ก่อนที่เผยเฉียนจะออกจากนครปี้ฮว่ามาถามหมัดกับเทพลำคลองเซวีย
บนซากปรักจวนเซียนในภาพวาดฝาผนังของนครปี้ฮว่า เยี่ยนซู่บรรพจารย์ผู้คุมกฎบอกให้ผังหลันซีลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตนฝึกกระบี่ต่อไป หากอยากจะหยุดพักผ่อนสักครู่ก็ได้เหมือนกัน ส่วนเยี่ยนซู่เปิดตราผนึกย้อนกลับมาที่ศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อี จากนั้นก็ทะยานลมมายังศาลาแขวนกระบี่ที่อยู่กึ่งกลางภูเขา คารวะบรรพจารย์น่าหลันจากสำนักเบื้องบนของสำนักพีหมาที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อย่าเห็นว่าบรรพจารย์น่าหลันมองดูเหมือนใกล้ชิดกับคนได้ง่าย ในฐานะบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักเบื้องบน เขาเข้มงวดอย่างยิ่ง เคยจัดการเอาชีวิตผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนกับมือของตัวเองมาก่อน
บรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านหนึ่งที่มาจากสำนักเบื้องบน อายุมากแล้ว ความอาวุโสก็สูงมาก คือศิษย์น้องของเจ้าสำนักเบื้องบน บรรพจารย์ทั้งไม่ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาก่อน แล้วก็ไม่ได้ตรงไปที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขา แน่นอนว่าเยี่ยนซู่ต้องอดกระวนกระวายใจไม่ได้
ภูเขามู่อีที่มองไปทางใดก็มีแต่สีเขียวชอุ่ม ตรงกึ่งกลางภูเขามีเมฆขาวล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี ประหนึ่งเจ๋อเซียนสวมชุดเขียวรัดเข็มขัดหยกสีขาว
ตอนที่เยี่ยนซู่มาถึงศาลาแขวนกระบี่ บรรพจารย์น่าหลันกำลังดื่มสุราร่วมกับเหวยอวี่ซง ผู้เฒ่าเมามายหัวเราะเสียงดังไม่หยุด โบกมือสะเปะสะปะวุ่นวายปัดให้เมฆขาวนอกศาลาแตกกระจาย
เยี่ยนซู่ถอนหายใจโล่งอก ขอแค่บรรพจารย์น่าหลันดื่มเหล้าก็ค่อนข้างพูดได้ง่ายแล้ว ถือว่าเหวยอวี่ซงสร้างคุณความชอบครั้งหนึ่ง
บุรุษและสตรีอายุน้อยที่สะพายกระบี่คู่นั้นเป็นฝ่ายหันมาคารวะเยี่ยนซู่ก่อน เยี่ยนซู่ถึงกับหนังตาสั่นระริก
ได้ยินชื่อเสียงและเลื่อมใสมานาน บุรุษนามสุ้ยย่วน สตรีนามเฉิงซิน เป็นคู่รักกัน ล้วนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าตอนนี้ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน แต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้เป็นว่าที่เจ้าของหน่วยอู๋ฉางแห่งศาลบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบน
ผู้ที่เดินบนเส้นทางอู๋ฉางบนโลกมนุษย์ นอกจากพวกวิชานอกรีตบางอย่างที่ไม่พูดถึงแล้ว ล้วนมาจากสำนักเบื้องบนสำนักพีหมาของตนทั้งสิ้น (เดินบนเส้นทางอู๋ฉาง หรือโจ่วอู๋ฉาง เป็นความเชื่อสมัยโบราณที่ว่าคนมีชีวิตสามารถไปทำงานในโลกคนตายได้)
บรรพจารย์น่าหลันไม่พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดเดินทางไกลข้ามทวีป แต่กลับพาบุคคลที่ตอแยได้ยากสองคนนี้มาเยือนสำนักเบื้องล่าง เดิมทีนี่ก็เป็นการเตือนอย่างหนึ่ง
หลังจากเยี่ยนซู่นั่งลงแล้ว เหวยอวี่ซงก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “บรรพจารย์น่าหลันมาเพื่อซักไซ้เอาความผิด รู้สึกว่าพวกเรามีความเกี่ยวพันกับสกุลซ่งต้าหลีมากเกินไป”
สตรีที่มีนามว่าเฉิงซินหยิบตำราเล่มหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมามอบให้เยี่ยนซู่ ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้คุมกฎเยี่ยนเชิญอ่านตำราเล่มนี้ก่อน
เยี่ยนซู่ไม่เข้าใจ แต่ยามที่ตำราเข้ามาอยู่ในมือก็รู้ถึงระดับขั้นของมัน ไม่ใช่ตำราตระกูลเซียนอะไร สีหน้าของเหวยอวี่ซงมีแววกลัดกลุ้ม เยี่ยนซู่จึงเริ่มเปิดตำราอ่าน
ส่วนบรรพจารย์น่าหลันนั้นดื่มเหล้ากับเด็กรุ่นหลังของสำนักเบื้องล่างอย่างเหวยอวี่ซงต่ออีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนเฒ่าเกือบจะซื้อที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบเซียนนั่งแพมาจากนครปี้ฮว่า ด้านล่างของที่ล้างพู่กันกระเบื้องอันนั้นแกะสลักด้วยถ้อยคำที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ เป็นเพียงบทกลอนที่ไม่เคยพบว่ามีการบันทึกไว้ที่ไหน ‘นั่งแพไปรับแขกเทพเซียน เคยไปถึงข้างสามดวงดาว’
ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นแล้วก็ชอบ เพราะว่าดูของเป็น ยิ่งเห็นแล้วถูกชะตา หาใช่ว่าที่ล้างพู่กันกระเบื้องนั้นเป็นวัตถุตระกูลเซียนที่ดีอะไรมากมาย หรือเป็นสมบัติอาคมที่ร้ายกาจอะไรนัก มันมีค่าแค่สองสามเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น แต่ผู้ฝึกตนเฒ่ากลับยินดีจะซื้อไว้ด้วยเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ เพราะกลอนประโยคนี้ไม่ได้เผยแพร่ไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ทว่าผู้ฝึกตนเฒ่ากลับรู้จักพอดี ไม่เพียงรู้จัก ยังเคยเห็นคนที่แต่งกลอนกับตา และได้ยินเขาแต่งกลอนบทนี้กับหู
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและเทพเซียนบนยอดเขาที่สนิทสนมกับบรรพจารย์น่าหลันล้วนรู้ดีว่าผู้เฒ่าชอบบทกวี นอกจากกลอนชิงสือ กลอนเซียนท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังชอบกลอนผีฝูจี ประเภทหนึ่งเป็นเรื่องกล่าวขานที่ดีงามคล้ายคลึงกับผีฮั่นหลิน ผู้ที่เขียนบทกลอนส่วนใหญ่จะเป็นหออักษร อีกประเภทหนึ่งคือผีเฒ่าของราชวงศ์ก่อน ชอบอยู่ท่ามกลางบทกลอน เกี่ยวพันกับคนโบราณในตำราและเจ้าสำนักที่แต่งบทกวีในแต่ละยุคแต่ละสมัย ขอแค่ผู้เฒ่าเคยเห็นและเคยได้ยินมาก็มักจะจดบันทึกเอาไว้
แต่บรรพจารย์น่าหลันรู้สึกว่าจุดที่น่าสนใจที่สุดของกลอนบทนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาของมัน แต่อยู่ที่ชื่อ เป็นชื่อที่ยาวมาก ถึงขั้นยังมีตัวอักษรมากกว่าเนื้อหาเสียอีก ‘ปลายปีหยวนเป่า ยามทิวาเมาสุรายืนพิงประตูชุนหมิงหลับไป ฝันว่านั่งแพล่องธารดาราไปพร้อมชิงถงเทียนจวิน สะดุ้งตื่นจากฝัน แรงบันดาลใจบังเกิด จึงแต่งบทกวี’
ปีนั้นผู้เฒ่ายังเป็นแค่เด็กหนุ่ม มีครั้งหนึ่งติดตามอาจารย์ลงจากภูเขา จากนั้นก็ได้ไปเจอกับบัณฑิตตกอับนามว่า ‘ป๋ายเหย่’ ที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ อาจารย์เลี้ยงเหล้าเขา บัณฑิตจึงใช้บทกวีจ่ายเป็นเงินค่าเหล้า ตอนนั้นเด็กหนุ่มได้ยินชื่อกลอนที่ยาวมากๆ แล้ว เดิมนึกว่าบทกลอนนั้นจะเป็นกลอนบทยาวที่มีหลายร้อยตัวอักษร คิดไม่ถึงว่าขนาดรวมประโยคว่า ‘นั่งแพไปรับแขกเทพเซียน เคยไปถึงข้างสามดวงดาว’ แล้วก็ยังมีแค่ยี่สิบแปดตัวอักษรเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงอดถามไม่ได้ว่า ไม่มีแล้วหรือ? บัณฑิตผู้นั้นกลับหัวเราะเสียงดังแล้วเดินออกจากประตูไป
บรรพจารย์น่าหลันวางกาเหล้าลง ถามว่า “อ่านจบหรือยัง?”
เยี่ยนซู่สีหน้าเขียวคล้ำ เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “บรรพจารย์น่าหลันก็เชื่อเนื้อหาในตำรานี่ด้วยหรือ?”
บรรพจารย์น่าหลันหลุดหัวเราะพรืด
เหวยอวี่ซงกล่าว “บรรพจารย์น่าหลันอยากจะยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจว่า เหตุใดหนังสือแบบนี้ถึงได้ค่อยๆ แพร่หลายในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เป็นเหตุให้แค่ขึ้นเรือข้ามทวีปก็สามารถหาซื้อมาได้ ในตำราเขียนอะไร อาจจะสำคัญ หรืออาจจะไม่สำคัญ แต่สรุปแล้วเป็นใคร แล้วเพราะเหตุใดถึงเขียนตำราเล่มนี้ ทำไมสำนักพีหมาของพวกเราถึงได้เกี่ยวพันกับเฉินผิงอันที่กล่าวถึงในตำรา นี่คือเรื่องเดียวที่บรรพจารย์น่าหลันต้องการจะรู้”
บรรพจารย์น่าหลันปัดเมฆขาวที่อยู่ระหว่างภูเขาให้แหลกละเอียด ส่วนเยี่ยนซู่นั้นบีบตำราในมือจนแหลกยับ จากนั้นก็โยนทิ้งไปนอกศาลาแขวนกระบี่อย่างไม่ใส่ใจ ให้เยี่ยนซู่เป็นผู้คุมกฎเขายังทำได้ แต่จะให้ไปถกเถียงหลักการเหตุผลกับคนอื่น เขาไม่เชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงรู้สึกอัดอั้นอย่างถึงที่สุด ถึงกับขอเหล้ากาหนึ่งมาจากเหวยอวี่ซง
บรรพจารย์น่าหลันเอ่ยเนิบช้าว่า “จู๋เฉวียนใสซื่อเกินไป ยามคิดเรื่องราวต่างๆ มักจะชอบคิดเรื่องซับซ้อนให้เรียบง่าย เหวยอวี่ซงอยากหาเงินมากเกินไป ใจคิดแต่อยากจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลังของสำนักพีหมา ถือเป็นคนที่ในดวงตามีแต่เงินปีนออกมาไม่ได้ เยี่ยนซู่พวกเจ้าสองคนที่เป็นบรรพจารย์ของสำนักพีหมาก็เอาแต่ต่อยตีด่าคนไม่สนใจเรื่องอื่น หากข้าไม่มาเยือนด้วยตัวเอง ไม่มาเห็นกับตาตัวเองก็คงไม่วางใจ”
เยี่ยนซู่กระดกเหล้าเข้าปากแรงๆ คำหนึ่ง เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “บรรพจารย์น่าหลันคงไม่ได้มาแค่มองดูชายหาดโครงกระดูกแวบสองแวบกระมัง ถึงอย่างไรหากสำนักเบื้องบนต้องการจะระบายโทสะเพราะเรื่องนี้ก็ต้องหาแพะรับบาปให้ได้ เป็นเรื่องง่ายดายนัก เรื่องนี้ข้าเยี่ยนซู่จะเป็นคนแบกรับไว้เองก็แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับข้องจู๋เฉวียนและเหวยอวี่ซง”
บรรพจารย์น่าหลันเอ่ย “ก่อนจะมา ทางสำนักเบื้องบนมีข้อสรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องตัดขาดการค้านี้กับภูเขาพีอวิ๋นและสกุลซ่งต้าหลีให้ได้ ส่วนเหตุใดข้าถึงต้องมาที่นี่ แน่นอนว่าเพราะศาลบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนค่อนข้างจะโมโห พวกเจ้าก็น่าจะรู้ชัดเจนดีว่าสำนักพีหมาก็ดี สำนักเบื้องบนของแผ่นดินกลางก็ช่าง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความจริงเป็นอย่างไร พูดถึงแค่คนประเภทที่กล่าวถึงในหนังสือที่เต็มไปด้วยกลอุบาย เอาแต่อาศัยชะตาชีวิตที่ดี แสร้งทำเป็นฝึกฝนจิตใจ แต่แท้จริงแล้วดีแต่ฝึกฝนกำลัง บนเส้นทางการฝึกตนก็เอาแต่รับไม่มีให้ แต่ไหนแต่ไรมาทางสำนักก็ชิงชังคนแบบนี้เป็นที่สุด ยอมเชื่อว่ามีดีกว่าไม่มี แล้วนับประสาอะไรกับที่ตำราเล่มนี้แพร่หลายไปเร็วขนาดนี้ ทางสำนักเบื้องบนย่อมไม่ยินดีปล่อยให้ตลอดทั้งสำนักพีหมาตกลงไปในหลุมอาจมเพียงเพราะเงินเทพเซียน”
บรรพจารย์น่าหลันเอ่ยกับเยี่ยนซู่ว่า “ต่อให้จู๋เฉวียนจะไม่สนใจอะไรแค่ไหนก็ยังเป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าเยี่ยนซู่คิดจะรับความผิดไว้แทน อาศัยอะไร? อีกอย่างนิสัยของเจ้าเฉวียนเอ๋อร์น้อยนั่น ก็ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะได้เป็นคนดีหรอก”
เยี่ยนซู่พึมพำเบาๆ “บรรพจารย์น่าหลันกับพวกผู้อาวุโสในสำนักเบื้องบนก็ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย เรือข้ามทวีปของพวกเราก็มีอยู่หลายลำ เดินทางไปให้ไกลอีกหน่อย…”
พูดมาถึงตรงนี้ เยี่ยนซู่ก็เงียบไป ไปที่ภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปแล้วจะได้เจอเจ้าเด็กเฉินหรือ? บรรพจารย์น่าหลันไม่มีทางได้เจอเขาเลย
เหวยอวี่ซงกล่าว “ปกป้องชื่อเสียงจอมปลอม กลัวว่าจะแบกรับคำด่า แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่การกระทำของสำนักพีหมาพวกเรา บรรพจารย์น่าหลัน ข้ายังคงยืนกรานความคิดนั้น ในเมื่อสำนักเบื้องบนมีคำสั่ง สำนักเบื้องล่างย่อมต้องทำตาม สามารถตัดขาดการค้าทุกอย่างกับภูเขาลั่วพั่วได้ ทว่านับจากวันนี้ไป ข้าเหวยอวี่ซงจะย้ายเก้าอี้ออกจากศาลบรรพจารย์สำนักพีหมา ไม่สนใจเรื่องเงินทองอีก จะติดตามเจ้าสำนักจู๋ไปต่อยตีกับโครงกระดูกขาวที่เมืองชิงหลูก็แล้วกัน อยู่ร่วมกับหุบเขาผีร้ายคงสบายใจมากกว่า”
เยี่ยนซู่เอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าได้รับบุญคุณจากอาจารย์มาเนิ่นนาน สำนักเบื้องบนควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แต่ข้าไม่อาจทำร้ายลูกศิษย์ของตัวเอง ไม่อาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียศีลธรรมคุณธรรม! เป็นผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเฮงซวยนี่ ไม่สู้ไปเป็นผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่ว จุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือนของศาลบรรพจารย์ยังดีเสียกว่า!”
บรรพจารย์น่าหลันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โอ้โห พวกเจ้าแต่ละคนกำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ? หรือว่าสุราก่อนหน้านี้ที่เชิญข้าดื่มมิใช่สุราคารวะ แต่เป็นสุราลงทัณฑ์?”
เหวยอวี่ซงส่ายหน้า “มิกล้า”
เยี่ยนซู่ขว้างกาเหล้าทิ้ง “ขู่ตาแก่ที่หูตาพร่าเลือนอย่างเจ้าแล้วจะทำไม?!”
บรรพจารย์น่าหลันไม่ได้ถือสาเยี่ยนซู่ เพียงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “ไปที่ศาลบรรพจารย์สำนักพีหมา อย่าลืมเรียกจู๋เฉวียนกลับมาด้วย”
เหวยอวี่ซงหันมาถลึงตาดุๆ ใส่เยี่ยนซู่ที่ทำอะไรใช้อารมณ์
ระหว่างที่เดินไปศาลบรรพจารย์บนยอดเขามู่อี เห็นได้ชัดว่าเหวยอวี่ซงยังไม่ยอมถอดใจ เอ่ยกับบรรพจารย์น่าหลันว่า “ค่ายกลภูเขาสายน้ำของสำนักพีหมาพวกเรามีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ได้ อันที่จริงต้องยกคุณความชอบให้กับภูเขาลั่วพั่ว หุบเขาผีร้ายสงบสุขมาได้สิบปีแล้ว”
บรรพจารย์น่าหลันยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องบนพูดถึงมานานแล้ว นอกจากที่ตาแก่อย่างข้าหูตาพร่าเลือนแล้ว ยังความจำไม่ดีด้วยหรือ?”
เหวยอวี่ซงถอดใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่เอ่ยโน้มน้าวอะไรอีก
จู๋เฉวียนถูกเรียกกลับมาถึงศาลบรรพจารย์แล้วก็เอ่ยเพียงประโยคเดียว ไม่มีใครที่รังแกคนอื่นเช่นนี้ เหล่าเหนียงไม่เป็นเจ้าสำนักเฮงซวยนี่แล้ว
บรรพจารย์น่าหลันทั้งไม่พยักหน้าตอบรับ ทั้งไม่ตอบโต้ ถามแค่ว่าเจ้ายังรู้ด้วยหรือว่าตัวเองเป็นเจ้าสำนัก?
จู๋เฉวียนเงียบงันไร้คำพูด
เยี่ยนซู่เริ่มร้อนใจแล้ว ตนใช้อารมณ์มากพอแล้ว เจ้าจู๋เฉวียนอย่าทำอะไรเหลวไหลอีกเด็ดขาดเชียว
บรรพจารย์น่าหลันผู้นี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมถอยให้ บอกว่าไม่เป็นเจ้าสำนักแล้ว ก็ได้ คิดให้ดีก่อนว่าจะปิดประตูสำนึกผิดอยู่ในศาลบรรพจารย์สองสามวัน ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจว่าจะลาออกจากตำแหน่งเจ้าสำนักหรือไม่ พอถึงเวลาก็แค่บอกกล่าวกับภาพแขวนทุกภาพในศาลบรรพจารย์ให้ครบก็พอแล้ว หากเจ้าจู๋เฉวียนออกจากศาลบรรพจารย์ไปแล้ว จะไปที่หุบเขาผีร้ายหรือเมืองชิงหลูก็ตามสบาย ถึงอย่างสำนักพีหมามีหรือไม่มีเจ้าสำนักก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร ไม่ต้องบอกกล่าวเขา หลังจากกระบี่ส่งข่าวไปถึงสำนักเบื้องบนแล้ว อีกไม่นานก็จะเปลี่ยนคนที่สามารถเป็นเจ้าสำนักได้มาแทน แม้จะบอกว่าสำนักพีหมาเป็นเพียงสำนักเบื้องล่างแห่งหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ได้เป็นเจ้าสำนักหนึ่งในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ พวกตาแก่ของศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องบนที่ยินดีมาอยู่อุตรกุรุทวีปมีให้เลือกคว้ามากมาย
หลังจากนั้นจู๋เฉวียนก็อยู่ในศาลบรรพจารย์ ถึงอย่างไรเยี่ยนซู่ก็หิ้วเหล้ามาหาทุกสามวันห้าวันอยู่แล้ว ไม่สะดวกจะดื่มเหล้าในศาล คนทั้งสองจึงนั่งดื่มเหล้ากันที่หน้าประตูใหญ่ จู๋เฉวียนคอยหันไปชูกาเหล้าให้ในประตูใหญ่อยู่เป็นระยะ ช่วยแก้อยากให้พวกบรรพจารย์ในภาพแขวนที่ดื่มเหล้าไม่ได้อีกแล้ว
ร้านค้าในนครปี้ฮว่า เถ้าแก่สาวได้เจอกับผังหลันซี นางคลี่ยิ้มหวาน
ในร้านไม่มีลูกค้า ผังหลันซีนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงินร้องโอดครวญไม่หยุด บ่นว่าเวทกระบี่ที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ยากเกินไป เรียนลำบากเกินไป
นางจึงบอกว่าเผยเฉียนกับสหายของนางที่ชื่อหลี่ไหว ก่อนหน้านี้ได้มาที่ร้าน เห็นว่าเจ้าไม่อยู่เลยบอกว่าตอนกลับบ้านจะมาหาเจ้าอีกครั้ง
ผังหลันซีกลั้นยิ้ม เอ่ยว่า “เผยเฉียนผู้นั้นประหลาดมากเลยใช่ไหม?”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่นะ นางรู้มารยาทดีมากเลย”
เพียงแต่จู่ๆ นางก็ถอนหายใจ ก่อนหน้านี้สายตาของเด็กสาวคล้ายกำลังพูดอยู่ จากนั้นดูเหมือนนางก็คล้ายจะเข้าใจคำพูดในดวงตาของเผยเฉียน
ฉวยโอกาสที่ผังหลันซีอยู่ข้างกายพอดี นางจึงเม้มปาก ตัดสินใจว่าควรจะบอกความในใจเหล่านั้นกับเขา นางจึงปลุกความกล้าเอ่ยว่า “หลันซี ความคิดของข้าก่อนหน้านี้ก็คือหลายปีมานี้ที่ร้านก็สะสมเงินเทพเซียนได้บ้างแล้ว ข้ายังพอจะซื้อยาวิเศษตระกูลเซียนที่ช่วยรักษาความเยาว์ของสตรีจากสวนน้ำค้างวสันต์สักกล่องได้ไหว จะได้แก่ช้าหน่อย ผมขาวช้าหน่อย…”
ผังหลันซีกำลังจะเปิดปากพูด นางกลับส่ายหน้า “ให้ข้าพูดให้จบก่อน เมื่อก่อนข้าคิดเพียงแค่นี้ พยายามจะมีชีวิตอยู่ให้ได้ร้อยปี ถึงเวลานั้นกลายเป็นไม่น่ามองแล้ว กลายเป็นหญิงแก่ผมขาวร่างกายเสื่อมโทรมแล้ว หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าก็ไม่โทษเจ้า แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว พอดีกับที่เหนียงเนียงเทพแห่งผืนดินในพื้นที่ของนครปี้ฮว่าพวกเราบอกว่านางอยากปลดภาระ อยากออกไปดูโลกภายนอก และข้าก็มีโอกาสเสี้ยวหนึ่งที่จะรับช่วงต่อสถานะของนาง แต่เหนียงเนียงเทพแห่งผืนดินก็บอกกับข้าตามตรงว่า กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่แห่งนี้ แม้ว่าระดับขั้นจะไม่สูง เป็นเพียงแค่เทพเจ้าที่ แต่ข้าไม่มีโชควาสนาเซียนไม่มีรากฐานเซียน คำว่าโอกาสเสี้ยวหนึ่งนั้นก็ต้องอาศัยให้เหล่าเทพเซียนของภูเขามู่อีประทานโชคให้ ดังนั้นข้าเลยอยากถามเจ้าว่าหากทำแบบนี้ เจ้าจะลำบากใจไหม?”
ผังหลันซีพยักหน้า สายตาอ่อนโยน น้ำเสียงหนักแน่น เอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ดี!”
หญิงสาวผ่อนลมหายใจโล่งอก แต่ก็อดกระวนกระวายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรคำบอกเล่าของเหนียงเนียงเทพแห่งผืนดินที่บอกว่าเลือดเนื้อสลายโครงกระดูกหยัดยืน จิตวิญญาณทรมานอะไรพวกนั้น ฟังแล้วก็น่ากลัวมาก