บทที่ 692.1 เด็กสาวถามหมัดต่อเทพลำคลอง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นครปี้ฮว่า บริเวณที่ใกล้เคียงกับภาพเหมือนเทพหญิงกว้าเยี่ยน เผยเฉียนตามหาร้านเล็กที่ขายสมุดคัดลอกและสมุดสำเนาภาพขุนนางสวรรค์เทพหญิงในราคาถูกแห่งนั้นเจอ เมื่อโชควาสนาทั้งแปดส่วนหายไป กิจการของร้านค้าก็ธรรมดาอย่างมาก สภาพการณ์ไม่ต่างจากร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลงบ้านตัวเองสักเท่าไร

เถ้าแก่คือพี่สาวอายุน้อยที่หน้าตางามพิสุทธิ์ ได้ยินอาจารย์พ่อเล่าให้ฟังว่า แม้นางจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมา แต่นางกับผังหลันซีกลับเป็นคู่รักเทพเซียนที่หาได้ยากคู่หนึ่ง

เผยเฉียนจึงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ผังหลันซีผู้นั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาที่มีเวทรักษาความเยาว์ ทว่ารูปโฉมของสตรีล่างภูเขากลับต้องเสื่อมโทรมไปทุกปี ต่อให้มียาวิเศษก็ยังต้องมีวันที่เส้นผมทั้งศีรษะขาวโพลน ถึงเวลานั้นนางจะทำอย่างไร? ต่อให้คนทั้งสองจะครองรักกันอย่างยาวนาน และผังหลันซีเองก็ไม่ถือสา แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องแอบเสียใจอยู่บ้างกระมัง เผยเฉียนเกาหัว ไม่สู้จดจำโฉมหน้าของพี่สาวคนนี้แล้วกลับไปให้พ่อครัวเฒ่าทำหน้ากากที่หน้าตาเหมือนนางมาดีไหม? เพียงแต่เผยเฉียนก็กังวลอีกว่าตนจะทำในเรื่องที่เกินความจำเป็นหรือไม่ เฮ้อ ปวดหัว อาจารย์พ่ออยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ

เป่าไก้ หลิงจือ ชุนกง ฉางฉิง เทพหญิงจ่านคานที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า ‘เซียนไม้เท้า’ เทพหญิงทั้งห้าองค์นี้ ก่อนหน้าที่อาจารย์พ่อจะมาเยือนนครปี้ฮว่าคราวก่อนก็เปลี่ยนจากภาพวาดฝาผนังสีสันกลายเป็นภาพลายเส้นขาวดำแล้ว หลังจากที่อาจารย์พ่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาผีร้าย เทพหญิงสามองค์อย่างกว้าเยี่ยน สิงอวี่ ฉีลู่ ต่างก็พากันเลือกเจ้านายของตัวเอง ตอนนั้นเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ต่างก็รู้สึกอยุติธรรมแทนอาจารย์พ่อ เทพหญิงสามองค์นั้นเป็นอย่างไรกันนะ อายุมากแล้วก็เลยสายตาไม่ดีหรือ? เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเผยเฉียนถึงสังเกตเห็นว่าตอนนั้นอาจารย์พ่อมีสีหน้าโล่งอก แล้วยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีด้วย

เผยเฉียนมาที่นี่ก็เพื่อร่วมวงความครึกครื้น นอกเสียจากนางทุบหม้อขายเหล็กแล้วก็ไม่มีทางซื้อภาพเทพหญิงนี่ได้อย่างแน่นอน

ส่วนหลี่ไหวก็ช่างเถิด เป็นคนจนยากไร้มาตั้งแต่ต้นจนจบ บนร่างไม่มีเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว พกมาแต่เศษก้อนเงินเท่านั้น เอาแต่กินเปล่าอยู่เปล่ากับหัวหน้าสาขาอย่างนางท่าเดียว

ไม่เป็นไร เผยเฉียนตัดสินใจแล้วว่าจะทำการค้าเล็กๆ ที่นี่ ก่อนจะลงจากเขานางได้บอกกล่าวกับเหวยอวี่ซงเทพเจ้าแห่งเงินทองของสำนักพีหมาไว้ก่อนแล้ว ผู้อาวุโสเหวยรับปากว่าหากนางกับหลี่ไหวเป็นผ้าห่อบุญน้อยที่นครปี้ฮว่าแห่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมอบเงินให้แก่สำนักพีหมา

บอกลากับพี่สาวที่อ่อนโยนน่าใกล้ชิดมาแล้ว เผยเฉียนก็พาหลี่ไหวไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีคนเยอะ หาพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งเจอ เผยเฉียนก็ปลดหีบไม้ไผ่ หยิบเอาห่อผ้าฝ้ายห่อหนึ่งที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมาวางปูลงบนพื้น เอายันต์กระดาษเหลืองสองแผ่นวางไว้บนผ้าฝ่าย จากนั้นก็หันไปขยิบตาให้หลี่ไหว หลี่ไหวรู้ความนัยเข้าใจโดยพลัน โอกาสทำความดีชดใช้ความผิดมาถึงแล้ว อันตรายที่จะถูกเผยเฉียนเล่นงานไม่เหลืออยู่แล้ว เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ดังนั้นจึงรีบหยิบที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบรูปเซียนนั่งแพชิ้นนั้นออกมาวางบนผ้าฝ้ายก่อนทันที จากนั้นจึงเอาของที่เหลืออีกสามชิ้นออกมา ตอนนั้นคนทั้งสองแบ่งของกันคนละครึ่ง นอกจากที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบชิ้นนี้แล้ว หลี่ไหวยังได้ที่ทับกระดาษขนาดเล็กที่ลักษณะเหมือนพิณโบราณลายพระอาทิตย์ตกดิน รวมไปถึงถ้วยลายมังกรไล่ไข่มุกที่ลงสีเคลือบลายมาใบหนึ่ง ส่วนภาพจิ้งจอกไหว้พระจันทร์ กล่องเก็บอุปกรณ์ที่แถมสิงโตสามสีมาคู่หนึ่ง และแท่นฝนหมึกเซียนประคองจันทร์เมาสุรานั้นล้วนเป็นของเผยเฉียน นางบอกว่าวันหน้าจะเอาไปมอบให้คนอื่น แท่นฝนหมึกมอบให้อาจารย์พ่อ เพราะอาจารย์พ่อเป็นบัณฑิต อีกทั้งยังชอบดื่มเหล้า ส่วนภาพไหว้พระจันทร์จะมอบให้หมี่ลี่น้อย กล่องเก็บอุปกรณ์มอบให้พี่หญิงหน่วนซู่ นางเป็นผู้ดูแลน้อยและนักบัญชีตัวน้อยของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา พี่หญิงหน่วนซู่จะได้เอาไปใช้งานได้พอดี

ส่วนยันต์ปึกใหญ่กับเชือกสีแดงเส้นนั้น เผยเฉียนเอากระดาษยันต์ที่มีจำนวนเยอะ ส่วนหลี่ไหวก็ต้องรับเอาเชือกสีแดงที่เผยเฉียนรังเกียจ และอันที่จริงแล้วเขาก็รังเกียจยิ่งกว่ามาแต่โดยดี บุรุษตัวโตๆ อย่างพวกเขาจะเอาของเล่นแบบนี้มาทำอะไรกัน

คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะถลึงตาใส่หลี่ไหว พูดอย่างเดือดดาลว่า “โง่หรือไร พวกเราเหมือนคนที่มาจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์หรือ? เจ้าเอาสมบัติมากมายขนาดนี้ออกมารวดเดียว ใครเขาจะเชื่อ? นี่เจ้ากำลังแปะกระดาษเขียนคำว่า ‘เป็นของปลอมจริงแท้แน่นอน’ ไว้บนหน้าผากตัวเองหรือไร? กระดาษยันต์สองแผ่น ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบชิ้นเดียวก็พอแล้ว!”

สุดท้ายเผยเฉียนกับหลี่ไหวต่างก็นั่งยองอยู่ด้านหลังแผงผ้าฝ้าย ผ้าห่อบุญน้อยที่เพิ่งเปิดร้านนี้ แท้จริงแล้วขายของแค่สองอย่างเท่านั้น ยันต์ผีวาดที่หลอกคนให้เห็นกันจะๆ สองแผ่น กับที่ล้างพู่กันกระเบื้องเซียนนั่งแพหนึ่งชิ้น

คนที่เดินผ่านมาส่วนใหญ่แค่ชำเลืองตามองกระดาษยันต์และที่ล้างพู่กันแล้วก็เดินจากไป

หลี่ไหวถามเสียงเบา “ต้องให้ข้าช่วยร้องเรียกลูกค้าหรือไม่?”

“จะร้อนใจไปไย ไม่มีใครเขาทำการค้าแบบเจ้ากันหรอก”

เผยเฉียนเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนพื้น พูดเสียงหยันว่า “เดิมทีก็ต้องการผู้ช่วยอยู่จริงๆ ทำการค้าน้ำไหลที่ไม่มีการทำบัญชี แค่ตั้งแผงลอยขึ้นแบบนี้ อันที่จริงก็ไม่ต่างจากการเลือกเทียบขายยาในยุทธภพสักเท่าไร วิธีการไม่ได้มีมากเหมือนกิจการบนภูเขาที่ต้องลงบัญชี แต่ก็ไม่ได้น้อย หากพวกเรามีคนมาก สามารถเอาใบปลิวไปแจก เรียกกระแสผู้คนให้มาหา รอจนคนมากแล้วค่อยเลือกคนที่เป็นแกนนำมาสักคน ให้เขาพูดอย่างชัดเจนว่าสงสัยว่าเราขายของปลอม จากนั้นก็ผลัดกันถามผลัดกันตอบ คนที่พูดเก่งหน่อยก็จะขจัดความสงสัยของพวกลูกค้าให้หมดเกลี้ยงไปได้เอง นอกจากนี้ก็หาหน้าม้าสักคน ให้สวมเสื้อผ้าที่ดูดี พูดจาเหมือนคนมีเงินยืนอยู่ในกลุ่มคน แต่ให้จงใจยืนอยู่ห่างจากคนอื่นไปหน่อย ให้เขาเปิดปากบอกว่าจะซื้อ…ช่างเถิด พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ข้างกายข้ามีแต่คนโง่อย่างเจ้าอยู่คนเดียว หากช่วยจริงๆ ก็มีแต่จะช่วยให้เสียเรื่อง ต่อจากนี้เจ้าแค่ดูอย่างเดียวก็พอ ข้อดีเพียงอย่างเดียวของเจ้าก็คือน้ำเสียงยามพูด หลังจากนี้ข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”

เผยเฉียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าซับซ้อน เอ่ยเสียงเบาว่า “แบบที่ร้ายกาจที่สุดก็คือคนๆ เดียวสามารถเหมางานทั้งหมดมาทำเองได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็นคนที่มีความสามารถสูงสุดในยุทธภพ ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่หิวตาย แล้วยังหาเงินก้อนใหญ่มาได้ด้วย แต่คนแบบนี้อยู่ในยุทธภพก็มีกฎเกณฑ์ข้อห้ามเยอะเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นจะไม่หาเงินจนคนอื่นหมดตัวเด็ดขาด ตัวอย่างก็เช่นว่าเดิมทีในกระเป๋าเงินของคนที่ถูกหลอกมีเงินอยู่สิบตำลึงเงิน สุดท้ายจะต้องเหลือเงินไว้ให้คนผู้นี้หนึ่งถึงสองตำลึง นอกจากจะเป็นกฎเกณฑ์ของพวกผู้อาวุโสแล้วก็ยังซ่อนความรู้ใหญ่ไว้ด้วย เพราะหากเหลือทางถอยให้คนอื่น คนที่ถูกหลอกก็มักจะไม่ค่อยจดจำความแค้นเท่าใดนัก ไม่ต้องผูกปมแค้นต่อกัน แต่คนแบบนี้มีอยู่น้อยมากๆ ข้าแค่เคยได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังเท่านั้น ไม่เคยเห็นมาก่อน”

หลี่ไหวทอดถอนใจ “เผยเฉียน การค้าด้วยวิชาลับในยุทธภพเหล่านี้ เจ้าเข้าใจเยอะมากจริงๆ เลยนะ”

อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนไม่ได้เป็นเช่นนี้

พอมาอยู่ในยุทธภพ ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะเป็นดั่งปลาที่ได้น้ำ ไม่ว่ากฎเกณฑ์หรือวิธีการแบบไหนก็ล้วนเข้าใจทั้งหมด

เผยเฉียนเงียบไปนาน “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ตอนเด็กชอบเรื่องสนุกเลยเคยเห็นมาบ้างเท่านั้น อีกอย่างเจ้าอย่าเข้าใจผิด ตอนที่ข้าท่องยุทธภพอยู่ข้างกายอาจารย์พ่อไม่เคยไปดูเรื่องพวกนี้ แล้วก็ยิ่งไม่เคยทำด้วย”

ปีนั้นอยู่ในยุทธภพขนาดเล็กของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ลำพังอาศัยแค่หาเงินหาข้าวกินจากงานมงคล ย่อมมีชีวิตอยู่รอดต่อไปไม่ได้

ภายหลังติดตามอาจารย์พ่อ นางก็เริ่มไม่ต้องกังวลกับเรื่องการกินการอยู่ ถึงขั้นสามารถลองจินตนาการดูได้ว่ามื้อของวันพรุ่งนี้หรือมื้อของวันมะรืนจะกินอะไรอร่อยๆ ดี ต่อให้อาจารย์พ่อไม่ตอบตกลง แต่ถึงอย่างไรในกระเป๋าอาจารย์พ่อก็มีเงิน อีกทั้งยังเป็นเงินที่สะอาดด้วย

เผยเฉียนเอ่ยกับหลี่ไหวว่า “จำเอาไว้ว่ายันต์สองแผ่นนี้ พวกเรายืนกรานขายราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น บอกไปว่าเป็นยันต์สมบัติพิทักษ์ขุนเขาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษของสำนักเจ้า เป็นสมบัติอาคมด้านการโจมตีอันดับหนึ่ง! หลังจากที่อาจารย์ของเจ้าตายไปก็ได้มอบไว้ให้กับลูกศิษย์หนึ่งเดียวอย่างเจ้า เพราะเจ้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบใช้เงินจึงไปเสี่ยงดวงที่ตลาดด่านไน่เหอของชายหาดโครงกระดูก ไม่อย่างนั้นให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเอามาขายเป็นแน่ ใครมาต่อรองราคากับพวกเรา เจ้าไม่ต้องสนใจ เอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียวพอ อย่างมากสุดก็บอกไปว่าไม่ขาย ขายไม่ได้จริงๆ ส่วนที่ล้างพู่กันกระเบื้องอันนั้นก็ไม่ขายเดี่ยว หากซื้อยันต์ไป เดิมทีก็มีค่าไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะอยู่แล้ว ดังนั้นสามารถแถมไปให้ได้ ไม่เก็บเงิน”

หลี่ไหวชำเลืองตามองยันต์สองแผ่นแล้วเดาะลิ้นเอ่ยว่า “ยันต์ผุๆ สองแผ่นนี้เปิดราคาตั้งหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเลยหรือ? ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังไม่ซื้อกระมัง? ยังมีที่ล้างพู่กันอันนี้อีก พวกเราซื้อมาตั้งสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะเชียวนะ”

เผยเฉียนคอยมองประเมินนักท่องเที่ยวที่อยู่รอบด้านตลอดเวลา ได้ยินประโยคนี้ก็หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “เจ้าเทียบกับคนโง่สักคนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ที่ล้างพู่กันอันนี้ร้านซวีเฮิ่นเปิดราคาไว้ที่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ต่อให้พวกเราถูกหลอก ถึงอย่างไรก็ต้องมีราคาสี่ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะแน่นอน ข้าจงใจพูดว่ามันไม่มีค่าแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว เพราะอะไร? ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราเป็นคนหลอกง่าย มีที่ล้างพู่กันอันนี้ให้คนรู้สึกว่าเก็บตกของดีได้ ประเด็นสำคัญคือยังช่วยขับให้ยันต์ทั้งสองแผ่นมีมูลค่ามากขึ้น เว้นเสียจากว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง คนอื่นก็มีแต่จะยิ่งไม่กล้าแน่ใจในระดับขั้นของยันต์นี้ ถึงเวลานั้นต้องมีคนจงใจแสดงท่าทีรังเกียจ แต่ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่ขายเหมือนเดิม พอถึงครั้งที่สามข้าก็จะเริ่มโน้มน้าวเจ้า เจ้าก็ทำท่าลังเลแล้วพึมพำประโยคอย่างเช่นว่าขอโทษอาจารย์อะไรทำนองนั้น”

หลี่ไหวกล่าวอย่างอัดอั้น “ทำไมถึงเป็นอาจารย์ของข้าที่ตาย แต่เจ้ากลับได้แสดงเป็นคนบ้านเดียวกับข้าล่ะ?”

เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาอย่างเดือดดาล ทำเอาหลี่ไหวตกใจตะเกียกตะกายวิ่งหนีไปไกล รอกระทั่งหลี่ไหวย้อนกลับมานั่งที่เดิมด้วยท่าทางระมัดระวัง เผยเฉียนจึงเอ่ยอย่างโมโหไม่หาย “เจ้านี่มันโง่จริงๆ ข้ามีอาจารย์จริงๆ แล้วเจ้าหลี่ไหวล่ะมีไหม?!”

“อีกอย่างตอนนี้เจ้ายังพูดภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปได้ไม่คล่อง ดังนั้นจึงเหมาะกับการ ‘แสร้ง’ เป็นคนในพื้นที่ที่จากบ้านเกิดไปตั้งแต่เด็กพอดี คนที่อายุขนาดนี้แล้วสามารถนั่งเรือข้ามฟากของชายหาดโครงกระดูกจากแจกันสมบัติทวีปกลับมายังบ้านเกิด บนร่างมีสมบัติอยู่ชิ้นสองชิ้นก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่หรือ? อย่างมากสุดการค้าเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่สิบเหรียญก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้เทพเซียนบนภูเขาคิดเอาชีวิตหวังชิงทรัพย์สิน หากมีจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัว เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของสำนักพีหมา หากเป็นคนในยุทธภพแล้วข้าสู้พวกเขาไม่ได้จริงๆ พวกเราก็หนีเท่านั้นแหละ”

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลี่ไหวนั่งยองจนเริ่มเมื่อย จึงต้องนั่งลงบนพื้น เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างยังคงเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

นักท่องเที่ยวหลายคนเพียงถามราคาแล้วก็ไม่มีความคิดจะซื้อ คนที่นิสัยดีหน่อยไม่พูดไม่จาก็เดินจากไปทันที ส่วนคนที่อารมณ์ร้ายหน่อยถึงขั้นก่นด่าก็ยังมี

หลี่ไหวรู้สึกว่าการค้าร้านผ้าห่อบุญกับเผยเฉียนวันนี้คงไม่ได้เรื่องแล้ว ทันใดนั้นก็ยิ่งรู้สึกผิด หากไม่เป็นเพราะตนที่ซื้อของส่งเดชในร้านซวีเฮิ่นบนเรือข้ามฟาก เผยเฉียนก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้

เผยเฉียนเอ่ย “รออีกครึ่งชั่วยาม หากไม่ได้จริงๆ ก็ออกเดินทางต่อ อาจารย์พ่อเคยบอกว่าใต้หล้านี้ไม่มีร้านผ้าห่อบุญที่ค้าขายได้ง่าย ขายไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติมาก”

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามหลี่ไหวก็ได้แต่ท่องในใจว่าฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ดินศักดิ์สิทธิ์ เทพเซียนซานชิง อริยะพระโพธิสัตว์โปรดรีบแสดงอภินิหาร…

ผู้ฝึกตนเฒ่าสวมชุดขาวครอบกวานสูงคนหนึ่งชำเลืองมองร้านผ้าห่อบุญ หลังเดินออกไปได้สองสามก้าวก็หยุดเท้า มานั่งยองอยู่ข้างแผงผ้าฝ้าย เตรียมจะยื่นมือไปหยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งขึ้นมา เผยเฉียนรีบค้อมตัวยื่นมือไปขวางไว้บนยันต์ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “จับไม่ได้ ได้แต่มองเท่านั้น เทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกท่านผู้อาวุโสมีวิชาแปลกประหลาดอยู่มากมาย จิตใจคิดร้ายต่อคนอื่นไม่ควรมี แต่ใจป้องกันคนอื่นไม่ควรขาด ผู้อาวุโสโปรดให้อภัยด้วย”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ใช้สองนิ้วคีบที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา คราวนี้เผยเฉียนไม่ได้ขัดขวาง อธิบายให้ผู้เฒ่าฟังถึงเรื่องราวของหลี่ไหวไปรอบหนึ่ง ผู้เฒ่ารับฟังถ้อยคำของเผยเฉียนอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาเขย่าที่ล้างพู่กันในมือ จากนั้นก็โยนลงไปบนผ้าฝ้ายเบาๆ ชี้ไปที่ยันต์กระดาษเหลืองสองแผ่น ยิ้มถามว่า “สองแผ่นนี้ราคาเท่าไร?”

ข้างกายผู้เฒ่ามีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งติดตามมาด้วย ล้วนสะพายกระบี่ทั้งคู่ จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือตรงพู่ห้อยกระบี่สีเหลืองทองมีไข่มุกสีขาวหิมะเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ด้วย

เผยเฉียนเอ่ย “หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ขาดไปแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียวก็ไม่ได้ นี่เป็นเงินเทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเพื่อนข้า น้อยกว่านี้ไม่ได้จริงๆ ซื้อยันต์ไปแล้วจะแถมที่ล้างพู่กันให้ ถือเสียว่าเป็นการสร้างมิตรภาพ”

หลี่ไหวที่นั่งอยู่ด้านข้างตีหน้าเคร่ง

เห็นเพียงแต่ว่าตอนที่เผยเฉียนเอ่ยคำพูดเหล่านี้ บนหน้าผากของนางกลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมา นี่นางกำลังแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ใช่คนในยุทธภพ แต่พูดภาษาของยุทธภพหรือ?

ผู้ฝึกตนเฒ่าถาม “เงินเกล็ดหิมะห้าสิบเหรียญ ขายหรือไม่?”

เผยเฉียนย้อนถาม “ผู้อาวุโส ไม่มีใครทำการค้าอย่างท่านผู้อาวุโสหรอกนะ หากข้าหั่นที่ล้างพู่กันออกเป็นสองส่วน ขายให้ท่านครึ่งหนึ่ง ท่านจะซื้อหรือไม่?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าหลุดหัวเราะพรืด

ผู้เฒ่าเอ่ย “หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยใช่ไหม? ก็ได้ ข้าซื้อแล้ว”

เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “ข้าไม่ขายแล้ว”

ผู้ฝึกตนเฒ่าเงยหน้าขึ้น ยิ้มถาม “ทำไมล่ะ? อยากจะโก่งราคา หรือไม่อยากขายด้วยใจจริง?”

เผยเฉียนเอ่ย “ไม่อยากขายจริงๆ”

ผู้ฝึกตนเฒ่าหัวเราะ “เป็นเพราะข้าตัดสินใจเร็วเกินไปก็เลยทำให้เจ้ารู้สึกว่าขายราคานี้ขาดทุนงั้นหรือ?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ

ผู้ฝึกตนเฒ่าลุกขึ้นแล้วเดินจากไปทันที

หลี่ไหวขยับมาข้างกายเผยเฉียน “เผยเฉียน หัวหน้าสาขาใหญ่เผย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เผยเฉียนผงกปลายคางชี้ไปยังที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบ “อันที่จริงเขามาเพราะที่ล้างพู่กัน อีกอย่างเขาเองก็เป็นคนต่างถิ่น ต่อให้จะพูดภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปได้ดีแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็มีคำที่ออกเสียงไม่ถูก ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปจริงๆ จะไม่มีทางเป็นแบบนี้เด็ดขาด คนต่างถิ่นที่ออกเดินทางไกลมาเยือนต่างทวีปเช่นนี้ เงินเทพเซียนในกระเป๋าไม่มีทางน้อยได้แน่ แน่นอนว่าพวกเราเป็นข้อยกเว้น อีกฝ่ายไม่ถึงขั้นหลอกพวกเราเล่น แต่เป็นเพราะอยากซื้อที่ล้างพู่กันจริงๆ”

หลี่ไหวถามอย่างใคร่รู้ “ไม่เห็นต้องสนใจเลยว่าเขาอยากจะซื้ออะไร ขอแค่ขายออกในราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย พวกเราก็ล้วนได้กำไรกลับมาจากที่ถูกร้านซวีเฮิ่นหลอกแล้วไม่ใช่หรือ?”

เผยเฉียนเก็บร้าน คืนที่ล้างพู่กันให้หลี่ไหว พูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “จะร้อนใจไปไย รีบเก็บร้านเถอะ เดี๋ยวพวกเราค่อยไปเดินเที่ยวเล่นในนครปี้ฮว่ากัน พวกเขาต้องมาตามหาพวกเราแน่ ระหว่างทางข้าจะคิดหาราคาที่เหมาะสม ยิ่งไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก ข้ามั่นใจเลยว่าที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบอันนี้ต้องมีมูลค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยแน่นอน ไม่ช้าก็เร็วมันต้องกลายมาเป็นของในกระเป๋าพวกเรา”

หลี่ไหวห่อที่ล้างพู่กันไว้อย่างดีแล้วใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ของตน เอ่ยอย่างเสียใจว่า “เผยเฉียน เจ้าฉลาดขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าวันใดขาดเงิน แม้แต่ข้าก็ขายได้หรอกนะ”

เผยเฉียนพูดเสียงเรียบเฉย “ทำการค้าก็คือทำการค้า คบหาสหายก็คือคบหาสหาย คนละเรื่องกัน นอกจากเจ้าจะเป็นสหายของข้าแล้ว ยังเป็นคนที่อาจารย์พ่อของข้าดูแลมานานขนาดนั้น นอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว ไม่ว่าใครข้าเผยเฉียนก็ล้วนกล้าขายแลกเงิน ยกเว้นเจ้าที่ข้าไม่มีทางขายแน่”

หลี่ไหวหัวเราะทันใด

——