ตอนที่ 2993

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,993 : แดนสวรรค์ใต้โบราณ เปิดออก!

 

 

‘นั่นมัน…หรือจะเป็นจานค่ายกล?’

 

เมื่อเห็นผู้นำของ 3 นิกาย 2 ตระกูล หยิบวัตถุรูปเหลี่ยมแบนๆอันมีลวดลายและอักขระซับซ้อนสลักจารึกเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาว่า…มันน่าจะเป็นจานค่ายกล ที่เป็นดั่งกุญแจเปิดค่ายกลหลักอะไรสักอย่าง!

 

และข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก

 

สิ่งที่ทั้ง 5 คนรวมถึงจ่านซุนฉงฉีถืออยู่ในมือนั้น ก็เป็นดั่งกุญแจที่จะใช้เปิด ‘แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ’ ที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวได้มอบไว้ให้พวกมันเก็บรักษาเอาไว้

 

“เริ่มกันเลยเถอะ”

 

เมื่อปี้ไห่หมิงเฟิงประมุขคนที่ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนกล่าวให้สัญญาณจบ มันก็เป็นคนแรกที่จ่ายพลังลงสู่จานค่ายกล จากนั้นจานค่ายกลดังกล่าวก็เริ่มทอแสงสว่างเรืองรองเปล่งพลังอานุภาพออกมา ยังพุ่งลอยขึ้นไปบนฟ้าทันที

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

 

หลังปี้ไห่หมิงเฟิงลงมือ ที่เหลือก็ลงมือตาม จานค่ายกลทั้ง 4 ทยอยกันลอยขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะหยุดอยู่ในเพดานบินเดียวกับอันแรก

 

ครู่ต่อมาท่ามกลางสายตาของผู้คน จานค่ายกลทั้ง 5 ที่ลอยล่องเหนือฟ้าก็เริ่มเรียงตัวเป็นวงกลม จากนั้นแต่ละจานก็คล้ายเปล่งแสงพลังลี้ลับออกมาเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกัน

 

วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!

 

 

กลิ่นอายพลังขุมหนึ่งระเบิดออกมาสะท้านสะเทือนบรรยากาศ จานค่ายกลทั้ง 5 ที่มีพลังลี้ลับเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน เริ่มปรากฏแสงสว่างสีขาวพุ่งยิ่งออกมาดั่งลำแสง!

 

พวกมันยังยิงลำแสงออกมาอย่างพร้อมเพรียง ลำแสงที่ว่าก็ยิงลงไปยังอากาศเบื้องล่างของเหล่าผู้นำ 5 ขุมกำลัง

 

วู้มมม!!

 

ทันทีที่ลำแสง 5 ไปบรรจบกันยังจุดหนึ่ง เสียงพลังหนึ่งพลันดังออกมากึกก้อง จากนั้นความว่างเปล่า ณ จุดนั้นก็เริ่มสั่นไหว!

 

ครู่ต่อมา

 

เปรียะ!

 

กลางอากาศว่างเปล่า บังเกิดเป็นรอยแยกมิติหนึ่งฉีกเปิดขึ้น!

 

และเมื่อรอยแยกมิติดังกล่าวขยายตัวออกถึงระดับหนึ่ง ประตูอันมหึมาแสนวิจิตรงดงามหนึ่งก็คล้ายจะลอยล่องออกมาจากห้วงมิติ

 

ประตูดังกล่าวกอปรขึ้นจากเสาทั้ง 2 ข้างอันเป็นเสาขนาดใหญ่ 2 เสา ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณและลวดลายซับซ้อนมากมาย ให้กลิ่นอายราวกับมันผ่านพ้นวันเวลามาแล้วเนิ่นนาน

 

นอกจากนั้นบนคานเหนือประตู ก็ปรากฏป้ายโลหะแผ่นใหญ่ห้อยแขวนเอาไว้ ตัวป้ายยังสลักอักษร 4 ตัว ที่แลดูทรงพลังประหนึ่งหงส์มังกรมีชีวิต!

 

แดนสวรรค์ใต้โบราณ

 

อักษรทั้ง 4 นี้ เหล่ายอดเซียนอมตะส่วนใหญ่เพียงชมมองได้แค่ราวๆ 1-2 ลมหายใจเท่านั้น จากนั้นแต่ละคนก็เร่งละสายตาออกมาทันที

 

เพียงเพราะว่าในขณะที่มันมองชมคำ ‘แดนสวรรค์ใต้โบราณ’ บนแผ่นโลหะนั้น ได้ปรากฏรัศมีพลังลี้ลับหนึ่งพุ่งยิงเข้าใส่พวกมัน ทำให้พวกมันรู้สึกกดดันอย่างหนักหน่วง

 

พวกมันไม่อาจต้านทานแรงกดดันดังกล่าวได้ไหว อย่างดีก็ฝืนชมดูได้แค่ 1-2 ลมหายใจเท่านั้น

 

กระทั่งยอดเซียนอมตะบางคนที่สามารถทนได้นานหน่อย ก็ทนได้นานกว่ายอดเซียนอมตะส่วนใหญ่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น

 

กล่าวได้ว่านอกจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ไม่มียอดเซียนอมตะคนใดสามารถมองจ้องอักษรบนป้ายเหล็กดังกล่าวได้นานเกิน 10 ลมหายใจเลย!

 

และเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนสามารถมองชมอยู่ได้นานนั้น เพราะทองเทพสุดลี้ลับได้แผ่พลังลี้ลับบางประการคอยปกป้องคุ้มครองดวงจิตของเขาเอาไว้ตลอดเวลา

 

คำ ‘แดนสวรรค์ใต้โบราณ’ บนป้ายเหล็กที่ว่า รัศมีพลังที่มันยิงพุ่งออกมา จัดเป็นการโจมตีทางวิญญาณในรูปแบบหนึ่ง…ซึ่งก็ถูกพลังของทองเทพสุดลี้ลับทำลายได้อย่างง่ายดาย

 

“หืม?”

 

หลังจากชมดูอักษรที่เขีนไว้อ่างงดงามอยู่สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตอนนี้คนอื่นๆ ได้พากันก้มหน้าและละสายตาออกมาจากอักษรบนป้ายกันหมดแล้ว เข้าจึงตระหนักได้ทันทีว่าอักษรดังกล่าวนั้นมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา!

 

เขาจึงเร่งละสายตากลับมาเหมือนคนอื่นๆอย่างทันท่วงที

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำทั้งหมดของเขานั้น ได้ตกอยู่ในสายตาของผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูลแต่แรก “เจ้าหนูผู้นั้น…ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!”

 

พวกมันไหนเลยจะไม่รู้ว่าอักษรทั้ง 4 ตัวบนป้ายเหล็กมันสร้างแรงกดดันต่อจิตใจขนาดไหน

 

ทว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น กลับชมดูอยู่ได้นานสองนานโดยที่ไม่เป็นอะไร ผิดกับยอดเซียนอมตะผู้อื่นลิบลับ เพราะต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะคนอื่นที่สามารถทนมองได้นานที่สุด ยังใช้เวลาได้ไม่ถึงครึ่งของต้วนหลิงเทียน! ที่สำคัญท่าทียังทำราวกับเป็นฝ่ายเลิกมองไปเอง ไม่ใช่มองต่อไม่ไหว!!

 

“น่าสนใจจริงๆ”

 

บนเกี้ยวที่ใช้ผู้คน 8 คนแบกหาม ปี้ไห่หมิงเฟิงที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่ มุมปากก็เริ่มยกยิ้มขึ้นมาบางๆ

 

หลังจากที่เหล่ายอดเซียนอมตะรวมถึงต้วนหลิงเทียนละสายตาออกมาจากป้ายเหล็กบนคานประตูแล้ว ยอดฝีมือที่นำพาเหล่ายอดเซียนอมตะทั้งหลายมา หลังจากชมดูอยู่ได้ต่อราวๆสิบลมหายใจ ก็พากันละสายตากลับมาเช่นกัน

 

“อักษร 4 ตัวนั่น…คงมิใช่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกเราเขียนทิ้งไว้หรอกนะ?”

 

ยอดเซียนอมตะผู้หนึ่งหันไปถามผู้นำของตัวเอง

 

“เจ้าเดาได้ถูก…อักษรทั้ง 4 นั่นเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกเราเขียนไว้จริงๆ เพียงแต่ว่าข้าเองก็ไม่อาจบอกเจ้าได้ ว่าเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นใดที่เขียนมันทิ้งไว้”

 

ในบรรดาผู้ที่มาครั้งนี้ มีหลายคนที่ล่วงรู้ว่าอักษรทั้ง 4 เป็นผลงานของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ เพียงแค่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นใด

 

“ให้ตายเถอะ…นั่นเป็นแค่อักษรที่เขียนทิ้งไว้แท้ๆ…หากจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ตัวจริงปรากฏตัว พลังฝีมือที่แท้จะสะท้านขวัญผู้คนขนาดไหนกัน?”

 

หวงเจียหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

“จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้…”

 

นับว่าแตกต่างจากหวงเจียยหลงที่แลดูหวั่นหวาดยำเกรงอย่างสิ้นเชิง ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้สึกอะไรกับจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่ว่า ทั้งไม่ได้สนใจอะไรแม้แต่น้อย…

 

เพราะเขาเคยพบเจอกระทั่งตัวตนที่อยู่เหนือจักรพรรดิสวรรค์มาแล้วด้วยซ้ำ กับอีแค่จอมราชันอมตะคนหนึ่งไหนเลยจะทำให้เขารู้สึกสนใจอะไรได้

 

สุดท้ายแล้วผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ได้ ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ…อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!

 

และจักรพรรดิอมตะกับจอมราชันอมตะ แม้จะแตกต่างกันแค่คำเดียว แต่พลังความแข็งแกร่งของทั้งคู่ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง!

 

คนแรกนั้นอาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด ก็จบชีวิตคนหลังได้อย่างง่ายดาย…

 

นอกจากนั้นเพราะต้วนหลิงเทียนมีทองเทพสุดลั้บคอยแผ่พลังคุ้มครองดวงจิตอยู่ การโจมตีทางวิญญาณใดๆจากป้ายเหล็กบนคานประตูจึงไม่อาจทำอะไรเขาไม่ได้เลย เขาจึงไม่รู้ว่าหวงเจียหลงรวมถึงคนอื่นๆรู้สึกกันอย่างไร…

 

ครืนนนน!!

 

เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!

 

 

เมื่อบังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นจากประตู สายตาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆจึงถูกประตูดังกล่าวดึงดูดไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่มีใครแหงนมองป้ายอักษรบนคานประตูอีกเลย

 

และเหล่าผู้ที่ยังคิดท้าทายพลังลี้ลับที่กดดันจิตวิญญาณเป็นการเคี่ยวกรำตัวเองนั้น พอได้ยินเสียงดังจากประตู มันก็หันไปให้ความสนใจกับตัวประตูก่อน

 

ภายใต้ทุกสายตา ในที่สุดประตูดังกล่าวก็ได้เปิดออกแล้ว และการเปิดออกของประตูดังกล่าว ก็คือบริเวณใจกลางของมันได้บังเกิดห้วงแห่งความมืดมิดอันไม่รู้จบ!

 

ความมืดดังกล่าว เรียกว่ามืดสนิทจนทำให้รู้สึกว่าหากเข้าไปในนั้นคงไม่อาจเห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5!

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

 

และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันที่ประตูบานเขื่องท่ามกลางความว่างเปล่าเปิดออก ก็ปรากฏร่างคน 10 คนจากแต่ละขุมกำลังเหินร่างออกไปหยุดเบื้องหน้าประตูดังกล่าว และเริ่มเรียงเป็นแถวเดี่ยวเบื้องหน้าประตู คล้ายกำลังสร้างแนวกั้นขวางเอาไว้

 

ตั้งแต่ที่เห็นประตูบนนี้ปรากฏขึ้น และเห็นอักษรคำว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณบนป้ายเหล็กที่ห้อยอยู่ที่คานประตู ทุกคนในที่นี้ก็ล่วงรู้ได้ทันที ว่านี่คือประตูทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณ

 

พวกมันก็เลยไม่ได้แปลกใจกับการปกระทำของ 3 นิกาย 2 ตระกูลสักเท่าไหร่

 

“เอาล่ะ ตอนนี้ผู้ใดที่ไม่คิดจะเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณ ให้ล่าถอยออกไป 2 ลี้!”

 

เสียงของจ่างซุนฉงฉีดังขึ้นอีกครั้ง

 

ทันใดนั้นคนของขุมกำลังต่างๆที่นำพาเหล่ายอดเซียนอมตะทั้งหลายมา ไม่เว้นหูหลินอี้ฮ่องเต้ฝูชิว ก็ได้เร่งรุดล่าถอยออกไป 2 ลี้ทันที

 

ในบรรดาผู้ที่ล่าถอยออกไป ก็ยังมียอดเซียนอมตะที่เปลี่ยนใจไม่คิดเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณรวมอยู่ด้วย

 

กล่าวได้ว่าเพียพริบตา ก็มีผู้คนล่าถอยออกไปราวๆ 8,000 กว่าคน

 

คงเหลืออยู่ราวๆ 12,000 คนเท่านั้น

 

สำหรับทั้ง 9 คนจากประเทศฝูชิวรวมทั้งต้วนหลิงเทียน ก็เป็นผู้ที่ไม่ได้ถอยไปไหน

 

“ประเสริฐ เหลือคนอีกนับหมื่น!”

 

เมื่อเห็นว่ายังคงเหลือยอดเซียนอมตะที่ตั้งใจเข้ารสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณอีกราวๆ 12,000 คน จ่างซุนฉงฉีก็แลดูพอใจไม่น้อย “มีราวๆ 12,000 คนงั้นรึ เช่นนั้นในบรรดาพวกเจ้าคงมีผู้ที่รอดกลับออกมาได้ราวๆ 3,600 คน…”

 

“สำหรับ 3,600 คนที่รอดกลับออกมาได้ สามารถเลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังใดก็ได้ในบรรดาพวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูล”

 

“นอกจากนั้นอันดับของทั้ง 3,600 คนที่รอดกลับออกมาได้ จะถูกตัดสินจากแต้มในป้ายหยกสะสมคะแนนของพวกเจ้า”

 

“ผู้ที่ติด 100 อันดับแรก จะได้รับรางวัลเพิ่มเติมจาก 3 นิกาย 2 ตระกูล…ยิ่งหากติดอยู่ใน 30 อันดับแรกได้ ของรางวัลก็จะเพิ่มข้นไปอีก”

 

“สำหรับ 10 อันดับแรก หรือ 3 อันแรก แม้แต่อันดับที่ 1 นั้น…มูลค่าของรางวัลที่จักได้รับ คงไม่ต้องบอกว่ามหาศาลเพียงใด”

 

จ่างซุนฉงฉีกล่าวต่อว่า “เป็นธรรมดาว่าของรางวัลที่จักได้รับส่วนนี้ ล้วนไม่เกี่ยวของกับผู้ที่พาพวกเจ้ามา…กล่าวได้ว่าของรางวัลจากอันดับที่ข้าพูดถึงจะเป็นของพวกเจ้าเอง และไม่จำเป็นต้องมอบให้กับผู้ที่พาพวกเจ้ามา”

 

ผู้พามา ที่จ่างซุนฉงฉีกล่าว ก็หมายถึงผู้ที่นำพายอดเซียนอมตะทั้งหลายเดินทางมานั่นเอง

 

อย่างเช่นสำหรับต้วนหลิงเทียน ผู้ที่พามาก็คือหูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิว รางวัลส่วนนี้เขาไม่จำเป็นต้องให้หูหลินอี้แต่อย่างไร

 

“ต่อไปพวกเจ้าจะถูกคนของพวกเราแบ่งออกเป็น 50 กลุ่ม และจักเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณที่ละกลุ่ม…พวกเจ้าทั้งหมดนอกจากหยดเลือกเพื่อผูกพันธะครองป้ายหยกสะสมคะแนนแล้ว ต่อไปให้พวกเจ้าทำการหยดเลือดบนป้ายย่อยที่คนของพวกเราตระเตรียมไว้ให้ด้วย”

 

“ป้ายย่อยนั้น พวกเจ้าจำต้องทิ้งไว้ด้านนอก เพื่อให้พวกเรารับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงคะแนนในป้ายหลักพวกเจ้า…และเมื่อเจ้าตกตายภายในนั้น พอป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าแตกหัก ป้ายย่อยด้านนอกก็จะแตกหักตามไปด้วย”

 

“นอกจากนี้พวกเราจักสร้างตารางอันดับไว้กลางอากาศ เพื่อให้ทุกคนรับทราบผลงานของพวกเจ้า และยังบ่งบอกได้อีกว่าพวกเจ้าคนใดตายตกไปแล้วด้านในบ้าง…”

 

“และเป็นธรรมดาว่า ผู้ที่มีคะแนนสะสมเพียงแค่แต้มเดียวนั้น จักไม่ถูกนำมาจัดอันดับ”

 

จ่างซุนฉงฉีกล่าว

 

‘ป้ายหยกสะสมคะแนนนี่ยังมีป้ายหลักป้ายย่อยได้อีกงั้นหรือ? ป้ายหลักนั้นข้าพกเข้าไปเพื่อเก็บสะสมคะแนน ส่วนป้ายย่อยทิ้งไว้ด้านนอก คอยบอกคะแนนเพื่อนำไปจัดอันดับ?’

 

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกาเรืองขึ้นวูบหนึ่ง เรื่องนี้หูหลินอี้ไม่ได้บอกเขา แต่ไม่พ้นอีกฝ่ายคิดว่าสุดท้ายคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็จะเอ่ยถึงอยู่ดี ก็เลยไม่ได้บอกเขาไว้แต่แรก

 

“สำหรับเรื่องยิบย่อยอื่นๆ ผู้ที่พาพวกเจ้ามาคงกล่าวอธิบายให้พวกเจ้าได้ทราบกันแล้ว…เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มแบ่งออกเป็น 50 กลุ่ม และทยอยกันเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณตามลำดับเสีย”

 

“และไม่ว่าของสิ่งใดที่พวกเจ้าได้มาจากภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณ เมื่อนำออกมาแล้วพวกมันก็จะยังคงเป็นของพวกเจ้า”

 

“อีกทั้ง…ยิ่งพวกเจ้าแสดงผลงานได้ดีเท่าไหร่ พวกเจ้าก็จักได้รับการต้อนรับและการปฏิบัติจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลของพวกเราดีขึ้นเท่านั้น”

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ถูกคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลจัดกลุ่ม เสียงเฉยเมยของจ่างซุนฉงฉีพลันดังขึ้นอีกครั้ง

 

พอกล่าวเรื่องนี้จบมันก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

 

จากนั้นไม่ทันไร พวกต้วนหลิงเทียนและเหล่ายอดเซียนอมตะทั้ง 12,000 คน ก็ได้ถูกยอดเซียนยอมตะของ 3 นิกาย 2 ตระกูลแบ่งกลุ่มเสร็จเรียบร้อย

 

ทั้ง 50 คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็จะคอยจัดการความเรียบร้อยในกลุ่มที่พวกมันเลือกดูแล เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมดก็จะส่งทุกคนเข้าไปด้านใน ส่วนลำดับอะไรพวกมันก็ได้ตระเตรียมกันมาแต่แรก

 

จากนั้นเมื่อทุกคนได้ทำการหยดโลหิตเพื่อผูกพันธะครองป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองแล้ว ก็ต้องไปหยดเลือดของตัวเองลงบนป้ายย่อยที่ทางคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลตระเตรียมไว้ให้เสียก่อน จึงจะสามารถเข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณได้

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

 

เมื่อทำการหยดโลหิตลงป้ายยย่อยที่คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลตระเตรียมไว้ให้เสร็จแล้ว คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ส่งมอบป้ายย่อยให้กับผู้นำ จากนั้นก็เริ่มเหินร่างนำคนของกลุ่มตัวเองผ่านประตูเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณทันที

 

ในขณะที่ร่างคนกลุ่มแรกพุ่งผ่านความมืดมิดของประตูสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณจนลับหายไป ห้วงแห่งความมืดก็ไร้ซึ่งสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับทุกคนได้ถูกความมืดมิดกลืนหายไปไม่เหลือซาก!

 

ทีละกลุ่มๆ ทั้งหมดค่อยๆเหินร่างเข้าสู่ห้วงแห่งความมืดตามผู้นำกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ

 

ไม่นานก็ถึงกลุ่มที่มีคนของประเทศฝูชิวอยู่…