มันก็เงยหน้าขึ้นมามองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง ราวกับจะจดจำเขาให้ชัดๆ จากนั้นก็รีบหันหลังกลับ แล้วแจ้นหายไปโดยไม่หันกลับมามองต้วนหลิงเทียนอีกเลย

“โอย…นี่มันบ้าอะไรกัน?”

ด้านต้วนหลิงเทียนหลังปล่อยสัตว์อมตะไปแล้ว เขาก็เหินร่างขึ้นไปในอากาศ ทว่าอยู่ๆพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขากลับถูกพลังบางอย่างสลาย ทำให้ร่างเขารวงตุ๊บลงมา ใบไม้ปลิดปลิวฟุ้งไปทั่ว…

“ให้ตายเถอะ…บนฟ้ามีค่ายกลจำกัดเพดานบินด้วยงั้นเหรอ?”

เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนยังพอตระหนักได้ว่าเขาพึ่งจะเหินร่างลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ราวๆ 100 หมี่เท่านั้น จากนั้นก็ถูกพลังสายหนึ่งแผ่พุ่งเข้ามาสลายพลังในร่าง และไม่ว่าจะพยายามโคจรเร่งเร้าพลังออกมาเท่าไหร่ ไม่เว้นจะใช้พลังกฏแห่งดินก็ไม่อาจกระทำได้เลย…

ดูเหมือนเหนือขึ้นไปบนฟ้า ที่ระดับความสูงเกินกว่า 100 หมี่ จะมีพลังไร้สภาพบางอย่างจากค่ายกล ที่ปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้เขาเหินร่างขึ้นไปสูงกว่านั้น

“ให้ตายเถอะ…บินขึ้นมาสูงได้แค่นี้ มันแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างขึ้นมากลางหาวอีกครั้ง ได้หยุดอยู่ปริ่มๆระดับความสูงร้อยหมี่ แม้สายตาของเขาจะแลเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกลกว่าเดิม แต่ในสายตาจะเห็นก็แต่ป่าขจีอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดเท่านั้น

พั่บ!

พั่บ!

ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งแววดังมาแต่ไกล เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย แต่ทว่ายิ่งย่งมา เสียงแผ่วเบาดังกล่าวก็ยิ่งดังกระหึ่มปานน้ำป่าไหลหลากที่สามารถทลายทำนบกัดเซาะตลิ่งได้ในชั่วพริบตา!

“นั่นมัน…”

พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองยังแหล่งกำเนิดเสียงกระหึ่มดังกล่าว เขาก็พบจุดสีดำทะมึนจำนวนมหาศาลที่รวมตัวเป็นแพหนาปานเมฆดำ กำลังเคลื่อนที่เข้ามาทางเขาด้วยความเร็วสูง

ครู่ต่อมาจุดดำเล็กๆที่ว่าก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น จนในที่สุดก็มองเห็นว่ามันมีลักษณะคล้ายอีกาดำ ที่มีขนาดตัวใหญ่โตเท่าเหยี่ยวภูเขา

ทั้งบนหัวของอีกาดำเหล่านี้ยังมีเขาสีทองแหลมยาว ตัวเขายังทอแสงเรืองๆเปล่งไอพลังบางประการออกมาเสียงดังฮึงๆ

“พวกนี้…หรือจะเป็นอีกาดำเขาทอง!?”

หน้าต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีไปทันใด เมื่อเห็นฝูงอีกาดำเขาทองนับพันกำลังบินมาทางเขา!

อีกาดำเขาทองแม้จะเป็นสัตว์อมตะไร้สติปัญญา แต่พรสวรรค์ของพวกมันนับว่าสูงมาก ถึงแม้จะไม่ได้พานวาสนาอันใด แต่พวกมันเมื่อโตเต็มที่ก็สามารถทะลวงถึงยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดได้อย่างไร้ปัญหา

“ให้ตายเถอะ…อีกาดำเขาทองฝูงนี้ เหมือนด่านพลังจะบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทุกตัว!”

หลังเห็นถึงความเร็วในการเหินบินของฝูงอีกาดำเขาทองนับพัน ก็ไม่ยากอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะมองถึงด่านพลังฝึกปรือพวกมันได้ออก หนังศีรษะจึงรู้สึกด้านชาขึ้นมาโดยพลัน!

หากเป็นอีกาดำเขาทองไม่กี่สิบตัวคงไม่อาจทำให้เขากังวลอะไร

อย่างไรก็ตาม อีกาดำเขาทองนับร้อย ก็มากพอจะเป็นภัยคุกคามต่อเขา!

และถึงเขาจะสามารถเข่นฆ่าอีกาดำเขาทองนับร้อยได้จริง แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ด้วยระดับพลังในตอนนี้ สิ่งที่รอคอยเขาอยู่หลังจากนั้น…ก็คือความตายแน่แท้!

เพราะจุดที่น่ากลัวที่สุดของอีกาดำเขาทองไม่ใช่พรสวรรค์ในเรื่องการบ่มเพาะพลังของพวกมัน แต่เป็นความสามารถแต่กำเนิดที่จะสร้างค่ายกลร่วมกับสหายร่วมเผ่าพันธุ์ได้ต่างหาก!

อีกาดำเขาทองไม่กี่สิบตัวหรือไม่กี่ร้อยตัวยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้านับพันนับหมื่นร่วมกันสร้างค่ายกลล่ะก็ นั่นคืออะไรที่น่าขนลุกเป็นอย่างมาก!

ว่ากันว่าแค่ฝูงอีกาดำเขาทองไม่กี่พัน หากพวกมันร่วมกันก่อสร้างค่ายกลเสร็จสิ้นล่ะก็ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ พวกมันก็เข่นฆ่าได้ไม่ยาก!

“ไม่ได้การแล้ว! อีกาดำเขาทองฝูงนี้…ดูเหมือนพวกมันจะคอยลาดตระเวนบนฟ้าเพื่อมองหาเหยื่อ!”

เมื่อเห็นว่าฝูงอีกาดำเขาทองเริ่มเข้ามาใกล้ ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ถึงจุดนี้ทันที

จากนั้นร่างต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยแสงพลังสีกากี พริบตาคนก็พร่ามัวไปดั่งเงาเลือน พุ่งวูบดิ่งลงจากฟ้าเข้าไปในป่าปานลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร!

จังหวะนี้เขามีแต่ต้องกลับลงมาในป่าเท่านั้น

เพราะเมื่อเข้ามาในป่าทึบอันมีต้นไม้สูงใหญ่ ต่อให้ฝูงอีกาดำเขาทองนับพันจะไล่ตามลงมา แต่พวกมันก็คงยากจะรักษาขบวนค่ายกลของพวกมันเอาไว้ได้

ถึงตอนนั้นเขาก็พอมีหนทางรับมือมันได้อยู่!

“ให้ตายเถอะ ทำไมข้าถึงซวยนักเล่า…พึ่งเข้ามาไม่ทันไรก็เจอฝูงอีกาดำเขาทองชวนสยองเข้าให้!”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาด้วยความวิตกกังวลทั้งหวาดเสียวจนหนังศีรษะด้านชา เขาก็รู้สึกว่าดวงเขาช่างซวยแท้ๆ!