บทที่ 692.4 เด็กสาวถามหมัดต่อเทพลำคลอง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลี่ไหวพยายามตะโกนเสียงดัง “เผยเฉียน หากเจ้าออกหมัดเช่นนี้ ต่อให้พวกเราสองคนจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีก ข้าก็จะต้องไปฟ้องเฉินผิงอันให้จงได้!”

เผยเฉียนสะอื้นไห้อยู่ในลำคอ “อาจารย์พ่อของข้าอาจไม่ได้กลับมาบ้านอีกแล้ว”

เด็กสาวจิตใจหม่นหมอง แต่ปณิธานหมัดบนร่างกลับพรั่งพรูทะยานพรวดพราดตลอดเวลา

ทะเลเมฆเจ็ดสีเหนือศาลเทพลำคลองเหยาเย่เดี๋ยวก็มารวมตัวกัน เดี๋ยวก็แยกสลายไม่หยุดนิ่ง

เซวียหยวนเซิ่งได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ดีนักนะ ก่อเรื่องเหลวไหลขึ้นเสียแล้ว เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าหมัดนั้นของแม่นางน้อย หากต่อยออกมาร่างทองจะต้องปริแตกนะ? นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เว้นเสียจาก…

เว้นเสียจากแม่นางน้อยคนนี้ฝ่าทะลุขอบเขต โชคชะตาบู๊อยู่บนร่าง จากนั้นในเสี้ยววินาทีก็…ฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกขั้น! อยู่ดีๆ ก็ฝ่าทะลุขอบเขตสองขั้นติดกันในรวดเร็ว กลายเป็นขอบเขตเดินทางไกลอย่างเลอะเลือนเช่นนี้น่ะหรือ?

เซวียหยวนเซิ่งรู้สึกว่าน้ำน่าจะเข้าสมองเทพลำคลองอย่างตนเสียแล้ว

ทว่าภาพเหตุการณ์ผิดปกติระหว่างฟ้าดินที่เกิดขึ้นตรงหน้ากลับไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ของลำคลองเหยาเย่และชายหาดโครงกระดูกจริงๆ

หลี่ไหวเอ่ยอย่างเสียใจ “เฉินผิงอันจะกลับมาบ้านหรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าเผยเฉียนก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เฉินผิงอันไม่ควรรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ชีวิตนี้คนที่เขามองผิดที่สุดคือเผยเฉียน ไม่ใช่เซวียหยวนเซิ่ง”

เผยเฉียนพลันหันหน้ามาด่า “ผายลมเหม็นๆ ของมารดาเจ้าน่ะสิ!”

หลี่ไหวที่เหงื่อท่วมเต็มศีรษะยื่นมือไปไว้หลังก้น พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลั้นไว้ก่อน เจ้าลองดมดูว่าหอมหรือไม่ ทุกครั้งเฉินผิงอันล้วนบอกว่าหอมมาก”

อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง บนเส้นทางเล็กระหว่างหุบเขาในขณะที่เดินทางไกลปีนั้น

นางกำหมัดหลวมๆ ถามจูเหลี่ยนกับสือโหรวว่าอยากรู้หรือไม่ว่าในมือนางซ่อนอะไรไว้ จูเหลี่ยนบอกให้นางไสหัวไป สือโหรวกลอกตามองบน จากนั้นนางก็ถูกอาจารย์พ่อเขกมะเหงกใส่

ก่อนหน้านั้นนางถามคำถาม อาจารย์พ่อตอบคำถาม

‘อาจารย์พ่อ นี่เรียกว่าวิญญูชนไม่แย่งของรักของคนอื่นหรือไม่?’

‘ข้าน่ะหรือ ห่างจากการเป็นวิญญูชนที่แท้จริงอีกไกลนัก’

‘ไกลเท่าไร? ไกลเท่าสวนสิงโตมาถึงที่พวกเราอยู่ตอนนี้หรือไม่?’

‘คงไกลกว่าพื้นที่มงคลดอกบัวมาถึงสวนสิงโตอีกกระมัง’

‘ไกลขนาดนี้เชียวหรือ?!’

‘ก็ใช่น่ะสิ’

‘อาจารย์พ่อ แต่ต่อให้ไกลแค่ไหนก็สามารถเดินได้ถึงกระมัง?’

‘ใช่แล้ว แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นคือห้ามเดินไปผิดทางล่ะ’

……

เวลานี้เผยเฉียนพลันคลายท่าหมัด เก็บปณิธานหมัดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นางสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นเงียบๆ เดินมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่ไหว รับไม้เท้าเดินป่าที่อาจารย์พ่อมอบให้มาจากมือของเขา

เซวียหยวนเซิ่งรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ในความเป็นจริงแล้วบนภูเขามู่อีสำนักพีหมาก็มีคนหลายคนที่โล่งอกเช่นเดียวกัน

เผยเฉียนเอ่ยขออภัยเทพลำคลองเซวียอย่างห่อเหี่ยว จากนั้นก็เดินไปที่ท่าเรือ

หลี่ไหวพอจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเผยเฉียนได้คร่าวๆ อารมณ์ของเขาพลันหนักอึ้ง เดินตามไปข้างกายเผยเฉียน อย่าว่าแต่เอ่ยปลอบเผยเฉียนเลย เวลานี้ตัวเขาเองก็รู้สึกแย่มากๆ

ท่าทีผิดปกติของเผยเฉียนในวันนี้เกี่ยวข้องกับเทพลำคลองเซวียที่ปลอมกายเป็นคนเรือเฒ่า แต่อันที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวมากนัก เรื่องที่ทำให้เผยเฉียนโกรธเคืองอย่างแท้จริง น่าจะเป็นเพราะเรื่องในอดีตบางอย่างของนาง รวมถึงเรื่องที่อาจารย์พ่อของนางออกเดินทางไกลเนิ่นนานไม่กลับมาเสียที ถึงขั้นที่ว่าหากพูดตามคำกล่าวของเผยเฉียนที่บอกว่านับจากนี้เฉินผิงอันอาจไม่ได้หวนกลับคืนมาบ้านเกิดอีกแล้ว พอคิดมาถึงตรงนี้ หลี่ไหวก็เซื่องซึมไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าเผยเฉียนเสียอีก

เผยเฉียนเอ่ย “หลี่ไหว ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

หลี่ไหวฝืนคลี่ยิ้ม หลุดปากพูดไปว่า “ฮ่าๆ ข้าคนนี้ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียหน่อย”

เผยเฉียนเหล่ตามองหลี่ไหว

คนเรือผู้เฒ่าตามคนทั้งสองมาด้วย ยิ้มเอ่ยว่า “จะส่งพวกเจ้าข้ามผ่านลำคลอง กฎเดิม ต้องเก็บเงิน”

เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที “ข้ารู้ เงินแปดเฉียน”

กระทั่งบัดนี้หลี่ไหวถึงจะรู้สึกเลื่อมใสเทพลำคลองเซวียหยวนเซิ่งจากใจจริง อีกฝ่ายใจกว้างดุจลำคลองเหยาเย่ ไม่จดจำความแค้นแม้แต่น้อย

เซวียหยวนเซิ่งเริ่มถ่อเรือข้ามลำคลอง หลี่ไหวนั่งอยู่กลางเรือ เผยเฉียนนั่งอยู่ท้ายเรือ หันหลังให้พวกเขาสองคน หลี่ไหวยิ้มเอ่ยกับนายท่านเทพลำคลองว่า “รบกวนเทพลำคลองเซวียช่วยบอกเล่าเรื่องกฎระเบียบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำให้พวกเราฟังทีเถอะ อะไรที่เล่าได้ก็เล่า อะไรที่เล่าไม่ได้ พวกเราฟังแล้วก็จะถือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

เซวียหยวนเซิ่งพยักหน้ารับ พูดคร่าวๆ ถึงชีวิตของเด็กหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วกับชายฉกรรจ์คนนั้นว่าเหตุใดถึงมีสภาพการณ์อย่างในวันนี้ วันหน้าจะกลายเป็นอย่างไร แม้แต่คนรวยที่ถูกขโมยเงิน รวมไปถึงปู่หลานสองคนที่เกือบจะถูกขโมย เขาล้วนเล่าให้ฟังทั้งหมด แล้วยังแทรกไว้ด้วยมาตรฐานการจัดการเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำบางอย่างด้วย ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อต้องห้ามอะไร แล้วนับประสาอะไรกับลำคลองเหยาเย่ที่ฟ้าไม่สนดินไม่สน เทพเซียนยิ่งไม่สนแห่งนี้ เขาเซวียหยวนเซิ่งจึงไม่ถือสากฎเกณฑ์กับผายลมสุนัขพวกนั้นเลยจริงๆ

เผยเฉียนไม่ได้หันหน้ามา แต่เอ่ยว่า “เป็นข้าที่เข้าใจเทพลำคลองเซวียผิดไป”

เซวียหยวนเซิ่งถือไม้ไผ่ถ่อเรือไว้ในมือ เขากลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “เข้าใจผิดอะไร? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก เรื่องราวหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นความทุกข์ยากน้อยใหญ่ของพวกชาวบ้าน เว้นเสียจากว่าเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุไปมากที่ข้าจะเข้าไปควบคุมดูแลแล้ว เรื่องอื่นๆ อันที่จริงข้าคร้านจะสนใจ แล้วก็ไม่ใช่ว่ากลัวผลกรรมจะตามติด จะลดทอนบุญกุศลอะไร แท้จริงแล้วแม่นางน้อยเจ้าก็พูดไม่ผิด เป็นเพราะเห็นมามากแล้วจึงทำให้เทพลำคลองเหยาเย่อย่างข้ารู้สึกเอือมระอาแล้ว นอกจากนี้เรื่องที่ข้าหวังดีแต่ทำให้เสียเรื่องก็ไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่องเท่านั้น ทำให้ข้าหวาดกลัวไม่หายจริงๆ”

เผยเฉียนกล่าวอย่างอัดอั้น “อาจารย์พ่อเคยบอกว่าไม่ควรเข้มงวดกับคนดีมากที่สุด ดังนั้นยังคงเป็นข้าที่ผิด ฝึกหมัดฝึกได้ผายลม จะฝึกไปทำไมให้เสียเวลา”

หลี่ไหวเกาหัว

เพราะเกี่ยวกับเงินแปดเฉียน แล้วก็นึกถึงคำพูด ‘พึมพำเหมือนคนบ้า’ ของแม่นางน้อย เซวียหยวนเซิ่งพลันนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ “แม่นางน้อย อาจารย์พ่อของเจ้าคงจะไม่ใช่คนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมงอบห้อยกาเหล้าซึ่งในอดีตเคยเดินทางท่องเที่ยวผ่านที่แห่งนี้กระมัง?”

เผยเฉียนถึงได้หันหน้ามา ดวงตาแดงก่ำ แต่เวลานี้ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม พยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่!”

เซวียหยวนเซิ่งหัวเราะฮ่าๆ “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์พ่อของเจ้าก็มีเหตุผลกว่าเจ้าเยอะเลย นิสัยอ่อนโยนปรองดอง เหมือนบัณฑิตมากกว่า”

ตัวคนไม่ใช่คนเลวร้ายจริงๆ แต่สมองกลับไม่ค่อยปกติสักเท่าไร โชควาสนาจากภาพเทพหญิงที่ใหญ่ขนาดนั้นดันไม่ต้องการ ปีนั้นเทพหญิงฉีลู่ที่อยู่บนเรือข้ามฟากของตนโมโหไม่น้อยเลยจริงๆ

ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และศิษย์กัน

เพียงแต่คำพูดที่ง่ายจะโดนต่อยเช่นนี้ เวลานี้เซวียหยวนเซิ่งไม่กล้าพูดจริงๆ

หลี่ไหวรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย

คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ เผยเฉียนจะยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ดวงตาคู่นั้นสาดประกายสดใสวิบวาว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว อาจารย์พ่อของข้าคือบัณฑิตที่ชอบใช้เหตุผลเป็นที่สุด! แล้วยังเป็นมือกระบี่ด้วยนะ”

เห็นไหม อาจารย์พ่อไม่ได้มองเทพลำคลองเซวียหยวนเซิ่งผิดไปจริงๆ

คนที่ผิดล้วนเป็นตน

รอกระทั่งเผยเฉียนหันตัวกลับมา หลี่ไหวชำเลืองมองของที่อยู่ในมือของนางก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่านางจะดื้อแพ่ง ที่แท้กลับหยิบเอาอุปกรณ์ชุดหนึ่งออกมานานแล้ว กำลังใช้ตาเต็งชั่งเงิน ใช้กรรไกรอันเล็กตัดเศษเงินก้อนออกมาแปดเฉียน คงกลัวว่าจะตัดมากเกินแล้วเสียเงินโดยไม่จำเป็นกระมัง กล่องไม้ใบเล็กที่อยู่บนหัวเข่าเหมือนนกกระจอกที่แม้จะตัวเล็กแต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน ไม่ว่าอะไรก็มีครบหมด นอกจากกรรไกรอันเล็กแล้วยังมีตาเต็งเล็กที่เหลาจากลำไม้ไผ่ ส่วนลูกตุ้มตาชั่งก็ไม่ได้มีแค่อันเดียว เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน หนึ่งในนั้นนางยังแกะสลักด้วยตัวเองเป็นคำว่า ‘ไม่เคยขาดทุน’ กับอีกอันหนึ่งสลักว่า ‘หาเงินได้อย่างเดียวเท่านั้น’ …

เซวียหยวนเซิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ เมื่อเทียบกับภาพบรรยากาศก่อนหน้านี้แล้ว แม่นางน้อยในเวลานี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ เขาจึงอดหัวเราะไม่ไหว แล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็เป็นบัณฑิต ข้าก็ไม่เก็บเงินแล้ว”

เผยเฉียนเพิ่งจะตัดเงินออกมาได้แปดเฉียน ชี้หลี่ไหวแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่บัณฑิต เขาใช่ ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายเงินให้เทพลำคลองเซวียสี่เฉียนแล้วกัน”

จากนั้นเผยเฉียนก็เอ่ยกับหลี่ไหวว่า “ช่วยเจ้าจ่ายเงิน เจ้าต้องขอบคุณข้านะ เรื่องในวันนี้?”

เดิมทีหลี่ไหวอยากบอกว่าข้าไม่มีเงินเทพเซียน เงินแปดเฉียนนี้เขายังพอจ่ายไหว คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะจ้องหน้าหลี่ไหว แล้วใช้มือหักเงินแปดเฉียนนั้นเป็นสองท่อน หลี่ไหวจึงรีบพยักหน้าพูดทันที “วันนี้ลมและแดดล้วนงดงาม บนลำคลองเหยาเย่ไร้คลื่นมรสุมใดๆ”

จากนั้นหลี่ไหวก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ข้าเป็นบัณฑิต ข้าต่างหากที่ไม่ต้องจ่ายเงินยามข้ามลำคลอง

เพียงแต่เขาไม่กล้าถือสาอะไรเผยเฉียน หลี่ไหวกลัวเผยเฉียนมากกว่าที่เคยกลัวหลี่เป่าผิงตอนเป็นเด็กเสียอีก เพราะถึงอย่างไรหลี่เป่าผิงก็ไม่เคยอาฆาตแค้น ยิ่งไม่เคยจดบัญชี ทุกครั้งแค่ซ้อมเขาแล้วก็ปล่อยผ่านไป

เซวียหยวนเซิ่งหัวเราะพลางส่ายหน้า บัณฑิตคนนี้สมองปกติ แต่กลับไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร

ข้ามลำคลองจ่ายเงินเรียบร้อย

หลี่ไหวก็เอ่ยขอบคุณคนเรือผู้เฒ่า

เผยเฉียนไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ประสานมืออำลา

เซวียหยวนเซิ่งโบกมือ ถ่อเรือกลับไปฝั่งตรงข้ามด้วยความคิดนับร้อยที่ประดังประเดเข้ามา วันนี้ออกจากบ้านมาเดินเล่นไม่รู้ว่าควรพูดว่าเปิดดูปฏิทินเหลืองแล้วหรือยังไม่ได้เปิดดูดี

หลี่ไหวรู้สึกเพียงว่าพอไม่มีเรื่องตัวก็เบา

เผยเฉียนพลันถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอะไรหอมไม่หอม?”

หลี่ไหวเข่าอ่อนยวบ รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่กลับไม่มีใครช่วยตนได้สักคน

เผยเฉียนหันขวับกลับไปมอง

หลี่ไหวมองตามสายตาของเผยเฉียนไปแล้วกะพริบตาปริบๆ สีหน้าเหลือเชื่อ เอ่ยเรียก “ท่านพี่?!”

หลี่หลิ่วยิ้มตาหยี พยักหน้ารับเบาๆ

หลี่ไหววิ่งตุปัดตุเป๋ไปหา สองมือกุมแก้มของหลี่หลิ่วเอาไว้แล้วบีบเบาๆ “ท่านพี่ ท่านคงไม่ใช่ตัวปลอมกระมัง? กระโดดออกมาจากไหนกัน?”

หลี่หลิ่วยิ้มหวาน

ภูตจิ้งจอกข้างกายนามว่าเหวยไท่เจินเหมือนห้าอสนีผ่าลงหัว รู้สึกเพียงว่าตนเจอกับทัณฑ์สวรรค์เข้าให้แล้ว

นี่ก็คือน้องชายที่นายท่านพร่ำพูดถึงบ่อยๆ งั้นหรือ? หน้าตาดี นิสัยดี เรียนหนังสือได้เก่ง พรสวรรค์ดี จิตใจก็ดี…ถึงอย่างไรก็คือหลี่ไหวที่ดีไปหมดทุกอย่าง?

เผยเฉียนมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่ไหว ยิ้มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “พี่หญิงหลี่หลิ่ว”

หลี่ไหวรีบหดมือกลับมาทันที

หลี่หลิ่วหันไปพยักหน้ายิ้มเอ่ยกับเผยเฉียน “มีเจ้าอยู่ข้างกายเขา ข้าก็สบายใจมากแล้ว”

หลี่ไหวรีบดึงพี่สาวไปด้านข้าง กดเสียงต่ำเอ่ยอย่างจนใจว่า “ท่านพี่ ท่านมาได้อย่างไร? เป็นแม่นางสองคนก็กล้าออกจากบ้านเดินทางไกล มาเยือนสถานที่อย่างชายหาดโครงกระดูกที่ไกลจากยอดเขาสิงโตขนาดนี้เลยหรือ? ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิท่านหรอกนะ ท่านไม่งดงาม แต่เพื่อนท่านหน้าตาดีนี่นา ข้าบอกท่านไว้เลยว่าอันธพาลที่ชายหาดโครงกระดูกแห่งนี้มีมากมาย แต่ไม่เป็นไร ข้าเพิ่งผูกมิตรกับนายท่านเทพลำคลองเหยาเย่ หากมีเรื่องจริงก็บอกชื่อของข้าไป…ช่างเถิด เทพลำคลองเซวียยังไม่รู้ชื่อของข้าเลย ท่านบอกชื่อของเผยเฉียนไปแล้วกัน น่าจะใช้ได้ผลมากกว่า ก่อนหน้านี้เผยเฉียนเกือบจะออกหมัด เจ้าตัวดี ไม่เสียแรงที่เป็นนายท่านเทพวารีลำคลองเหยาเย่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ หนักแน่นดุจภูเขาไท่ซาน ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไม่กลัวเลยสักนิดเดียว หากเปลี่ยนเป็นข้าที่เผชิญหน้ากับเผยเฉียน คงลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้นนานแล้ว!”

หลี่หลิ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าคงไม่ไปเที่ยวเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว มีธุระบางอย่างให้ต้องไปจัดการ”

หลี่ไหวหัวเราะอย่างฉิวๆ “ข้าก็ไม่ยินดีให้ท่านเที่ยวไปพร้อมกับข้าเหมือนกันนั่นแหละ ข้างกายจะมีพี่สาวตามมาด้วยทำไมกัน ตลอดทางนี้คิดจะตามหาพี่เขยหรือไร?!”

หลี่หลิ่วพลันถามว่า “เจ้ามีเชือกสีแดงเส้นหนึ่งอยู่ในหีบหนังสือใช่หรือไม่”

หลี่ไหวอึ้งตะลึง “ทำไม ท่านพี่มีคนในใจแล้วเหรอ ขาดสินเดิมขนาดนี้เชียว? สมองของว่าที่พี่เขยข้ามีปัญหากระมัง คิดว่าในเมื่อหวังความงามไม่ได้ ก็เลยหวังทรัพย์สินแทน? ท่านแม่จะไม่โมโหจนหยิกเนื้อท่านหลุดเลยหรือ ท่านพี่ เรื่องนี้จะทำเป็นเล่นไม่ได้ ว่าที่พี่เขยข้าจะรวยหรือจนล้วนไม่สำคัญ แต่หากนิสัยใจคอมีปัญหา ข้าไม่ยอมตอบตกลงหรอกนะ ต่อให้ท่านแม่ตอบตกลงแล้ว ข้าก็ไม่ยอม…”

หลี่หลิ่วรู้สึกอ่อนใจยิ่งนัก

หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ท่านพี่ คิดอะไรน่ะ ข้าล้อท่านเล่นหรอกน่า”

สุดท้ายหลี่หลิ่วเดินไปเป็นเพื่อนน้องชายอย่างหลี่ไหวหลายลี้แล้วก็ย้อนกลับมาทางเดิม แต่ไม่ได้รับที่ล้างพู่กันเซียนนั่งแพอันนั้นไว้ เพียงแค่เอาเชือกแดงมา จากนั้นนางก็มอบของชิ้นหนึ่งให้น้องชาย ถูกหลี่ไหวโยนเก็บใส่หีบไม้ไผ่ไปอย่างไม่ใส่ใจ

หลี่หลิ่วถาม “เสื้อผ้ารองเท้าชุดนั้นที่หยางเหล่าโถวมอบให้เจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่ใส่ล่ะ”

หลี่ไหวกลอกตามองบน “สิ่งของที่ตาเฒ่าเก็บเงินอย่างยากลำบากซื้อมา ข้าเตร็ดเตร่ไปทั่วขุนเขาสายน้ำระยะทางยาวไกลขนาดนี้ สวมได้ไม่กี่วันก็หมดสภาพแล้ว แบบนั้นจะผิดต่อเงินแต่งเมียของตาเฒ่าเอาได้ ไม่แน่ว่าตอนที่ออกจากบ้านไปซื้อของ ตอนที่ตาเฒ่าควักเงินอาจจะเสียดายจนมือสั่นเลยก็ได้ ฮ่าๆ แค่คิดถึงภาพนี้ก็ขำแล้ว เพราะฉะนั้นก็ช่างเถอะ ระหว่างทางกลับบ้าน รอให้ใกล้ถึงบ้านค่อยเอามาสวมแล้วกัน”

หลี่หลิ่วยิ้มเอ่ย “เอามาใส่เลยเถอะ”

หลี่ไหวเอ่ยอย่างรำคาญ “ไว้ค่อยว่ากัน ไว้ค่อยว่ากัน”

หลี่หลิ่วจึงไม่โน้มน้าวน้องชายอีก

สุดท้ายหลี่หลิ่วทิ้งเหวยไท่เจินภูตจิ้งจอกขอบเขตร่างทองตนนั้นเอาไว้ อันที่จริงบ้านเกิดของนางอยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไม่ไกล นั่นก็คือภูเขากระจกวิเศษในหุบเขาผีร้าย

ดังนั้นหลี่ไหวที่น่าสงสารเลยใกล้จะแตกสลายเต็มที แม่นางเหวยที่บอกว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ยอดเขาสิงโตผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ จ้องตนเขม็ง มองอะไรกันนักหนา ข้ารู้แล้วว่าตัวเองไม่หล่อเหลา พอใจหรือยัง? เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาแล้วร้ายกาจนักหรือ จะดีจะชั่วก็เป็นสหายเทพเซียนของพี่สาวข้านะ ไว้หน้ากันหน่อยไม่ได้หรือไร?

เผยเฉียนกลับไม่คิดอะไรมาก ไม่สนใจว่ารากฐานของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร

ในเมื่อเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่แท้จริงคนหนึ่งก็สามารถช่วยดูแลกันได้ ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกอย่างนางคนเดียวคงไม่ค่อยเพียงพอสักเท่าไร หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันจริงๆ เหวยไท่เจินก็ยังสามารถพาหลี่ไหวหนีไปได้

จากนั้นคนทั้งสามก็เดินทางกันต่อเงียบๆ

หลี่ไหวไม่เต็มใจจะพูด

เหวยไท่เจินไม่กล้าพูด

เผยเฉียนนั้นคร้านจะพูด เพียงถือไม้เท้าเดินป่าเดินต่อไป แต่จู่ๆ ก็ถามว่า “หลี่ไหว อาจารย์พ่อของข้าต้องกลับมาแน่นอน ถูกไหม?”

หลี่ไหวอืมรับหนึ่งที “นั่นมันแน่อยู่แล้ว เฉินผิงอันดีกับเจ้ามากขนาดไหน คนข้างกายอย่างพวกเราล้วนเห็นกันอยู่ในสายตา”

เผยเฉียนสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา “พี่สาวเจ้าก็ดีกับเจ้ามาก”

หลี่ไหวพยักหน้ารับ

เผยเฉียนโบกไม้เท้าเดินป่าในมือเบาๆ คลอบทเพลงพื้นบ้านในลำคลอเบาๆ ว่าเต้าหู้เหม็นอร่อยนักแล เต้าหู้เหม็นอร่อยแต่ซื้อไม่ไหว! บนภูเขามีภูตผี ในแม่น้ำทะเลสาบลำคลองมีผีพราย ตกใจจนต้องหันหน้าไปมอง ที่แท้ก็ห่างจากบ้านมานานหลายปีแล้ว กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ! แม่นางน้อยของบ้านไหน บนร่างมีกลิ่นดอกกล้วยไม้ ไยจึงร้องไห้หน้าลายพร้อย เจ้าว่าน่าสงสารหรือไม่? ไม่ได้กินเต้าหู้เหม็นน่าสงสารจริงๆ เลย…

เผยเฉียนพลันตระหนักได้ นางเดือดดาลอย่างหนัก คิดไม่ถึงว่าหลี่ไหวกลับเบามือเบาเท้าขยับออกห่างเผยเฉียนไปไกลอยู่นานแล้ว รอกระทั่งเผยเฉียนคืนสติ เขาก็เผ่นแน่บหนีไปไกลแล้ว กำลังชักเท้าวิ่งตะบึงอยู่เบื้องหน้า

เผยเฉียนกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ตามไปทันหลี่ไหว ยกเท้าถีบจนหลี่ไหวหน้าทิ่มลงพื้น หลี่ไหวลุกขึ้นยืนแล้วออกวิ่งต่ออีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

เหวยไท่เจินปาดเหงื่อบนหน้าผาก

คนบ้านเดียวกันกับนายท่านช่างน่ากลัวเหลือเกิน