บทที่ 1808 ฉันเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ + ตอนที่ 1809 หลายหัวดีกว่าหัวเดียว

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1808 ฉันเป็นโรคที่รักษาไม่ได้

หมอกู้ไม่ได้เอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมา ให้เหยียนหมิงซุ่นได้กอดความหวังเอาไว้บ้างเพราะอย่างน้อยก็ยังมีกำลังใจ ไม่อย่างนั้นจะตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังทันที ซึ่งรสชาติแบบนั้นปวดร้าวเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอีก

เหมยเหมยส่งเสียงเรียกอยู่ข้างนอก เหยียนหมิงซุ่นและหมอกู้เลยออกมา

“พี่หมิงซุ่น พวกพี่คุยอะไรกันอยู่ข้างในเหรอ คุยกันตั้งนานเชียว?” เหมยเหมยถามยิ้ม ๆ

เหยียนหมิงซุ่นมองเหมยเหมยที่ยังคงมีสีหน้าดูไม่ค่อยดีอยู่หัวใจก็พลันเหมือนโดนทิ่มแทง เขาโทษตัวเองอยู่อย่างนั้นเป็นเขาที่ทำร้ายเหมยเหมยแท้ ๆเลย

“ไม่ได้คุยอะไรหรอก เธอยังปวดหัวอยู่ไหม?” เหยียนหมิงซุ่นถามอย่างอ่อนโยน

“ไม่ปวดเลยสักนิดเดียว ฉันรู้สึกว่าฉันคิดถึงพี่มากเกินไปพอพี่มาก็เลยไม่ปวดแล้ว” เหมยเหมยปากหวานเหมือนน้ำผึ้ง ทำตัวออดอ้อนน่ารัก สยงมู่มู่ที่อยู่ข้าง ๆทำหน้ารังเกียจ ใช้แรงถูแขนด้วยท่าทีขนลุกขนพอง

ดีแต่โชว์ความรักให้คนอื่นเห็น น่ารำคาญชะมัดเลย

หัวใจของเหยียนหมิงซุ่นยิ่งเจ็บปวดหนักกว่าเดิม เพราะว่ายัยเด็กโง่คิดถึงเขาถึงได้ปวดหัว เขาลูบหัวเหมยเหมยเบา ๆ พูดอมยิ้มว่า “วันหลังจะไม่ให้โอกาสเธอได้คิดถึงพี่แน่นอนเพราะพวกเราจะอยู่ด้วยกันทุกวันเลย”

ในเมื่อมีเพียงแค่ความคิดถึงที่จะทำให้ปวดหัว งั้นเขาก็จะไม่ให้เหมยเหมยคิดถึงอีก เขาจะอยู่กับเธอทุกวันไม่ว่าจะไปไหนก็จะพาเธอไปด้วยทุกที…

สยงมู่มู่และเซียวเซ่อต่างก็พากันลูบแขน แม่เจ้าโว้ย คิดไม่ถึงว่าพญายมราชคนนี้จะพูดจาหวาน ๆชวนขนหัวลุกแบบนี้เป็นด้วย?

ขนลุกขนพองซู่ซ่ากันถ้วนหน้าเชียว!

เหมยเหมยยิ้มจนดวงตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว ตอบรับเสียงหวาน “ได้ค่ะ ฉันจะตามติดเป็นเงาของพี่เลย ฮิ ๆ…”

แต่ใจของเธอกลับหล่นไปถึงตาตุ่มแล้ว ร่างกายของเธอจะต้องเกิดปัญหาแล้วแน่นอน เมื่อครู่เหยียนหมิงซุ่นอยู่ในห้องกับหมอกู้ตั้งนานสองนาน ถ้าหากเธอไม่ได้ป่วยคงออกมานานแล้ว

อีกทั้งความกังวลใจในดวงตาของเหยียนหมิงซุ่นไม่สามารถปกปิดเธอได้ หรือว่าเธอป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้?

ดังนั้นเหยียนหมิงซุ่นถึงได้คิดจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายอยู่กับเธอทุกนาทีทุกวินาที?

ด้วยความช่างคิดของอาชีพจิตรกรทำให้เหมยเหมยคิดไปไกลอย่างไร้ขอบเขต กระทั่งคิดไปไกลจนถึงงานศพหลังการตายของเธอ ใครจะมาเคารพศพเธอบ้างและจะมีใครร้องไห้เพื่อเธอไหม…

เหยียนหมิงซุ่นและพวกเหยียนซินหย่าจะทุกข์ใจมากขนาดไหน!

พอคิด ๆแล้วดวงตาของเหมยเหมยก็มีน้ำตาเอ่อล้น รอยยิ้มก็ยากที่จะรักษาไว้ได้ ใบหน้ายู่เข้าหากันพลันแสบจมูกขึ้นมา

“ทำไมเธอพูดอยู่ดี ๆก็ร้องไห้ล่ะ? ปวดหัวอีกแล้วใช่ไหม?” สยงมู่มู่เห็นก็นึกแปลกใจ ทั้ง ๆที่ยังหัวเราะคิกคักมีความสุขอยู่เลยแต่ชั่วพริบตาก็น้ำตาไหลเสียแล้ว ผู้หญิงคนนี้อารมณ์เปลี่ยนเร็วจริง ๆ

เหยียนหมิงซุ่นร้อนใจรีบคว้าตัวเหมยเหมยหมายจะนวดให้เธอ เหมยเหมยตีมือของเขาให้หลบไป พูดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า “ทำไมจู่ ๆพี่ถึงมาทำดีกับฉันขนาดนี้ เพราะว่าฉันใกล้ตายแล้วใช่ไหม? ตกลงฉันเป็นโรคอะไรกันแน่…พี่บอกฉันมาเลยนะ ให้ฉันตายเป็นผีที่รู้กระจ่างแจ้งทีเถอะ…ฮือ ๆ…”

ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ…

เธอเพิ่งจะเป็นคุณนายเหยียนเพียงแค่หนึ่งเดือน ลูกก็ยังไม่มี ไม่ได้แก่ไปพร้อมกับเหยียนหมิงซุ่น เธอยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เลยด้วยซ้ำ แถมจ้าวเสวียหลินยังไม่ได้แต่งงานพาพี่สะใภ้เข้าบ้านเลย…

เธอยังมีแรงบันดาลใจอีกตั้งมากมายยังไม่ทันจะได้วาดออกมาเลย..เสียดายมากจริง ๆ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเธออายุเพียงแค่ยี่สิบปีเอง ยังใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่พอเลย!

ทำไมใช้ชีวิตอยู่ดี ๆก็ต้องมาตายแล้วล่ะ?

เหยียนหมิงซุ่นได้ยินเสียงพึมพำขาด ๆหาย ๆนั้นอย่างชัดเจน ทั้งขบขันทั้งปวดใจ ช่างเป็นเด็กที่โง่อะไรอย่างนี้นะ!

“สมองเล็ก ๆของเธอคิดอะไรอยู่เนี่ย…” เหยียนหมิงซุ่นจิ้มหน้าผากของเหมยเหมย พูดอย่างไม่พอใจว่า “ทำดีกับเธอก็คิดไปถึงขั้นป่วยเป็นโรคเลยเหรอ เธออยากให้วันหลังพี่ว่าเธอทุกวันเลยใช่ไหม?”

เหมยเหมยลูบหัวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจพลางมองค้อนใส่เขา เก็บน้ำตากลับเข้าไปในทันทีและไม่แสบจมูกอีกต่อไป

ในเมื่อไม่ใช่โรคที่รักษาไม่ได้งั้นเธอมีอะไรให้น่ากังวลใจอีกล่ะ?

ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าขนาดนั้น ท้องฟ้าสีครามสดใสขนาดนั้น อากาศหอมหวานขนาดนั้น ทุกอย่างในชีวิตมันช่างวิเศษเสียจริง!

…………………………………………..

ตอนที่ 1809 หลายหัวดีกว่าหัวเดียว

หมอกู้ฝังเข็มให้กับเหมยเหมยไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป หายใจลึกสม่ำเสมอ ใบหน้าดูมีเลือดฝาด น่ารักเหมือนลูกแมวตัวน้อย ๆ

เหยียนหมิงซุ่นอุ้มเธอกลับไปที่ห้องแล้ววางลงบนเตียงเบา ๆ จากนั้นก็ประทับรอยจูบบนหน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา ในใจเหมือนมีขนนกที่พกเข็มปลิวไสวลอยมาด้วย นุ่มนวลแต่ในไม่ช้าก็ทิ่มแทงจนเจ็บปวดเหลือเกิน

คนสารเลวสมควรตายที่ทำกู่ใส่เขา เขาจะไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด!

จุดที่หมอกู้ฝังเป็นจุดที่ช่วยให้จิตใจสงบลง หากเป็นไปตามคาดเหมยเหมยคงนอนหลับยาวจนถึงรุ่งสาง ก่อนหน้านั้นเหยียนหมิงซุ่นงีบหลับไปหนึ่งชั่วโมงจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะไม่มีอาการง่วงแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกเป็นกอง ไม่มีเวลาให้เขานอนอีกแล้ว

เวลานี้พวกสยงมู่มู่กลับกำลังสอบปากคำหมอกู้อยู่ที่ห้องรับแขก

“ตกลงเหมยเหมยป่วยเป็นอะไรกันแน่? คุณอย่าคิดที่จะโกหกปิดบังผมนะ หากเหมยเหมยไม่ได้ป่วยแล้วทำไมคุณกับเหยียนหมิงซุ่นถึงได้อยู่ในห้องด้วยกันนานขนาดนั้น?” สยงมู่มู่ถามอย่างร้อนใจ

หมอกู้มองเขาเป็นอากาศธาตุ ทำท่าทีเหม่อลอยราวกับเป็นเทพเซียนชั้นสูงที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พาลทำให้คนที่เห็นนึกหงุดหงิดใจ

สยงมู่มู่เห็นเหยียนหมิงซุ่นเดินลงมาจึงถามเสียงดังว่า “เหยียนหมิงซุ่นนายบอกมาเลยนะว่าเหมยเหมยป่วยเป็นอะไร? ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้”

“เมื่อก่อนฉันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ฉันก็มีสิทธ์เหมือนกัน…” เสียงของอู่เชายิ่งเบาลงเรื่อย ๆแต่ก็ยังพยายามเค้นความกล้าพูดจนจบ

เซียวเซ่อยืนกอดอกกล่าวอย่างเท่ ๆว่า “อย่างไรเสียหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียว ถ้าเหมยเหมยป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้จริง ๆ พวกเราคนเยอะขนาดนี้รวมหัวช่วยกันคิดจะต้องดีกว่าคุณคิดคนเดียวแน่”

“ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราสามคนก็ไม่ใช่คนเขลา ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นจอมปราชญ์ขงเบ้งอยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ายกเว้นเจ้าอ้วน!” สยงมู่มู่เชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมาก

อู่เชาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด เชอะ วัน ๆเอาแต่โอ้อวดไอคิวต่อหน้าเขาทุกวัน!

มากกว่าเขาแค่หกสิบเท่านั้นเอง!

มีอะไรให้น่าสรรเสริญกันเล่า!

เหยียนหมิงซุ่นสัมผัสได้ถึงความจริงใจของพวกสยงมู่มู่ทั้งสามคน การแสดงออกเช่นนี้ทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง เขาเติบโตโดยลำพังมาตั้งแต่เด็กจนโต เพราะว่าเขาคิดว่าตัวเองไม่ได้ต้องการเพื่อน

เขามีความสุขกับการอยู่คนเดียว!

ตอนนี้ก็ยังคงใช่!

ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยรู้ว่ามิตรภาพเป็นเช่นไร รสชาติเป็นอย่างไร เปรี้ยวหรือหวาน?

หรือว่าจะเป็นหวานอมขมหรือเปรี้ยวอมฝาดกันแน่นะ?

แต่ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสถึงมันได้ เขาปลื้มใจแทนเหมยเหมยที่ได้รับความจริงใจจากเพื่อน ๆ

“เหมยเหมยไม่ได้ป่วยแต่โดนพิษกู่ มีชื่อเรียกว่ากู่หักสวาท ตอนนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษาได้” เหยียนหมิงซุ่นพูดแค่ว่าเหมยเหมยโดนพิษกู่แต่ไม่ได้พูดถึงตัวเอง และไม่ได้พูดว่ากู่ชนิดนี้จะทำให้เขาและเหมยเหมยมีลูกไม่ได้

เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูด!

จริง ๆแล้วเขาไม่ได้สนใจกู่บนร่างกายของตัวเองเลย ถึงเรื่องที่ไม่สามารถมีลูกได้จะน่าเสียดายอยู่บ้าง แต่เขาจะปล่อยให้เหมยเหมยทุกข์ทรมานไม่ได้ พิษนี้ต้องหาทางแก้

“โธ่เอ้ย…นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีกู่อยู่จริง ๆ…กู่หักสวาท แค่ฟังก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของดีอะไร” สีหน้าของอู่เชาเปลี่ยนยกใหญ่ เขาคิดอยู่ตลอดว่าพิษกู่ในนวนิยายกำลังภายในเป็นสิ่งที่นักเขียนแต่งขึ้นมาเอง

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง งั้นถ้าพูดขึ้นมาอย่างนี้แล้ว ผีกองกอยแห่งเซียงซีก็มีจริง ๆสินะ?

อู่เชารู้สึกทันทีว่าด้านหลังมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน พยายามไล่ผีกองกอยที่ปรากฏขึ้นในหัวออกไป ขยับเข้าใกล้สยงมู่มู่มากขึ้นเพื่อดูดซับความอบอุ่น

หมอกู้อธิบายเรื่องกู่คร่าว ๆอย่างละเอียดให้ฟัง เซียวเซ่อรอให้เขาพูดจบแล้วถึงถามขึ้นว่า “จะต้องใช้เลือดสด ๆของเจ้าของถึงจะกำจัดกู่ได้เหรอ? ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ?”

“ไม่มีแล้ว แม้กระทั่งอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดก็ไม่สามารถตรวจจับกู่ได้ ยังจะมีวิธีอะไรไหนอีกล่ะ!” หมอกู้ส่ายหน้าพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เมื่อก่อนเขาเคยศึกษาเรื่องกู่มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง กล้องจุลทรรศน์กำลังสูงเท่านั้นถึงจะสามารถเห็นตัวกู่ได้ มันเป็นกาฝากอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดและไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ยิ่งนานวันเข้าก็จะยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนสุดท้ายก็จะหลอมรวมกับเลือด ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเลือดสด ๆของเจ้าของก็หมดหนทางที่จะแก้พิษได้

…………………………………………..