เผยเฉียนชำเลืองตามองหลี่ไหว “มีอะไรให้น่าดีใจนักหนา?”
เผยเฉียนกับหลี่ไหวเดินไปที่ทางเข้านครปี้ฮว่าด้วยกัน นางเอ่ยเตือนหลี่ไหวว่า “เงินนอกรีตบางอย่าง แท้จริงแล้วล้วนอาศัยการเดิมพันด้วยชีวิตไปหามา แต่คนคนหนึ่งต่อให้โชคดีแค่ไหน ทว่าจะเอาชนะสวรรค์ได้สักกี่ครั้งกัน? แน่นอนว่าหากเป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ก็ไม่มัวมาสนใจอะไรอีกแล้ว แต่พวกเราเป็นผ้าห่อบุญก็ไม่ถือว่าเป็นพวกนอกรีต แล้วก็ไม่หาเงินที่ทำให้คนอื่นหมดตัวด้วย หลี่ไหวอาศัยความสามารถถูกร้านสวีเฮิ่นหลอกขายแผ่นไม้แผ่นหนึ่งมา ข้าเผยเฉียนก็จะอาศัยความสามารถทวงคืนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งกลับมา”
หลี่ไหวยกมือเกาหัวทันที สมุดบัญชีเล่มเล็กของหัวหน้าสาขาปรากฏตัวในยุทธภพอีกแล้วแหะ
หลี่ไหวเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คิดราคาไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“คิดแล้ว หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช”
หลี่ไหวอึ้งงันเป็นไก่ไม้ พวกเราทำการค้าเช่นนี้ออกจะจิตใจชั่วร้ายไปหน่อยหรือไม่?
เผยเฉียนกล่าว “ไม่ใช่ร้านผ้าห่อบุญอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถต่อราคาสูงเทียมฟ้ากันได้แล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไรแค่ดูที่ชายหญิงเด็กรุ่นหลังสองคนที่อยู่ข้างกายเขาก็เข้าใจได้ชัดเจนแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ากับผู้เฒ่าหั่นราคากัน ทั้งชายและหญิงคู่นั้นต่างก็รู้สึกว่า…น่าสนใจ สายตาของพวกเขาล้วนเที่ยงตรง มนุษย์เรานั้นแบ่งแยกกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นผู้เฒ่าจึงไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างแน่นอน หากเป็นพวกที่มีกลอุบายจิตใจดำมืดจริงๆ ก็คงได้แต่โทษที่ข้าเผยเฉียนสายตาไม่ดี โทษที่พวกเราสองคนไม่ควรมาเป็นร้านผ้าห่อบุญที่นครปี้ฮว่าแห่งนี้ ไม่ควรมาท่องยุทธภพในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ข้าไม่โทษเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก”
เผยเฉียนพยักหน้า “ดังนั้นข้าถึงได้พาเจ้าออกมาท่องยุทธภพด้วยกันอย่างไรล่ะ”
หลี่ไหวกุมสองหมัด เบี่ยงตัวเดินหันข้าง “ขอบคุณท่านหัวหน้าสาขาที่ถ่ายทอดความรู้ให้”
เผยเฉียนเอ่ย “ไสหัวไปเลย”
หลี่ไหวหัวเราะแล้วเอ่ยคำหนึ่งว่ารับทราบ ก่อนจะเดินเคียงไหล่ไปกับเผยเฉียน
เผยเฉียนกล่าว “น้ำในยุทธภพลึก หากมีวันใดพบเจอกับอันตรายจริงๆ แล้วข้าบอกให้เจ้าจากไปเพียงลำพัง เจ้าห้ามลังเลเด็ดขาด”
หลี่ไหวเงียบไม่ต่อคำ
เผยเฉียนเคยบอกว่านางคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก หลี่ไหวรู้สึกว่ายังดี ปีนั้นในขณะที่เดินทางไกลไปด้วยกัน อายุของอวี๋ลู่ในเวลานั้นเมื่อเทียบกับอายุของเผยเฉียนตอนนี้แล้วยังน้อยกว่า ดูเหมือนว่าเขาเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกมานานแล้ว ไปถึงสำนักศึกษาได้ไม่นานเท่าไร ครานั้นที่ทะเลาะกับคนอื่นเพื่อตน อวี๋ลู่ก็ได้เลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ด ภายหลังศึกษาต่ออยู่ในสำนักศึกษานานหลายปี บางครั้งก็ติดตามพวกอาจารย์ออกเดินทางไกลบ้าง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปคบค้าสมาคมกับคนในยุทธภพ ดังนั้นหลี่ไหวจึงไม่ค่อยมีความคิดอะไรต่อขอบเขตหก ขอบเขตเจ็ดอะไรนี่สักเท่าไร บวกกับที่ตัวเผยเฉียนเองก็บอกแล้วว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกนี้ของนางไม่เคยเข่นฆ่ากับคนอื่นอย่างแท้จริงมาก่อน โอกาสที่ได้ประลองฝีมือกับคนวัยเดียวกันมีไม่มาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนจึงต้องหักลบสักหน่อย ยามอยู่ในยุทธภพแล้วเผชิญหน้ากับศัตรู เผยเฉียนจึงคิดว่าตัวเองมีขอบเขตแค่ขอบเขตห้าเท่านั้น
หลี่ไหวกล่าวอย่างอัดอั้น “ไม่มีทาง เจิ้งต้าเฟิงมักจะบอกว่าข้ามีโชควาสนา หากเดินบนถนนแล้วไม่เหยียบขี้หมาก็ยังไม่เรียกว่าออกจากบ้านด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเราออกมาท่องยุทธภพครั้งนี้ ต้องไม่มีทางโชคร้ายไปอย่างไรแน่”
หลี่ไหวพลันคลี่ยิ้มกว้าง เขย่าหีบไม้ไผ่ด้านหลัง “เห็นไหมล่ะ ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบในหีบของข้าอันนั้นก็เป็นตัวพิสูจน์ที่ดีไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนถาม “ทุกครั้งที่ออกจากบ้านแล้วเหยียบขี้หมา เจ้าดีใจนักหรือ?”
หลี่ไหวไร้คำพูดตอบโต้
ก่อนที่หลี่ไหวจะกัดฟัน เอ่ยเบาๆ ว่า “เผยเฉียน พวกเรามาตกลงกันดีไหม ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบอันนั้น พวกเราไม่ขายแล้วได้หรือไม่ ข้าอยากเอาไปมอบให้พี่สาวข้า นางเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเซียนซือผู้เฒ่าบนยอดเขาสิงโต อันที่จริงก็คือต้องไปเป็นสาวใช้ให้คนอื่น แค่ท่านแม่กับพี่สาวข้าไม่สะดวกจะพูดก็เท่านั้น บ้านข้ายากจน ปีนั้นพี่สาวข้าต้องไม่มีของขวัญกราบอาจารย์ที่เข้าท่าเข้าทีอะไรแน่นอน อันที่จริงพี่สาวดีกับข้ามาก ส่วนท่านแม่ก็ลำเอียงเข้าข้างข้ามาตั้งแต่เด็ก พี่สาวข้าไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง…”
หลี่ไหวเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องถูกเผยเฉียนทุบตี
คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ แน่นอนว่าต้องได้อยู่แล้ว เดิมทีที่ล้างพู่กันชิ้นนั้นก็เป็นของของเจ้าอยู่แล้ว ต่อให้ขายได้ราคาหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ข้าก็ไม่มีทางเอามาแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว เจ้าเต็มใจแบบนั้น ข้าจะขวางเจ้าทำไม”
หลี่ไหวรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง กำลังจะเอ่ยปากพูด เผยเฉียนก็กลอกตามองบนใส่ “ไสหัวไป”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ได้เลย”
หลี่ไหวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ทำไมล่ะ?”
เผยเฉียนนึกถึงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่จวนปี้โหยวลำคลองม่ายเหอตอนที่ตัวเองยังเด็ก
เรื่องบางอย่าง ของบางอย่าง เดิมทีก็ไม่ควรเป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ
เผยเฉียนไม่ได้เอ่ยอะไรกับหลี่ไหว
แล้วก็จริงดังคาด เผยเฉียนกับหลี่ไหวรอที่หน้าประตูนครปี้ฮว่าพักเดียว ผู้เฒ่าคนนั้นก็มาหา
เผยเฉียนกุมหมัดเอ่ย “ผู้อาวุโส ขออภัยจริงๆ ที่ล้างพู่กันอันนั้นเราไม่ขายแล้วจริงๆ”
ผู้ฝึกตนเฒ่ามองแม่นางน้อยที่มีดวงตาใสกระจ่าง แม้ว่าจะแปลกใจ แต่ผู้เฒ่าก็ยังพยักหน้ารับ ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางน้อย ยันต์นั้นมีราคาหรือไม่ เจ้าและข้าล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ แต่ที่ล้างพู่กันเซียนนั่งแพชิ้นนั้นมีมูลค่าถึงสองสามเหรียญเงินร้อนน้อยจริงๆ ความมหัศจรรย์ของมันไม่ได้อยู่ที่เป็นเครื่องกระเบื้อง แต่อยู่บนตัวอักษรที่สลักไว้ตรงก้นเครื่องกระเบื้องที่มีค่ามาก วันหน้าหากเจ้ากับสหายเป็นร้านผ้าห่อบุญอีกก็อย่าขายในราคาต่ำเด็ดขาด แน่นอนว่าต้องระวังคนที่มีเจตนาชั่วร้ายด้วย ทางที่ดีที่สุดควรขายของสิ่งนี้ให้กับภูเขาใหญ่ๆ อย่างนครปี้ฮว่า ถ้ำสวรรค์วังมังกร หรือไม่ก็สวนน้ำค้างวสันต์ หากหักค่าใช้จ่ายของเรือข้ามฟากตระกูลเซียนแล้วก็ยังได้กำไรอยู่ดี”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มถามว่า “สามารถถามนามและสำนักของท่านผู้อาวุโสได้หรือไม่? วันหน้าหากมีโอกาส พวกเราอยากไปเยี่ยมเยือน”
นักพรตเฒ่าโบกมือยิ้มเอ่ยสัพยอก “พบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ อย่าได้ถามชื่อแซ่ หากมีวาสนาย่อมได้พบกันใหม่ แล้วนับประสาอะไรกับที่แม่นางน้อยอย่างเจ้าก็เดาสถานะคนต่างทวีปของข้าออกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? ดังนั้นคำพูดเกรงใจนี้เอ่ยอย่างไม่ค่อยจริงใจเท่าไรกระมัง”
เผยเฉียนมองผู้เฒ่า พลันกุมหมัด รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยเสียงหนักกับผู้เฒ่าว่า “ผู้ฝึกยุทธเผยเฉียน ขอลาผู้อาวุโสมา ณ ที่นี้!”
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ดี!”
หลี่ไหวมองเผยเฉียนที่เหมือนคนแปลกหน้าในเวลานี้แล้วก็พลันรู้สึกอิจฉาและรู้สึกเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย
ผู้ฝึกตนเฒ่าพาลูกศิษย์สองคนขึ้นภูเขาบรรพบุรุษของสำนักพีหมา ไปหยุดพักที่ศาลาแขวนกระบี่ซึ่งอยู่กึ่งกลางภูเขาชั่วคราว
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มเอ่ย “อยากถามก็ถามเถอะ”
สตรีถามว่า “อาจารย์ เด็กสาวคนนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือ? ขอบเขตที่เท่าไรแล้ว?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ลูบหนวดยิ้ม ทอดสายตามองแม่น้ำเหยาเย่ที่อยู่ห่างจากตีนเขาไปไม่ไกล เอ่ยแค่สองคำที่ไม่ตรงกับคำถามว่า “มิน่าเล่า ก็จริงนะ”
เหวยอวี่ซงมาที่ศาลาแขวนกระบี่ด้วยตัวเอง กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ยินดีต้อนรับท่านบรรพบุรุษน่าหลันแห่งสำนักเบื้องบน เจ้าสำนักอยู่ที่เมืองชิงหลู เยี่ยนซู่อยู่ที่ซากปรักตระกูลเซียนของภาพเทพหญิง กำลังชี้แนะเวทกระบี่ให้กับผังหลันซีลูกศิษย์ผู้สืบทอด มาไม่ได้ อีกท่านหนึ่งนั้น คาดว่าขอแค่ได้ยินว่าบรรพจารย์น่าหลันมาเยือน ต่อให้มาถึงตีนเขาแล้วก็คงเลี้ยวหัวกลับออกเดินทางไกลทันที”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่เจ้าไม่พูดเรื่องเงินกับข้าก็พอ เพราะข้าไม่มี”
เหวยอวี่ซงร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะ”
ผู้เฒ่ากวักมือ “อย่าถือสาสิ นั่งลงคุยกันก่อน ชมทัศนียภาพอยู่ตรงนี้จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย ทำให้คนเห็นแล้วลืมเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้”
เหวยอวี่ซงยิ้มพลางนั่งลง ชายหญิงอีกสองคนที่เหลือพากันหันมาทำความเคารพเทพเจ้าแห่งเงินทองของสำนักเบื้องล่างทันที เหวยอวี่ซงยิ้มคารวะกลับคืนไปทีละคน
ผู้เฒ่าถาม “ข้าเจอกับแม่หนูน้อยถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่คนหนึ่ง บอกว่าชื่อเผยเฉียน ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่น่าจะจริงกระมัง เจ้ารู้จักนางไหม?”
เหวยอวี่ซงยิ้มเอ่ย “นางเองหรือ ชื่อเผยเฉียนจริงๆ เป็นบุตรสาวบุญธรรมที่เจ้าสำนักจู๋ของพวกเราเพิ่งรับมา”
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “มิน่าเล่า”
ในอาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกมีลำคลองใหญ่ที่ทอดยาวจากใต้ไปเหนืออยู่สายหนึ่ง ไม่แตกกิ่งก้านสาขาไปที่อื่น ไม่มีลำธารสายใดแยกออกไป นี่ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งของใต้หล้าไพศาล
ต่อจากนี้เผยเฉียนจะไปศาลลำคลองเหยาเย่เพื่อกราบไหว้เทพลำคลองเซวียท่านนั้น เพราะเมื่อก่อนอาจารย์พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าเทพลำคลองท่านนั้นมีบุญคุณกับเขา แม้ว่าตอนนั้นเขาจะไม่ได้รับน้ำใจ แต่เพราะเทพลำคลองท่านนี้กับศาลเทพอัคคีบางแห่งในนครจึงจะถือว่าเป็นศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำได้อย่างสมศักดิ์ศรี ขอแค่เดินทางผ่านก็ควรจะไปจุดธูปกราบไว้ ส่วนจะใช้ธูปภูเขาสายน้ำที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับบนภูเขาหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แน่นอนว่าเผยเฉียนไม่มีทางบอกกล่าวชื่อแซ่ตัวเอง แค่ไปจุดธูปที่ศาลแห่งนั้นเงียบๆ ก็พอ ในความหมายที่เข้มงวด ศาลลำคลองเหยาเย่ถือว่าเป็นศาลเถื่อนแห่งหนึ่งมาโดยตลอด เพราะไม่เคยได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากทางราชสำนัก แล้วก็ไม่เคยถูกสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อคัดเลือก
ห่างจากศาลเทพลำคลองอีกประมาณหกร้อยกว่าลี้ ข้างกายมีหลี่ไหวอยู่ด้วย อย่างไรก็ต้องเดินไป
หลังจากจุดธูปที่ศาลเทพลำคลองแห่งนั้น เดินเลียบลำคลองเหยาเย่ขึ้นเหนือไปก็จะเป็นซุ้มประตูทางเข้าของหุบเขาผีร้ายแล้ว เผยเฉียนแค่มองไกลๆ แวบเดียวก็พอ ส่วนตลาดด่านไน่เหอแห่งนั้น นางกลับสามารถพาหลี่ไหวไปเดินเล่นด้วยกันได้
หลี่ไหวเริ่มคิดถึงชุดสมุดภาพเติมเต็มของภาพเทพหญิงในนครปี้ฮว่าขึ้นมาแล้ว มองดูแล้วงดงามจริงๆ แต่ละคนล้วนงดงามกว่าพี่สาวเขาทั้งนั้น ไม่เสียแรงที่เป็นเทพหญิงในภาพวาด แล้วก็เพราะว่าไม่มีเงิน ไม่อย่างนั้นจะต้องซื้อมาสักชุด แบ่งออกเป็นสองส่วน มอบให้ตาเฒ่าในร้านยา กับเจิ้งต้าเฟิงที่เคยแอบไปเที่ยวเตร็ดเตร่ด้านนอกลับหลังตน ให้เจ้าคนโสดสองคนนั้นได้มีบุญตาสักหน่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ผิวน้ำของลำคลองเหยาเย่กว้างขวางมาก ทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังมองทะเลสาบแห่งหนึ่ง ไม่มีสะพานโค้ง โชคชะตาน้ำเข้มข้น ถนนตรงจุดที่เผยเฉียนยืนอยู่มีสองสาย ถนนสายเล็กติดกับลำคลอง เงียบสงบอย่างมาก ถนนสายใหญ่มีรถม้าสวนกันขวักไขว่ เผยเฉียนกับหลี่ไหวต่างก็ถือไม้เท้าเดินป่าเดินอยู่บนถนนเส้นเล็ก ตามคำบอกของอาจารย์พ่อ เดินไปอีกไม่นานก็จะได้เจอกับร้านน้ำชาริมลำคลอง น้ำชาอินเฉินสามถ้วยเก็บเงินหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะ เถ้าแก่ของร้านเป็นบุรุษขี้เกียจ ลูกจ้างหนุ่มของร้านก็นิสัยเจ้าอารมณ์ ทั้งเถ้าแก่และลูกจ้างร้านต่างก็ไม่ใช่คนเลว ทว่าออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน
เผยเฉียนแหงนหน้ามองทิศไกล เห็นทะเลเมฆเจ็ดสีที่น่าจะเป็นภาพบรรยากาศของความมงคล ด้านล่างของทะเลเมฆก็น่าจะเป็นศาลเทพลำคลองเหยาเย่แล้ว
เผยเฉียนเอ่ยถาม “หลี่ไหว เจ้ามองเห็นเมฆหลากสีนั่นไหม?”
หลี่ไหวมองตามมือที่เผยเฉียนชี้ไป พยักหน้าตอบ “เห็นสิ เมฆมงคลหลากสีผืนใหญ่ ข้าเป็นบัณฑิตแห่งสำนักศึกษาที่แท้จริงนะ แน่นอนต้องรู้ว่านี่ก็คือการแสดงออกถึงคุณความดีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่หนึ่ง”
เผยเฉียนหันมามองหลี่ไหว
หลี่ไหวถาม “อะไร?”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วหรือ?”
หลี่ไหวร้องหึหนึ่งที “ข้าก็อยากเป็นเหมือนกันแหละ เลียนแบบเจ้าตอไม้หลินกับไม่ต้องเกรงใจ สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ เหมือนเทพเซียนจะตายไป”
ก็คือหมายถึงหลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ย (เพราะเซี่ยเซี่ยแปลว่าขอบคุณ เวลาตอบรับคนที่เอ่ยขอบคุณมักจะกล่าวว่าไม่ต้องเกรงใจ)
เผยเฉียนคิดแล้วสุดท้ายก็ยังไม่ได้มองหลี่ไหว ‘อย่างละเอียด’
เรื่องที่อาจารย์พ่อเคยกำชับ ยิ่งอาจารย์พ่อไม่อยู่ข้างกาย นางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาก็ยิ่งต้องรักษากฎ ก็เหมือนกับการคัดตัวอักษร
หลี่ไหวเอ่ย “เผยเฉียน วิชากระบี่มารคลั่งที่เจ้าเคยร่ายตอนอยู่ในสำนักศึกษา สรุปแล้วเจ้าจะสอนข้าได้เมื่อไหร่ล่ะ?”
เผยเฉียนหน้าดำ “ข้าไม่เป็นวิชากระบี่มารคลั่งอะไรทั้งนั้น”
หลี่ไหวพึมพำ “ไม่อยากสอนก็ไม่อยากสอนสิ ทำไมต้องขี้เหนียวด้วย ข้ากับหลิวกวาน หม่าเหลียนต่างก็อยากเรียนวิชากระบี่นี้มาหลายปีแล้ว ช่างทำให้คนเสียขวัญกำลังใจซะจริง”
เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ไม่รู้ว่าเฉิงหลิงจวินเดินลงน้ำเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
อันที่จริงก่อนหน้านี้หลังจากที่เฉินหลิงจวินมาถึงชายหาดโครงกระดูก ลงจากเรือมาก็ไม่กล้าไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ที่ไหน นอกจากไปเยือนนครปี้ฮว่าที่ตีนเขาแล้ว ไม่ว่าจะศาลเทพลำคลองเหยาเย่หรือหุบเขาผีร้าย เขาก็ได้แต่เคารพอยู่ไกลๆ เท่านั้น ข้าผู้อาวุโสอยู่ในอุตรกุรุทวีปไม่มีที่พึ่งนี่นา ดังนั้นจึงตรงไปที่ภูเขามู่อีของสำนักพีหมา แน่นอนว่าตอนที่เฉินหลิงจวินลงจากภูเขาได้ค้นพบว่าที่พึ่งของตนค่อนข้างใหญ่ ก็คือเจ้าสำนักจู๋เฉวียน ท่านน้าจู๋ผู้นั้นมีรูปโฉมธรรมดา แต่กระตือรือร้นอย่างมาก ส่วนเฉินหลิงจวินในทุกวันนี้ เขาได้อ้อมผ่านตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนไปอย่างระมัดระวังราวกับโจร แล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกต่อ กระทั่งไปถึงทางทิศตะวันตกสุดของลำน้ำใหญ่แล้ว เฉินหลิงจวินถึงจะเริ่มเดินลงน้ำอย่างแท้จริง สุดท้ายเลียบลำน้ำใหญ่กลับมาที่ปากทางลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรซึ่งอยู่ใกล้กับสวนน้ำค้างวสันต์
ไม่นึกว่าจะมีจุดที่ไหลลงทะเลถึงสองแห่ง ความประหลาดของลำน้ำจี้ตู๋นี้เหนือกว่าลำคลองเหยาเย่ที่ไม่แตกสาขาไปไหนมากนัก
อาจารย์พ่อไม่เคยโกหกกันจริงๆ ด้วย ริมลำคลองมีร้านน้ำชาขายน้ำชาอินเฉินอยู่จริงๆ แถมลูกค้ายังเยอะมาก
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย กำลังตัดสินใจว่าจะทำตัวมือเติบสักครั้งดีหรือไม่ ก่อนจะออกจากบ้าน พ่อครัวเฒ่าจะให้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญและเงินเกล็ดหิมะหลายร้อยเหรียญกับนาง เป็นเงินเทพเซียนที่เอาไว้เป็นเงินขวัญถุง ลูกศิษย์ทุกคนของภูเขาลั่วพั่วที่ออกจากบ้านเดินทางไกลล้วนจะได้รับเงินก้อนนี้ สามารถกวักโชคกวักลาภ แต่เผยเฉียนไม่กล้ารับมามาก เอามาแค่ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ไม่เหมือนกับเงินเทพเซียนที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋านางในอดีตที่ทุกเหรียญล้วนมีชื่อ ล้วนอยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล ‘ศาลบรรพจารย์’ เล็กๆ ของนาง เงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญนี้ทั้งไม่ได้อยู่ร่วมบ้านกับนาง ไม่มีชื่อแซ่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่าออกจากบ้านเดินทางไกล ยามที่ต้องเอามาใช้เป็นค่าใช้จ่ายจึงไม่ทำให้นางเสียใจมากนัก ดังนั้นเผยเฉียนจึงเอ่ยกับหลี่ไหวว่า “ข้าจะเลี้ยงน้ำชาอินเฉินเจ้าชามหนึ่ง”
หลี่ไหวกล่าว “ช่างเถิด แพงเกินไป”
เผยเฉียนเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูข้าดื่มสามชามรวด”
หลี่ไหวจึงได้แต่ไปนั่งเป็นเพื่อนเผยเฉียน เผยเฉียนจ่ายเงินเกล็ดหิมะไปหนึ่งเหรียญ ลูกจ้างหนุ่มยกน้ำชาอินเฉินที่มีชื่อเสียงที่สุดของลำคลองเหยาเย่มาให้สามชาม เพราะถึงอย่างไรก็คือน้ำชาที่สำนักพีหมามักจะนำมา ‘รับรองแขก’ เป็นประจำ ไม่แพงเลยสักนิด
หลี่ไหวหยิบน้ำชาถ้วยหนึ่งขึ้นมา รู้สึกว่าทุกคำที่ดื่มลงไปล้วนกำลังดื่มเงินดื่มทอง ด้านหนึ่งก็เสียดาย ด้านหนึ่งก็ดื่มด่ำไปด้วย ดังนั้นจึงดื่มช้ามาก
เผยเฉียนดื่มน้ำชาอินเฉินชามแรกหมดไปในสองสามคำถึงเริ่มดื่มชามที่สองช้าๆ
เผยเฉียนหันหน้าไปมองลำคลองเหยาเย่แล้วเหม่อลอย
นี่เพิ่งจะมาถึงอุตรกุรุทวีปก็คิดถึงภูเขาลั่วพั่วมากแล้ว
ดื่มน้ำชาอินเฉินแล้วก็ออกเดินทางต่อ
หลังจากเดินไปได้รวดเดียวหลายสิบลี้ เผยเฉียนก็ถามว่า “หลี่ไหว เจ้าไม่รู้สึกว่าเดินเหนื่อยบ้างหรือ?”
หลี่ไหวใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือลูบต้นกกต้นอ้อริมทาง หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ล้อเล่นอะไรกัน ปีนั้นในบรรดาคนที่ไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย ข้าก็อายุน้อยที่สุด ทนรับความลำบากได้มากที่สุด ไม่เคยบ่นเหนื่อยมากที่สุด!”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ปล่อยเขาไป
คนทั้งสองเดินผ่านภูเขาสายน้ำมาตั้งแต่เด็กจนชินแล้ว ดังนั้นการที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายริมลำคลองเหยาเย่จึงกลายเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับพวกเขานานแล้ว
——