ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งขี่กระบี่มาถึง ก็คือหวังซือจื่อที่เดินทางกลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาพร้อมกับจั่วโย่ว ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง มักจะได้รับการชี้แนะด้านเวทกระบี่จากจั่วโย่วเป็นประจำ ตอนนี้มีหวังจะฝ่าทะลุคอขวดแล้ว
ระหว่างระยะเวลาสิบสี่ปีก่อนหน้านี้ เคยขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองสามครั้ง สองครั้งได้ออกจากนครไปเข่นฆ่า ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมีผลงานการต่อสู้อยู่ในระดับกลาง สำหรับผู้ฝึกกระบี่อิสระต่างถิ่นคนหนึ่งแล้ว มองดูเหมือนธรรมดา แท้จริงแล้วกลับถือเป็นผลงานการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นคือหวังซือจื่อออกกระบี่อย่างสุดชีวิตทุกครั้ง แต่กลับแทบไม่เคยบาดเจ็บหนักมาก่อน ถึงขั้นไม่มีโรคร้ายที่ส่งผลต่อการฝึกตนใดๆ เหลือทิ้งไว้ หากพูดตามคำของจั่วโย่วก็คือดวงแข็ง วันหน้าตำแหน่งเซียนกระบี่ที่ควรเป็นของเจ้าหวังซือจื่อย่อมไม่หนีไปไหนแน่
หวังซือจื่อกุมหมัดกล่าว “ผู้อาวุโสจั่วโย่ว เจ้าสำนักฟู่”
จากนั้นก็หันไปผงกศีรษะทักทายอวี๋ซินกับหลี่หวานย่ง
ลูกรักแห่งสวรรค์ของสำนักใบถงทั้งสองคนก็ทยอยกันทักทายกลับคืน สำหรับหวังซือจื่อที่เดิมทีไร้ชื่อเสียงบนภูเขาของใบถงทวีปผู้นี้ ผู้กอบกู้ทั้งสี่คนที่อายุน้อยต่างก็เลื่อมใสเขาอย่างมาก ที่แท้ถึงแม้หวังซือจื่อจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่ก่อนที่จะไปเยือนภูเขาห้อยหัวกลับชอบท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำเพียงลำพัง อีกทั้งยังปิดบังชื่อแซ่ตลอดเวลา ไม่เคยไปเข้าร่วมกับตระกูลเซียนอักษรจงใดๆ หลังจากที่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรแล้วก็เดินทางไกลข้ามทวีปไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเงียบเชียบ ไปอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็ฝ่าทะลุขอบเขตสร้างโอสถได้สำเร็จ ครั้งนี้ติดตามจั่วโย่วกลับบ้านเกิด หลังจากคอยช่วยเหลือสำนักใบถงอยู่ตลอดเวลา หวังซือจื่อที่มีภาพบรรยากาศของ ‘ตัวอ่อนเซียนกระบี่’ คนนี้ถึงได้ค่อยๆ เป็นที่รู้จักของผู้คน
หวังซือจื่ออายุใกล้เคียงกับจั่วโย่ว แต่กลับชอบเรียกจั่วโย่วว่าผู้อาวุโส อีกทั้งยังเรียกอย่างจริงใจ บางทีอาจเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสจั่วโย่วมาก่อน ใครที่ถามเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หวังซือจื่อล้วนบอกว่าไม่รู้ อย่างมากสุดก็แค่เล่าเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของที่นั่นเท่านั้น
หวังซือจื่อคือผู้ฝึกตนอิสระของใบถงทวีป ความตั้งใจเดิมของจั่วโย่วคือต้องการให้หวังซือจื่อไปอยู่สำนักกุยหยกที่ปลอดภัยมากกว่า แต่หวังซือจื่อกลับยืนกรานจะอยู่ต่อในสำนักใบถง หลายปีมานี้คอยช่วยเหลือสำนักใบถงตรวจตราเรื่องการสร้างค่ายกลใหญ่ ทุกวันนี้จึงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับตู้เหยี่ยน ฉินสุ้ยหู่ บางครั้งที่เกิดความขัดแย้ง ยกตัวอย่างเช่นมีความเห็นต่างอย่างมากกับพวกอาจารย์ค่ายกลสำนักหยินหยาง อาจารย์กลไกสำนักโม่ในบางเรื่อง หวังซือจื่อก็จะถูกผู้ฝึกตนของสำนักใบถงผลักออกมาให้บากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสจั่วโย่ว
หวังซือจื่อเล่าปัญหายุ่งยากที่สำนักใบถงและผู้ฝึกตนต่างถิ่นโต้เถียงกันไม่หยุดอย่างกระชับได้ใจความ ฟู่หลิงชิงจึงตัดสินใจทันที บอกว่าสำนักใบถงจะยอมถอยให้ก่อน จั่วโย่วจึงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
หวังซือจื่อเอ่ยลาแล้วขี่กระบี่จากไป
ฝนใหญ่หยุดลงแล้ว หลี่หวานย่งติดตามเจ้าสำนักขี่กระบี่ไปตรวจสอบสถานการณ์การจัดวางวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะไว้บนภูเขาที่เป็นแกนกลางสำคัญ
จั่วโย่วยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นั้นถึงไม่ได้จากไปด้วย
ใต้หล้าไพศาล จิตใจคนว่ายวนอยู่ในน้ำมาเนิ่นนาน
จั่วโย่วเห็นว่านางไม่มีทีท่าว่าจะจากไปจึงหันหน้ามาถาม “แม่นางอวี๋ มีธุระอะไรหรือ?”
อวี๋ซินจึงปลุกความกล้าถามว่า “ผู้อาวุโสจั่วโย่ว หอพิทักษ์เมืองทั้งเก้าแห่งในใต้หล้าไพศาล ทักษินาตยทวีปมีหอสยบกระบี่ เล่าลือกันว่าเซียนกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากแจกันสมบัติทวีปนามเฉาซีรับผิดชอบคอยดูแล ฝูเหยาทวีปก็มีหอสยบขุนเขา เหตุใดใบถงทวีปของพวกเราถึงไม่มีพอพิทักษ์เมืองอยู่เลยแม้แต่แห่งเดียว?”
จั่วโย่วเอ่ย “อันที่จริงมี อีกทั้งยังเป็นหอสยบปีศาจที่สำคัญอย่างถึงที่สุดด้วย ก็คืออารามกวานเต๋าของพื้นที่มงคลดอกบัว ใต้หล้านี้มีเพียงถ้ำสวรรค์กับพื้นที่มงคลสองแห่งที่เชื่อมโยงถึงกัน พื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีปพวกเจ้าเชื่อมโยงกับถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาของมรรคจารย์เต๋า แต่เจ้าอารามท่านนั้นบินทะยานไปยังใต้หล้ามืดสลัว หมายจะถามมรรคากับมรรคาจารย์เต๋า ในเมื่อทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่ได้ขัดวาง คิดดูแล้วก็คงเป็นข้อตกลงที่มีมานานแล้ว”
อวี๋ซินถามอย่างใคร่รู้ “เรื่องนี้สำคัญมาก เหตุใดศาลบุ๋นถึงไม่ปรึกษากับเจ้าอารามผู้เฒ่า ให้เขาบินทะยานช้าหน่อย หรือไม่ก็ให้เจ้าอารามผู้เฒ่าทิ้งหอสยบปีศาจแห่งนั้นเอาไว้ มอบให้สำนักศึกษาดูแลล่ะ? ทุกวันนี้กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจรุกรานเข้ามา ก็เท่ากับว่าจะมีที่พึ่งและโอกาสชนะเพิ่มมาอีกส่วนหนึ่งใช่หรือไม่?”
หอพิทักษ์เมืองทั้งเก้าแห่งในใต้หล้าไพศาลแบ่งออกเป็น สยบขุนเขา สยบแคว้น สยบมหาสมุทร สยบมาร สยบปีศาจ สยบเซียน สยบกระบี่ สยบมังกร สยบป๋ายเจ๋อ
จั่วโย่วส่ายหน้า “มีเรื่องราวมากมายที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเราเปลืองแรงโดยไม่ได้รับผลดีใดๆ ยกตัวอย่างเช่นปล่อยให้ร้อยสำนักในใต้หล้าไพศาลประชันขันแข่งกัน ไม่สังหารเผ่าปีศาจให้สิ้นซาก มอบอำนาจให้ราชวงศ์โลกมนุษย์เป็นผู้แต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ไม่เข้าร่วมการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ล่างภูเขาอย่างเป็นรูปธรรม การโต้เถียงภายในของศาลบุ๋น อันที่จริงก็มีอยู่ตลอดเวลา ระหว่างสถานศึกษากับสถานศึกษา ระหว่างสำนักศึกษากับสำนักศึกษา ระหว่างสายบุ๋นกับสายบุ๋น ต่อให้จะเป็นแค่การโต้เถียงเรื่องความรู้ของอิรยะปราชญ์ในสายบุ๋นสายเดียวกันก็ยังมีมากมายจนนับไม่ถ้วน”
จั่วโย่วเอ่ย “เรื่องของการใช้หลักการเหตุผล สิ้นเปลืองความคิดจิตใจมากที่สุด ข้าไม่เคยถนัดในเรื่องนี้ ตามคำกล่าวของลัทธิพุทธ อย่างมากสุดข้าก็เป็นได้แค่คนที่ดีแต่สนใจตัวเอง เรียนวิชากระบี่แล้วก็ยังเป็นเช่นนี้ พูดถึงแค่เรื่องการถ่ายทอดวิชาความรู้ ในสายของเหวินเซิ่ง เดิมทีเหมาเสี่ยวตงมีความหวังที่จะสืบทอดวิชาของอาจารย์ไปมากที่สุด แต่ติดที่ธรณีประตูของความรู้และคุณสมบัติในการฝึกตนมีจำกัด บวกกับสิ่งที่อาจารย์ต้องประสบพบเจอ เหมาเสี่ยวตงที่ไม่ยินดีไปจากสายเหวินเซิ่งจึงยิ่งยากจะแสดงฝีมือ ส่วนเรื่องที่จะช่วยสำนักศึกษาซานหยาขอยศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษามาก็ยังต้องให้เหมาเสี่ยวตงเดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยตัวเอง ยังดีที่ทุกวันนี้ข้ามีศิษย์น้องเล็กอยู่คนหนึ่ง เขาค่อนข้างจะเชี่ยวชาญเรื่องการใช้หลักการเหตุผลกับคนอื่น ควรค่าแก่การคาดหวัง”
อวี๋ซินค้นพบว่าผู้อาวุโสจั่วโย่วที่ค่อนข้างเจ้าอารมณ์ผู้นี้ ยามที่พูดถึงศิษย์น้องเล็กกลับมีรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จั่วโย่วไม่เอ่ยอะไรอีก นี่คงจะเป็นวิธีไล่แขกที่มีเฉพาะตัวของจั่วโย่วแล้ว
ทว่าอวี๋ซินกลับยังมีคำถาม “ทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสจั่วโย่วไม่ประทับใจในสำนักใบถงของพวกเราเลยแม้แต่น้อย เหตุใดยังยินดีมาเฝ้าพิทักษ์ที่นี่ล่ะ?”
จั่วโย่วกล่าว “เจ้าสำนักฟู่หลิงชิงของพวกเจ้าคือคนที่ยินดีใช้เหตุผล ภูเขาลูกหนึ่ง ขอแค่คนที่ใช้หลักการเหตุผลได้เก่งที่สุดยินดีจะใช้เหตุผล ถ้าอย่างนั้นขนบธรรมเนียมของสถานที่หนึ่งก็มีโอกาสจะเปลี่ยนจากขุ่นมัวเป็นใสกระจ่าง นอกจากนี้เป็นเพราะข้าได้รับคำสั่งจากอาจารย์และเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ใบถงทวีป ไม่ใช่เฝ้าพิทักษ์สำนักใบถงของพวกเจ้า ในเมื่อเวทกระบี่มาจากฟ้าดินแห่งนี้ ยามที่ควรจะต้องคืนกระบี่ก็ควรจะต้องคืนให้แก่ฟ้าดิน”
อวี๋ซินเอ่ยขอตัวลาจากไปอย่างนอบน้อม
นางรู้สึกดีใจเล็กน้อย แม้ว่าวันนี้ผู้อาวุโสจั่วโย่วจะยังมีสีหน้าเย็นชา แต่พูดค่อนข้างเยอะ อดทนเล่าเรื่องบนฟ้าให้นางฟังตั้งมากมายขนาดนั้น
นางเคยรู้สึกไม่พอใจเซียนกระบี่ใหญ่ที่ไม่เหมือนบัณฑิตแม้แต่น้อยคนนี้อยู่มาก ปากเปราะชอบรังแกคนอื่น ถามกระบี่ส่งเดชไม่ใช้เหตุผล ทำให้สำนักของนางเกือบจะต้องแตกแยก เจ้าสำนักถูกบีบให้ต้องเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน…เพียงแต่ว่าเมื่อจั่วโย่วหวนกลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังสำนักใบถง ตามคำกล่าวของหวังซือจื่อคือ ‘ผ่านทางมาพอดี’ จึงสังหารปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งวาสนาเกาะหลูฮวา และยังจะช่วยสำนักใบถงต้านทานกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วย ความไม่พอใจของนางก็หายวับไป ทะเลสาบหัวใจที่มีความกลัดกลุ้มของนางเหมือนฟ้าดินหลังฝนตก ภาพบรรยากาศเปลี่ยนใหม่ คล้ายพืชพรรณที่แตกหน่อในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ มองไม่เห็นความเคลื่อนไหว แต่แท้จริงแล้วกลับมีความเคลื่อนไหว
ตลอดทั้งใบถงทวีปในทุกวันนี้ เนื่องจากสำนักใบถง สำนักกุยหยก ภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีสี่แห่งร่วมกันสร้างค่ายกลใหญ่ซื่อเซี่ยงขึ้นมา บวกกับปรากฎการณ์ดวงดาว ‘ซานหยวน’ (สามนคร วิชาดาราศาสตร์ในสมัยโบราณจะแบ่งดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นสามนคร) ที่อริยะบนม่านฟ้าสามท่านสร้างขึ้นมาก่อนจะลงมายังโลกมนุษย์ ขอบเขตบินทะยานสวินยวน เทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิง ขอบเขตเซียนเหรินเจียงซ่างเจิน ต่างคนต่างยึดครองไปคนละแห่ง ซึ่งเทียนจวินผู้เฒ่าและเจียงซ่างเจินต่างก็มีอริยะลัทธิขงจื๊อสองท่านที่เดินทางไกลมาคอยช่วยเหลือ ต่างคนต่างควบคุมการโคจรของลมปราณในหนึ่งทวีปเหมือนยามนั่งพิทักษ์ถ้ำสวรรค์ เมื่อค่ายกลซานหยวนซื่อเซี่ยงรวมเข้าด้วยกัน ผู้ฝึกตนใหญ่สามท่านนี้คอยรวบรวมเอาโชคชะตาที่กระจายอยู่ในสถานที่ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง นี่จึงทำให้สภาพอากาศของใบถงทวีปในทุกวันนี้แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ยกตัวอย่างเช่นในอาณาเขตของสำนักใบถงเพิ่งจะมีฝนกระหน่ำที่มาเยือนอย่างเร่งร้อนแล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน จากนั้นก็มีลางว่าจะเกิดหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมา ทำให้คนรับมือไม่ทัน
รอกระทั่งค่ายกลใหญ่ของทวีปมั่นคงอย่างสมบูรณ์ สี่ฤดูในอาณาเขตของภูเขาไท่ผิงจะเป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา สำนักกุยหยกจะมีดวงตะวันลอยสูง อากาศร้อนแผดเผาอยู่ตลอดทั้งปี สำนักฝูจีมีลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวเหน็บ สำนักใบถงมีหิมะตกลงมาทุกช่วงเวลา
จั่วโย่วกลับไปนั่งเลี้ยงกระบี่อยู่ในกระท่อมเงียบๆ
จุดอื่นของสำนักใบถง ฉินสุ้ยหู่เมามายนอนหลับไปใต้บุปผา รอคอยให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบุกมาโจมตี ก่อนหน้านี้ฝนตกหนักถี่กระชั้น ทำให้มีกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนพร่างพรมลงมาเต็มร่าง แต่เขากลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ระหว่างช่วงที่ฝนใหญ่หยุดตกกับช่วงที่หิมะใหญ่กำลังจะมาถึง จวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่สร้างไว้ริมหน้าผา เมื่อเปิดหน้าต่างออกกว้างจะเห็นแสงจันทร์กระจ่าง หลุบตาลงมองบ่อน้ำ หน้าผาสูงชันน้ำลึก ไร้เส้นทางให้เดิน ตู้เหยี่ยนที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายตู้เม่า ตลอดหลายปีมานี้เขาถูกคนดูแคลนคนประณามมาเกินพอ ตู้เหยี่ยนที่เดิมทีมองเจียงซ่างเจินเป็นคนที่ตัวเองต้องไล่ตามจึงใช้ชีวิตเสเพลอยู่นานหลายปี ทว่าเวลาไม่ถึงสิบปีกลับก้าวหน้าอย่างพรวดพราด ฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันสองขั้น เวลานี้ตู้เหยี่ยนมีสีหน้ากลัดกลุ้มก่อน แต่ก็เปลี่ยนมาเป็นเด็ดเดี่ยวในทันที คิดพิจารณาเพื่อควันธูปยาวนานเป็นพันปีของตระกูลตู้แล้ว ควรจะลืมความรักตัวกลัวตาย ลุกขึ้นสู้สุดใจ จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่การกระทำครั้งนี้!
ยามที่หิมะตกหนัก
ฟู่หลิงชิงเซียนกระบี่ชุดเขียว บุรุษที่ใบถงทวีปมองเป็นเจ้าสำนักหุ่นเชิดตลอดมาผู้นี้เดินขึ้นเขาไปยังศาลบรรพจารย์บนยอดเขาเพียงลำพัง กวาดตามองรอบด้าน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “หิมะขาวโพลนเต็มทั่วฟ้าดิน หยกขาวผสานสำเร็จ ทำให้จิตวิญญาณความกล้าของข้าใสกระจ่าง เหมาะแก่การออกกระบี่เป็นที่สุด”
……
ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ทางเหนือสุดของใบถงทวีป เซียนซือต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งรู้สึกจนใจอย่างยิ่ง ที่แท้พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวว่าเรือข้ามทวีปสองลำที่มีเรือของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าเป็นหนึ่งในนั้น เมื่อสิบวันก่อนได้แจ้งข่าวมายังท่าเรือแห่งนี้แล้ว บอกว่าเรือข้ามฟากจะไม่เดินทางไปกลับท่าเรือของสองทวีปอีก ส่วนเรือข้ามฟากจำนวนมากที่จอดเทียบท่าก็ไม่อาจข้ามทวีปได้ เรือข้ามฟากขนาดใหญ่ที่พอจะเดินทางไกลไปถึงนครมังกรเฒ่าได้อย่างถูไถก็ถูกสำนักศึกษาโยกย้ายไปทางทิศใต้ ก่อนหน้านี้อวิ๋นเชียนก็ได้เอาเรือยันต์ตระกูลเซียนเกินครึ่งและวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีออกมามอบให้แก่ภูเขาไท่ผิงไปแล้ว
อวิ๋นเชียนเซียนซือขมวดคิ้วมุ่น นางพาลูกศิษย์สำนักอวี่หลงกลุ่มที่ยินดีติดตามตนออกเดินทางไกลมาหาประสบการณ์มาขึ้นฝั่งที่สำนักฝูจีของใบถงทวีปอย่างลับๆ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ภูเขาไท่ผิง พกจดหมายลับฉบับหนึ่งไปเยี่ยมเยือนเทียนจวินผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่งในใบถงทวีป รวมไปถึงเจ้าสำนักซ่งเหมา ไม่รอให้อวิ๋นเชียนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดว่าจะอยู่ภูเขาไท่ผิงต่อดีหรือไม่ เทียนจวินผู้เฒ่าก็เป็นฝ่ายเปิดปากบอกให้อวิ๋นเชียนพาลูกศิษย์สำนักอวี่หลงเดินทางไปเยือนแจกันสมบัติทวีป ส่วนสิ่งของที่อวิ๋นเชียนนำมามอบให้ เทียนจวินผู้เฒ่าเป็นคนเปิดเผยทำอะไรว่องไว บอกกับอวิ๋นเชียนอย่างตรงไปตรงมาว่าภายในเวลาร้อยปีภูเขาไท่ผิงก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สามารถตอบแทนกลับคืนได้ ส่วนร้อยปีให้หลัง ต่อให้ใต้หล้าไพศาลจะยังมีภูเขาลูกนี้อยู่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถทำอะไรได้ หวังว่าสหายอวิ๋นเชียนจะเตรียมใจไว้ก่อน
อวิ๋นเชียนมองผิวมหาสมุทรสีเขียวมรกตที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้วถอนหายใจ คงได้แต่ทะยานลมเดินทางไกล ลำบากพวกลูกศิษย์ห้าขอบเขตล่างที่ได้แต่ต้องนั่งเรือยันต์เรียบง่ายโกโรโกโสแล้ว
บรรพจารย์อวิ๋นเชียนขยับสายตามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ก่อนหน้านี้ภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย ภูเขาห้อยหัวบินทะยานจากไปแล้ว ความเคลื่อนไหวนั้นรุนแรงอย่างมาก อวิ๋นเชียนคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน การจากไปของภูเขาห้อยหัว อวิ๋นเชียนจึงพอจะสัมผัสได้เสี้ยวหนึ่ง ไม่รู้ว่าตำหนักสุ่ยจิงที่อยู่บนภูเขาห้อยหัวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แล้วศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงเล่าเป็นเช่นไร?
อวิ๋นเชียนไม่กล้าจินตนาการ แล้วก็ไม่ยินดีจะคิดให้มากความ การที่มันหายไปทั้งอย่างนี้จะต้องมีคนตายเยอะมาก หากยังคงอยู่ต่อ อวิ๋นเชียนก็ยิ่งไม่รู้ว่าในอนาคตคนของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลจะมองสำนักอวี่หลงอย่างไร ไม่รู้ว่าตนและลูกศิษย์สำนักอวี่หลงที่อยู่ข้างกายเหล่านี้ ในอนาคตควรจะใช้ชีวิตอยู่ในต่างบ้านต่างเมืองอย่างไร
ทางฝั่งของท่าเรือแห่งนี้มีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระเบียดเสียดกันมากมาย ต่างก็เป็นคนของใบถงทวีปที่หนีภัยรีบร้อนเดินทางขึ้นเหนือไปยังนครมังกรเฒ่า
นอกจากผู้ฝึกตนแล้วยังมีขุนนางชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นที่มีความสัมพันธ์อันดีกับบนภูเขามาหลายยุคหลายสมัย ข่าวสารจึงว่องไวอีกหลายคน เป็นเหตุให้ท่าเรือที่กว้างใหญ่แห่งนี้ยังคงมีผู้คนแออัดอยู่ดี
นักพรตหญิงสะพายกระบี่หน้าตางามล้ำคนหนึ่งเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าต่างกับพวกเขาตรงไหน?”
ในฐานะผู้ฝึกตนของใบถงทวีป ยามที่หายนะใหญ่มาเยือน หนีก่อนค่อยว่ากัน