พริบตาเดียวนี้ภาพลักษณ์ความลึกลับที่เย่หยวนเคยได้สร้างมาในเวลากว่าหนึ่งปีมันก็จางหายไปสิ้น
เวลานี้แม้แต่หลินหลานเองก็ยังต้องอ้าปากค้าง
เขานั้นเคยคิดไปถึงขั้นว่าด้วยความสามารถของเย่หยวนนี้ตัวเขาย่อมจะต้องมากพรสวรรค์อย่างเหนือล้ำ!
หลินหลานไม่เคยคิดฝันว่าเย่หยวนกลับจะไม่มีอะไรเลยเช่นนี้!
แต่เขานั้นแตกต่างจากคนทั่วไป
เพราะเขานั้นไม่ได้คิดว่าเย่หยวนไร้ค่า เขารู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมากความสามารถแค่ไหนจนทำให้เขายิ่งตื่นตะลึง
คนที่ไร้พรสวรรค์เช่นนี้กลับสามารถจะก้าวขึ้นมาถึงสามสิบสามสวรรค์ได้และยังสามารถจะเป็นยอดคนที่เก่งกาจปานนี้ได้!
เช่นนั้นแล้วหากมิใช่พรสวรรค์ เย่หยวนนั้นใช้อะไรในการก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้?
หลินหลานนั้นมั่นใจมากว่าเย่หยวนจะไม่หยุดลงตรงนี้และวันหน้าจะยิ่งพัฒนาขึ้นกลายเป็นยอดคนต่อไป
อนาคตของเขานั้นมันสดใสเป็นอย่างมาก!
และแม้จะต้องเผชิญเสียงเย้ยหยันรอบด้านเช่นนี้แต่ตัวเย่หยวนเองก็ยังยืนด้วยท่าทางสงบ
เขานั้นไม่เคยจะสนใจความคิดของผู้คนมาก่อนอยู่แล้วและย่อมจะไม่คิดว่าพรสวรรค์ใดๆ มันมีค่ามากมาย
พรสวรรค์ที่ค่ายกลนี้มันตรวจสอบได้นั้นมันคือพรสวรรค์ทางร่างกายเท่านั้น
มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่อยู่ภายนอก
ต่อให้เย่หยวนจะบ่มเพาะขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของโลกนี้มันก็คงไม่มีทางเปลี่ยนได้
แต่ค่ายกลนี้มันไม่อาจจะเข้าไปตรวจสอบส่วนลึกของคนได้จริงๆ
อย่างเช่นความสามารถในการวิเคราะห์เข้าใจ ความมุ่งมั่นของจิตใจ!
ในสายตาของเย่หยวนแล้วสิ่งนั้นมันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่สำคัญไปกว่านั้นเย่หยวนยังรู้ดีว่าพรสวรรค์ภายนอกนี้มันเปลี่ยนแปลงกันได้
ความเข้ากันได้ของเขานั้นมันพัฒนาขึ้นมิใช่หรือ?
เช่นนั้นตราบเท่าที่เขายังยืนหยัดอยู่บนเส้นทางโอสถแล้ว วันหน้าค่าความเข้ากันได้ของเขามันก็อาจจะพัฒนาไปจนถึงระดับห้าสิบหรือหกสิบได้!
“เอาล่ะ หัวเราะกันเสร็จแล้ว! มันถึงเวลาจัดการเรื่องของเราเสียที! ศิษย์พี่ฮั่น ข้าคงต้องขอรบกวนท่านลงมือด้วย!” หลังหัวเราะกันจนพอใจแล้วลู่จ้านหยวนก็หันมากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
ฮั่นเฉียนหยุนยิ้มตอบกลับไป “ศิษย์น้องลู่ ให้ข้ามาลงมือสังหารเช่นนี้แล้ววันหน้าข้าคงได้กลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งนิกายแน่”
ฮั่นเฉียนหยุนนั้นเป็นถึงยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศล้ำ เป็นผู้พิทักษ์ปีกแดงอันสูงส่ง เขานั้นกลับต้องมาลงมือสังหารเจ้าคนที่ไร้พรสวรรค์ที่สุดในประวัติศาสตร์
ไม่ว่าจะมองดูมันอย่างไรมันก็เป็นการลดตัวเองอย่างชัดเจน
ลู่จ้านหยวนจึงได้แต่ต้องยกแก่นหยาดหยกฟ้าขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ศิษย์พี่ฮั่น แม้ว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะไร้พรสวรรค์ใดๆ แต่วิชาพิษของมันนั้นมิใช่เล่นๆ! ข้าคิดว่าตอนที่มันบรรลุขึ้นมามันคงบังเอิญไปได้สมบัติสืบทอดวิชาพิษของใครเข้า! ศิษย์พี่ หากท่านสังหารมันลงให้ข้าแล้วข้าจะขอมอบแก่นหยาดหยกฟ้าให้ท่าน”
ฮั่นเฉียนหยุนหรี่ตาลงกล่าวทันที “นี่เจ้าพูดเองนะ!”
แก่นหยาดหยกฟ้านั้นมันคือสมบัติก่อนกำเนิดที่แสนล้ำค่า
แม้แต่ยอดคนชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศล้ำเองก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากมัน
จะบอกว่าลู่จ้านหยวนนั้นยอมเฉือดเนื้อตัวเองเพื่อจะสังหารเย่หยวนลงก็ว่าได้
“ข้านี่แหละพูด!” ลู่จ้านหยวนกัดฟันกล่าวขึ้น
ฮั่นเฉียนหยุนหันไปมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อย ขยะเช่นเจ้านั้นเดิมทีข้าก็ไม่คิดจะลดตัวลงไปจัดการเองหรอก! แต่วันนี้เพื่อแก่นหยาดหยกฟ้าแล้วข้ามีแต่ต้องลงมือ!”
เย่หยวนไม่คิดสนใจเขาและหันไปหาทางผู้พิทักษ์โม่ “เจ้านั้นปล่อยให้ชายร่างใหญ่คนนั้นทดลองฝีมือมิใช่หรือ? ขอข้าทดลองด้วยจะได้หรือไม่เล่า?”
ผู้พิทักษ์โม่นั้นอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยิน “เด็กน้อย เลิกดิ้นรนเสียเถอะ! มันยังทำไม่ได้ แล้วมีหรือที่เจ้าจะทำได้! ก่อนหน้านี้หยุนชิงไม่ได้ใช้กำลังถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำ”
“หะ? ก-กำลังไม่ถึงครึ่ง?” เมื่อเหล่าผู้บรรลุสวรรค์คนอื่นได้ยินพวกเขาต่างก็ต้องอ้าปากค้างขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ศิษย์นิกายนอกคนนั้นบ่มเพาะมาแค่สิบปีแต่กลับใช้พลังฝีมือไม่ถึงครึ่งจัดการยอดฝีมือร่างใหญ่คนนั้นลง!
ความห่างนี้มันมากจนเกินรับ!
“ข้าไม่ได้พูดถึงเขานั้น แต่เป็นมัน!” เย่หยวนชี้นิ้วไปยังลู่จ้านหยวนด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ?! เขา… กลับคิดจะท้าทายลู่จ้านหยวน?”
“เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้วหรือ?”
“มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? เจ้าคนที่ไร้พรสวรรค์ถูกทอดทิ้งเช่นนี้กลับจะไปท้าทายศิษย์อันดับสามแห่งนิกายในหรือ?”
…
เมื่อเย่หยวนกล่าวขึ้นมานั้นมันก็ย่อมจะทำให้คนทั้งหลายแตกตื่นไปตามๆ กัน!
เพราะเย่หยวนในเวลานี้มันไม่ได้ต่างอะไรจากมดปลวกที่นอนอยู่บนพื้นรอความตายในสายตาของคนทั้งหลาย
ส่วนทางลู่จ้านหยวนนั้นเป็นเหมือนมังกรบนฟ้า!
คนทั้งสองนั้นมันแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง!
แต่เวลานี้เจ้ามดปลวกคนนี้มันกลับคิดจะท้าทายมังกรฟ้าหรือ?
เจ้านี่มันล้อเล่นหรืออย่างไร?
ลู่จ้านหยวนเองก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “เด็กน้อย เจ้ามันไร้พรสวรรค์ แต่สมองของเจ้าเองก็ไม่มีด้วยหรือ? หรือว่าเจ้าคิดจะใช้โค่นสายลมจัดการกับข้าเล่า?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ข้าจะไม่ใช่พิษใดๆ เจ้าแค่ต้องกดพลังบ่มเพาะของตัวเองลงมาในระดับเดียวกับข้าก็พอ”
ลู่จ้านหยวนนั้นอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังท้าทายใครอยู่? อย่าว่าแต่กดพลังลงไปให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าเลย ต่อให้ข้าจะกดพลังบ่มเพาะจนไปถึงชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยขั้นต้นข้าก็ยังสังหารเจ้าได้ทันที! แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ใช้พิษ!”
ลู่จ้านหยวนนั้นคือใคร?
เขานั้นคือศิษย์ของยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์จักรพรรดิหยก ศิษย์อันดับสามแห่งนิกายใน
เวลานี้เขากลับกำลังถูกมดปลวกท้าทาย!
เขานั้นรู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังท้าทายศักดิ์ศรีของตน
เย่หยวนยักไหล่ตอบกลับไป “เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรับคำหรือไม่? เจ้าอยากสังหารข้ามิใช่หรือ? ข้าเปิดโอกาสให้เจ้าแล้ว! มาประลองกันด้วยชีวิต! ว่าอย่างไรเล่า?”
เมื่อผู้พิทักษ์โม่และฮั่นเฉียนหยุนได้ยินพวกเขาต่างก็ต้องอมยิ้มออกมา
แม้แต่เหล่าผู้บรรลุสวรรค์ทั้งหลายเองก็ยังต้องหัวเราะลั่นขึ้นมาด้วยเช่นกัน
คำพูดของเย่หยวนนั้นมันเหมือนการดิ้นรนสุดท้าย
ลู่จ้านหยวนยิ้มกว้างขึ้นมาทันที
“ได้! ตราบเท่าที่เจ้าไม่ใช้พิษแล้วมีหรือที่ข้าจะยังไม่กล้ารับคำท้า? แค่คนไร้พรสวรรค์อย่างเจ้านั้นมีหรือที่จะต้านทานมือข้าได้?” ลู่จ้านหยวนกระโดดลงมาหยุดตรงหน้าเย่หยวนทันที
ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
การกระทำของเย่หยวนนั้นมันเหมือนเป็นการรนหาที่ตายในสายตาของทุกผู้คน
ต่อให้ลู่จ้านหยวนจะกดพลังบ่มเพาะลงแต่เขานั้นก็เป็นศิษย์นิกายในอันดับสาม เขาย่อมจะเอาชนะนักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยได้สิ้น!
ผู้พิทักษ์โม่นั้นหันมามองฮั่นเฉียนหยุนด้วยรอยยิ้ม “แก่นหยาดหยกฟ้าหลุดมือไปเสียแล้วนะ!”
ฮั่นเฉียนหยุนยิ้มตอบกลับไป “ศิษย์น้องลู่นั้นเป็นยอดคนหายากที่มีกายเต๋าตะวันก่อนกำเนิดระดับห้า กำลังฝีมือของเขานั้นเอาชนะคนในระดับเดียวกันได้หมดสิ้น! มีเพียงแค่ซูหลิงเฟยและเจิ้งชิวเฟยสองคนเท่านั้นที่มีสุดยอดกายเต๋าพอจะเบียดพลังฝีมือเขาได้ อาจารย์เองก็ชื่นชอบตัวเขาอย่างมาก! หากเขาคิดอยากจะสังหารด้วยมือตัวเองแล้ว มีหรือที่ข้าจะหยุดเขาลงได้?”
ผู้พิทักษ์โม่นั้นยิ้มขึ้นมา “เช่นนั้นเจ้าลองคาดเดาดูไหมเล่าว่าเจ้าเด็กคนนี้จะรอดไปได้กี่กระบวนท่า?”
ฮั่นเฉียนหยุนหัวเราะขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน “กี่กระบวนท่า? มันก็ต้องตายทันทีมิใช่หรือ? การที่บอกว่าเอาชนะคนรุ่นเดียวกันได้สิ้นนั้นมันมิใช่แค่เรื่องพูดเล่นๆ! ที่สำคัญไปกว่านั้นแม้จะกดพลังบ่มเพาะลงแต่ความเข้าใจในกฎของศิษย์น้องลู่นั้นมันก็มิใช่สิ่งที่จะเอามดมาเปรียบเทียบได้! ศึกนี้มันจบลงก่อนจะเริ่มแล้วด้วยซ้ำ”
ผู้พิทักษ์โม่นั้นยิ้มตอบกลับไป “จริง! ข้านั้นไม่รู้เลยว่าเจ้าเด็กคนนี้มันไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน! มันไม่เห็นศึกของหยุนชิงกับเจ้ากล้ามนั้นหรือ? ตัวมันนี้แค่จะเอาชนะเข้ากล้ามยังยากแล้วมีหรือที่มันจะชนะศิษย์น้องลู่ได้?”
อีกด้านนั้นเย่หยวนก็หันไปหาเหยาชิง “พี่เหยา ข้าขอยืมดาบท่านใช้หน่อยจะได้หรือไม่?”
เหยาชิงจึงได้โยนดาบของตนออกมาพร้อมขมวดคิ้วแน่น “น้องเย่ เจ้านั้นจะบ้าบิ่นเกินไปแล้ว! โค่นสายลมนั้นมันรุนแรงจริง แต่มันก็เพราะพิษนั้นที่ทำให้เขาเกรงกลัวเจ้า เวลานี้เมื่อเจ้ามัดมือตัวเองลงเช่นนี้แล้วเจ้าจะยังเอาอะไรไปสู้ศิษย์พี่ลู่ได้? เจ้า… หากเจ้าเป็นอะไรไปแล้วข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบท่านหลัวกัน!”
เย่หยวนจับดาบนั้นขึ้นมาก่อนจะยิ้มตอบไป “หากข้าตายในศึกนี้คนทั้งหลายต่างก็จะบอกได้เป็นเสียงเดียวกันว่าข้านั้นรนหาที่ตายของข้าเอง ทำไมผู้อาวุโสหลัวท่านจะมาโทษพี่กัน? เอาเถอะ ไม่ต้องกังวลให้มันมากไป คนที่ท่านควรกังวลนั้นคือมันมากกว่า! หากข้าสังหารมันลงแล้วทั้งนิกายนี้คงได้สั่นคลอนแน่ใช่หรือไม่เล่า?”
ลู่จ้านหยวนหัวเราะลั่นขึ้นมาเมื่อได้ยิน “ฮ่าๆๆ… เด็กน้อย เจ้านี่มันมีพรสวรรค์ในการเป็นตัวตลกเสียจริง! เจ้า? สังหารข้า?”
เย่หยวนพยักหน้ารับไป “ใช่ สังหารเจ้า!”
ลู่จ้านหยวนหัวเราะขึ้นมาเมื่อได้ยิน “นี่เป็นมุกที่ตลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลย!”
พูดจบเขานั้นก็พุ่งร่างเข้าใส่เย่หยวนด้วยคลื่นพลังที่รุ่มร้อนราวดวงตะวัน!
………………………..