บทที่ 1812 ขุนให้อ้วน + ตอนที่ 1813 ยังมีผู้สมรู้ร่วมคิด

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1812 ขุนให้อ้วน

นอนหลับฝันดีไปหนึ่งคืนเหมยเหมยก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง สีหน้าดูดีขึ้นมาก มีก็แต่คางแหลมเพราะซูบผอมและดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด

“จากนี้ไปทุกมื้อจะต้องกินข้าวครึ่งชาม ห้ามคัดค้าน!”

เหยียนหมิงซุ่นตักโจ๊กเต็มชามให้เธอและหยิบซาลาเปาเนื้อเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น น้ำเสียงยากจะปฏิเสธได้ เธอมองไปที่ซาลาเปาเนื้อขาวอวบสามชิ้นในจาน ทั้งยังมีโจ๊กหมูสับไข่เยี่ยวม้าที่แทบจะล้นทะลักออกมาอยู่รอมร่อ เหมยเหมยอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาออกมา

เยอะขนาดนี้…

เธอจะกินหมดได้อย่างไร?

“ค่อย ๆกินช้า ๆ ฉันจำได้ว่าตอนเธอเด็ก ๆเธอไม่ได้กินเก่งขนาดนั้นนี่เนอะ ก็แค่มื้อหนึ่งกินข้าวสามถ้วย แถมยังมีปลาอีกหนึ่งตัวด้วย” ดวงตาของเหยียนหมิงซุ่นฉายแววขบขัน ตั้งใจพูดยียวน

เหมยเหมยหน้าแดงก่ำพลางมองเขาอย่างเคือง ๆ

ตอนนั้นไม่ใช่ว่าเธอจงใจอยากให้ทั้งครอบครัวของอู่เยวี่ยไม่มีกินหรอกหรือ สุดท้ายต้องขอบคุณเหยียนหมิงซุ่นที่ให้ยาช่วยย่อยมาเลยท้องไม่แตกตายไปก่อน

เซียวเซ่อกินซาลาเปาลูกใหญ่สองลูกไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็มองเหมยเหมยอย่างเหยียดหยาม “เธอออกกำลังกายน้อยเกินไป ต่อจากนี้ตามฉันไปฝึกมวยทุกวัน ของกินน้อยแค่นี้แทบจะไม่เพียงพอที่จะอุดช่องว่างในฟันของเธอด้วยซ้ำ”

พูดไปเธอก็กัดเข้าปากไปอีกคำจนซาลาเปาพร้อมเนื้อแสนอร่อยหายไปเกือบครึ่งลูก พอกัดอีกคำครึ่งที่เหลือก็หายวับไป เซียวเซ่อกินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อย แล้วยังเอื้อมมือไปหยิบซาลาเปาอีกชิ้น

เชิญแม่ครัวคนนี้ไปประเทศอังกฤษด้วยเลยดีไหมนะ?

ฝีมือดีขนาดนี้อยู่กับเหมยเหมยไปก็เสียดายฝีมือเปล่า ๆ กระเพาะเล็กหยั่งกับกระเพาะนก แม่ครัวเก่งแต่กลับไร้โอกาสจะแสดงฝีมือ!

เหมยเหมยกลอกตามองบนใส่เธอ หยิบซาลาเปาลูกหนึ่งยัดเข้าปากของเซียวเซ่อ “กินซาลาเปาของเธอไปเถอะ!”

ฝึกชกมวย?

เธอยอมเต้นยังจะดีกว่า!

เหยียนหมิงซุ่นก้มหัวกระซิบข้างหูของเธอเสียงเบา “ไม่ฝึกชกมวยก็ได้นะ บนเตียงก็ออกกำลังกายได้เหมือนกัน ฉันช่วยฝึกให้ไม่ถือสาหรอก…”

เหมยเหมยกะพริบตาปริบ ๆฟังไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอยังนึกไปว่าที่เหยียนหมิงซุ่นพูดถึงการซิทอัพ ตอนที่กำลังจะบอกว่าไม่ต้องหรอกหางตาก็สังเกตเห็นถึงความหมายที่ลึกซึ้งในดวงตาของเหยียนหมิงซุ่นก็พลันเข้าใจในทันที…

ออกกำลังบนเตียง…

ช่วยฝึก…

ตาหื่นเอ้ย!

“ไม่เอา!” พวงแก้มของเหมยเหมยใหญ่กว่าซาลาเปาเสียอีก แต่หน้ากลับแดงกว่าไข่เค็มแดงแล้วมองค้อนใส่ใครบางคน

หยอกล้อเธอต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ หน้าไม่อายขึ้นทุกวันเลยจริง ๆ!

เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเบา ๆ เอาไม่เอาไม่ใช่เรื่องที่ยัยปีศาจน้อยพูดแล้วจะได้ สิทธิ์อำนาจอยู่ที่เขาต่างหาก

เขาหยิบผ้าเช็ดปากเช็ดคางเหมยเหมยแล้วก็ให้เธออีกชิ้น พูดอย่างขบขันว่า “เธอเหมือนเด็กน้อยขึ้นทุกวัน แค่กินซาลาเปาก็ยังทำให้น้ำมันกระเด็นเลอะเสื้อผ้าไปหมด”

เหมยเหมยก้มลงมองก็เห็นมีคราบน้ำมันหยดบนเสื้อคลุม จึงแลบลิ้นออกมาอย่างอาย ๆ “น้ำมันเยอะเกินไปต่างหากล่ะ!”

ทั้งสองคนแอบอิงแนบชิด พูดคุยกะหนุงกะหนิงกันเหมือนไม่มีคนอื่น ทำเหมือนพวกสยงมู่มู่ไม่มีตัวตน…

สยงมู่มู่หยิบจานเดินไปตรงโซฟาอย่างรู้สึกปวดใจ ไม่มองสิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิด คนโสดอย่างเขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวหรอก!

เขาเหลือบมองเซียวเซ่อที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆเลยแม้แต่น้อยอีกครั้ง กินซาลาเปาไปเป็นลูกที่หกแล้ว โจ๊กก็ถ้วยที่สองเช่นกัน เขาก็พลันรู้สึกปวดใจมากขึ้นไปอีกได้แต่กัดซาลาเปาเข้าปากอย่างขมขื่น

ภายใต้คำหวานหยดย้อยและการบีบบังคับของเหยียนหมิงซุ่น เหมยเหมยกินซาลาเปาไปสามลูกและโจ๊กหนึ่งถ้วย เธอจุกจนแทบจะถึงคอหอยอยู่แล้วจึงเรอออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เหยียนหมิงซุ่นทำท่าปลื้มอกปลื้มใจ

ตอนกลางวันค่อยให้แม่ครัวทำอาหารที่เหมยเหมยชอบให้มากหน่อยแล้วค่อยจับจ้องต่อ

ยังต้องขุนให้อ้วนขึ้นอีก เมื่อร่างกายดีขึ้นแล้วถึงจะมีแรงต่อสู้กับพิษกู่ได้มากขึ้น

โทรศัพท์แผดเสียงดังขึ้นเป็นคุณนายโจวโทรมาบอกว่ามีเรื่องต้องการจะคุยกับเหมยเหมย ฟังดูท่าทางเหมือนร้อนใจมาก

ครั้งนี้ไม่ได้ไปเจอกันที่ภัตตาคารป้าหวัง เหยียนหมิงซุ่นพาคุณนายโจวไปยังฐานลับแห่งหนึ่งของเขา เหมยเหมยก็ไปด้วยเช่นกัน แล้วเธอก็แนะนำเหยียนหมิงซุ่นให้คุณนายโจวรู้จัก

“คุณป้าโจวคะ เขาคือสามีของหนูเอง เขามีเรื่องอยากจะถามคุณป้าค่ะ”

……………………………………………

ตอนที่ 1813 ยังมีผู้สมรู้ร่วมคิด

คุณนายโจวไม่รู้จักเหยียนหมิงซุ่น แต่พอเธอได้ยินว่าเป็นสามีของเหมยเหมยก็สบายใจ พอมองพินิจพิจารณาเห็นเหยียนหมิงซุ่นดูภูมิฐานสง่าผ่าเผย ใบหน้าดูน่ายำเกรงก็ยิ่งชื่นชม

มิน่าล่ะโจวจื่อหัวถึงได้เลือกร่วมงานกับเหยียนหมิงซุ่น เหยียนหมิงซุ่นดูน่าไว้ใจกว่าเฮ่อเหลียนเช่อที่เมื่อก่อนคิดอยากจะดึงสามีไปเป็นพวกเยอะเลย

อันที่จริงก่อนที่โจวจื่อหัวจะคบค้าสมาคมกับเหยียยหมิงซุ่น เขาเคยเจรจาติดต่อกับคนแผ่นดินใหญ่อีกคนซึ่งเป็นหนุ่มวัยรุ่นหล่อเหลา เขาคนนั้นก็คือเฮ่อเหลียนเช่อ

เฮ่อเหลียนเช่อยังเคยไปบ้านตระกูลโจว คุณนายโจวเคยเห็นหน้าเขามาก่อน สัญชาตญาณของเธอบอกว่าไม่สามารถคบหากับเฮ่อเหลียนเช่ออย่างลึกซึ้งได้เพราะโหดเหี้ยมเกินไป ไม่แน่วันข้างหน้าจะมีจุดจบถูกหลอกใช้งานพอหมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้ง โจวจื่อหัวก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับเธอ

อีกทั้งโจวจื่อหัวเคยส่งคนไปตามสืบเรื่องของเฮ่อเหลียนเช่อที่แผ่นดินใหญ่มาก่อน พอรู้พฤติกรรมสไตล์การทำงานของเขาโจวจื่อหัวก็ก็ยิ่งเย็นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ ตอนวัยรุ่นเขาเองก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมมากและฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา แต่ตอนนี้อายุมากแล้ว ลูกหลานมีเยอะแยะ เขาแค่อยากสะสมบารมีไว้ให้คนรุ่นหลัง ไม่อยากเข่นฆ่าสร้างกรรมอีกต่อไปแล้ว

ดังนั้นเฮ่อเหลียนเช่อจึงถูกโจวจื่อหัวเขี่ยทิ้งไป การมาเยือนของเหยียนหมิงซุ่นจึงตรงตามความต้องการในใจของโจวจื่อหัวพอดี

เหยียนหมิงซุ่นให้ลูกน้องชงชา ถามว่า “คุณนายโจสืบเจออะไรบ้างไหม? แล้วเกี่ยวข้องกับโอหยางซานซานไหม?”

คุณนายโจวดูเคร่งขรึมมาก พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ฉันส่งคนสะกดรอยตามโอหยางซานซานและเจอสิ่งผิดปกติมากมายเกี่ยวกับเธอ เดิมทีคนของฉันต้องโทรมารายงานฉันตอนห้าทุ่มทุกคืน แต่เมื่อคืนเขากลับไม่โทรมาฉันจึงส่งคนไปตรวจสอบดูกลับพบว่าคนที่สะกดรอยตามโอหยางซานซานเสียชีวิตแล้ว”

เหมยเหมยใจเต้นรัว พูดเสียงหลงว่า “ตายแล้ว? โอหยางซานซานเป็นคนฆ่าเหรอคะ?”

“อันนี้ยังยืนยันไม่ได้แต่ต้องเกี่ยวข้องกับโอหยางซานซานแน่นอน บางทีอาจจะเป็นเธอฆ่าหรือบางทีอาจจะเป็นคนพวกเดียวกันกับเธอฆ่าก็ได้”

“ความหมายของคุณนายโจวก็คือโอหยางซานซานยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอื่นอยู่ในฮ่องกงด้วย?” เหยียนหมิงซุ่นจับประเด็นสำคัญได้

“ใช่แล้ว ลูกน้องของฉันสืบหามาได้ว่าโอหยางซานซานติดต่อกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าจางฉู่เซิงอยู่บ่อยครั้ง จางฉู่เซิงเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งในแผ่นดินใหญ่และเพิ่งมาฮ่องกงได้ไม่ถึงปี”

คุณนายโจวพยักหน้า สีหน้าดูปวดใจอยู่บ้างเพราะลูกน้องที่ถูกฆ่าติดตามเธอมานานกว่าสิบปี ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยเธอละก็ลูกน้องคนนี้คงจะเกษียณไปนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องมาตายอย่างน่าเวทนาเพราะเธอและทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง โธ่!

เธอหยิบกระดาษโน้ตเล็ก ๆที่เปื้อนเลือดออกมาจากกระเป๋ายื่นส่งให้เหยียนหมิงซุ่นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและแค้นใจมาก

“นี่เป็นข่าวสุดท้ายที่ลูกน้องของฉันรายงานให้ฉันรู้ มันถูกเก็บงำอยู่ในปากของเขา…”

คุณนายโจวสะอึกสะอื้น พออายุเยอะแล้วก็ยิ่งสะเทือนใจง่ายมากกว่าเดิม และยิ่งรับเรื่องล้มหายตายจากไม่ค่อยได้

กระดาษโน้ตมีขนาดเล็กมากเป็นมุมกระดาษที่ฉีกออกจากฟอยล์ของซองบุหรี่ สภาพยับยู่ยี่เขียนอย่างลวก ๆแต่ก็พอจะอ่านออก เป็นตัวอักษรสามตัว เหมยเหมยโน้มตัวไปข้างหน้าอ่านเสียงเบาว่า “เฉินกั๋วเปียว?”

“คุณป้าโจวคะ หรือว่าลูกน้องของคุณป้าอยากจะบอกว่าคนที่ฆ่าเขาก็คือเฉินกั๋วเปียว?” เหมยเหมยประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ทำไมลามไปไกลถึงเฉินกั๋วเปียวแล้วล่ะ?

คุณนายโจวพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ฉันสงสัยว่าโอหยางซานซานเป็นคนของเฉินกั๋วเปียว เฉินกั๋วเปียวเจ้าชาติชั่วนั้นต้องการแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าของจื่อหัวมาโดยตลอด มักมาก่อกวนเล็ก ๆน้อย ๆเป็นประจำแต่ก็ไม่สำเร็จ จิตใจชั่วช้าไม่มีเปลี่ยนแล้วยังใช้อุบายสาวงามมาหลอกล่อ จื่อหัวก็ยังจะตกหลุมพลางเข้าให้อีก”

เธอเกลียดเฉินกั๋วเปียว แต่แน่นอนเธอเกลียดความเจ้าชู้ของโจวจื่อหัวยิ่งกว่าถึงได้ทำให้ศัตรูสบโอกาสได้

เหยียนหมิงซุ่นส่ายศีรษะปฏิเสธ “โอหยางซานซานอาจจะร่วมมือกับเฉินกั๋วเปียวแต่ไม่ใช่คนของเขาแน่นอน ผู้หญิงคนนี้มีเจ้านายอีกคน”

แต่ว่าเฉินกั๋วเปียวเป็นแค่โจรหยาบช้า ฆ่าคนไม่มีปัญหาแต่พื้นฐานตื้นเขิน อย่างมากสุดก็แค่ฝีมือพอไปวัดไปวาได้ เขาจะมีศักยภาพฝึกสาวงามงูพิษที่เจ้าเล่ห์อย่างโอหยางซานซานได้อย่างไรกัน?

ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าโอหยางซานซานใจเหี้ยมมาก การร่วมมือกับเฉินกั๋วเปียวไม่ใช่เจตนาของคนที่อยู่เบื้องหลังเธอ แต่เป็นเจตนาส่วนตัวของเธอเอง

เธอคิดจะให้เฉินกั๋วเปียวทำอะไรกันแน่?

………………………………………….