บทที่ 695.3 ขอบเขตยอดเขาที่อยู่ในจุดสูงที่สุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อแต่กลับไม่ได้ห้อยเครื่องประดับของสำนักศึกษาส่ายหน้าเอ่ยว่า “หวงถิง หากเจ้ายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ ข้าจะด่าเจ้าแล้วนะ เทียนจวินผู้เฒ่าออกคำสั่งด้วยตัวเอง แล้วเจ้าสำนักซ่งยังประทับตราอาคมของศาลบรรพจารย์ลงไปอีก แทบจะเท่ากับว่าขับไล่เจ้าออกจากสำนักอยู่แล้ว เพราะอะไร? ก็ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้าอย่างสบายใจหรอกหรือ ต่อให้เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เจ้าก็สามารถรักษาควันธูปสายหนึ่งไว้ให้กับภูเขาไท่ผิงได้ ความตั้งใจความหวังดีของพวกเขา ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าเอามากล่าวโทษตัวเอง หากเจ้าคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลา ต่อให้ได้ไปใต้หล้าแห่งที่ห้า คอขวดก่อกำเนิดก็ยังฝ่าไปไม่ได้อยู่ดี ไม่เพียงแต่ฝ่าไปไม่ได้ ยังจะกลายมาเป็นจิตมารของเจ้าด้วย ข้าบอกกับเจ้าไว้เลยนะ ที่นั่นมีผู้ฝึกกระบี่หลายคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่พลังพิฆาตมหาศาล ต่อให้เป็นการเข่นฆ่าในขอบเขตเดียวกันระหว่างผู้ฝึกกระบี่ โอกาสชนะของใต้หล้าไพศาลก็น้อยนิดอย่างมาก หากเจ้าธาตุไฟเข้าแทรกอยู่ที่นั่น จะต้องถูกพวกเขาไล่ฆ่าอย่างแน่นอน”

หวงถิงกล่าว “หากต้องแพ้ให้จิตมารจริงๆ แล้วถูกผู้ฝึกกระบี่ฆ่าก็สมควรตายแล้ว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกพวกผู้ฝึกตนสกปรกโสมมมาเก็บตกคุณความชอบในการกำจัดปีศาจปราบมารไป”

จงขุยกล่าวอย่างมีโทสะ “หวงถิง!”

หวงถิงเอ่ย “ก็เพราะว่าในใจข้าอัดอั้น เอ่ยคำพูดเฮงซวยระบายโทสะแค่ไม่กี่คำเท่านั้น เจ้าร้อนใจอะไร ข้าไม่เห็นชีวิตตัวเองเป็นเรื่องสำคัญได้ แต่ไม่มีทางเห็นสำนักเป็นเรื่องเล่นเด็ดขาด”

จงขุยผ่อนลมหายใจโล่งอก

หวงถิงขมวดคิ้วมุ่น “จิตใจคนแหลกสลายเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”

จงขุยกังวลใจยิ่งกว่านางเสียอีก จึงได้แต่บอกข่าวดีปลอบใจตัวเอง เขาพูดเบาๆ ว่า “ตามคำบอกของอาจารย์ข้า ทางฝั่งฝูเหยาทวีปดีกว่าพวกเรามากนัก ไม่เสียแรงที่เคยชินกับการรบราฆ่าฟันมานานแล้ว ทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็ไม่เสียดายชีวิตเหมือนใบถงทวีปเรา ภายใต้การนำของสำนักศึกษา ราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลายได้ร่วมแรงเป็นหนึ่ง ตระกูลเซียนอักษรจงส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครยอมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งทางทิศเหนือที่ออกคำสั่งโดยตรงว่าห้ามเรือข้ามทวีปทุกลำออกจากบ้าน ใครก็ตามที่กล้าหนีไปยังเกราะทองทวีปหรือทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางโดยพลการแล้วถูกจับได้ จะลงโทษประหารทันที”

จงขุยใช้มือถูข้างแก้ม “แล้วลองมามองดูทางฝั่งของพวกเรานี่สิ หากจะบอกว่าการรักตัวกลัวตายเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ ทว่าทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ก็คงไม่ค่อยเข้าท่าแล้วกระมัง ขุนนางก็ไม่มีใครคิดจะเป็นกันแล้ว นายท่านเทพเซียนก็ไม่ต้องการจวนฝึกตนแล้ว ศาลไม่สนใจแล้ว ศาลบรรพจารย์ก็ไม่ดูแลแล้ว ต้นไม้ย้ายที่ตาย คนย้ายที่รอด ถึงอย่างไรป้ายวิญญาณและภาพเหมือนของบรรพบุรุษก็สามารถพาออกเดินทางไปด้วยกันได้…”

จงขุยยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่สะดวกจะพูดออกมา

ตอนนี้ทางฝั่งแจกันสมบัติทวีปทำเรื่องที่ใหญ่อย่างถึงที่สุด ด้วยเรื่องนี้เจ้าสำนักกุยหยกเจียงซ่างเจิน เทียนจวินผู้เฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิง จีไห่เจ้าสำนักฝูจี เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูต่างก็เคยจับมือกันรีบรุดเดินทางไปเหนือมหาสมุทรที่อยู่ระหว่างสองทวีปเพื่อพบหน้าราชครูต้าหลี หวังว่าแจกันสมบัติทวีปจะเปลี่ยนความคิด เลือกที่จะร่วมมือกับสำนักใบถง จีไห่ถึงขั้นยอมยกสำนักฝูจีให้กับราชสำนักต้าหลีโดยไม่เสียดาย นับแต่นี้ไปจะยอมเป็นกองกำลังใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลี!

แต่ชุยฉานยังคงปฏิเสธข้อเสนอของสำนักใบถง จะใช้มหาอัคคีต้มมหาสมุทรให้เดือดพล่าน กระทั่งสันเขาของสองทวีปที่อยู่ใต้ทะเลผุดขึ้นมา ค่อยใช้เวทน้ำสร้างความมั่นคงให้แก่เส้นทาง เพื่อเชื่อมโยงสองทวีปอย่างใบถงและแจกันสมบัติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน!

รอแค่สงครามใหญ่ปิดฉากลงเมื่อไหร่ค่อยใช้น้ำกลบถนนตัดขาดอาณาเขตของสองทวีปใหม่อีกครั้ง

เพราะซิ่วหู่ผู้นั้นได้เลือกอุตรกุรุทวีปเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนั้นชุยฉานมีเหตุผลข้อหนึ่ง ผู้ฝึกตนใบถงทวีปหวังมีชีวิตรอดในแจกันสมบัติทวีป ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปยินดีตายอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป ถ้าอย่างนั้นแจกันสมบัติทวีปควรจะเลือกใคร ขนาดเด็กนักเรียนประถมก็ยังรู้

ตอนนั้นจงขุยเองก็อยู่ด้วย เขาได้แต่เงียบงันเท่านั้น

การพบเจอที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะตัดสินทิศทางการดำเนินไปของสามทวีป ทั้งสองฝ่ายไม่ถึงขั้นแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งไม่มีใครพูดจารุนแรงใส่ราชครูชุยฉาน เพราะพวกคนที่ไปยังมหาสมุทร แท้จริงแล้วทุกคนต่างก็มีคำตอบอยู่แล้ว ทำให้คนอื่นลำบากใจ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือชุยฉานที่ยามตัดสินใจอย่างเฉียบขาดขึ้นมาก็ถึงขั้นกล้าหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน แม้แต่เจ้าลัทธิของศาลบุ๋นก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ส่วนเรื่องที่จะเอ่ยถ้อยคำเปี่ยมด้วยคุณธรรม หรือทิ้งคำอาฆาตอะไรไว้ให้กับชุยฉานก็ยิ่งไม่มีความจำเป็น ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของใบถงทวีปซึ่งมีเทียนจวินใหญ่และจีไห่เป็นหนึ่งในนั้น ความใจกว้างแค่นี้พวกเขายังพอจะมีอยู่บ้าง

ส่วนชุยฉานเองที่นอกจากประโยคซึ่งเป็นการสรุปแบบตอกปิดฝาโลงนั้นแล้วก็ยิ่งไม่เอ่ยถ้อยคำเย้ยหยันดูแคลนใดๆ ต่อผู้ฝึกตนของใบถงทวีป

ตอนนั้นมีคนถามชุยฉานว่า ใบถงทวีปสามารถละเมิดกฎทำเรื่องการรวมสองทวีปให้เป็นหนึ่งนี้ได้ เพราะเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ แต่หากเปลี่ยนเป็นอุตรกุรุทวีปที่เป็นผู้ทำ กลับไม่แน่เสมอไปว่าศาลบุ๋นจะตอบตกลง

ชุยฉานเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปตอบตกลงกับเรื่องนี้ก็เท่ากับว่าผู้ฝึกตนของทั้งทวีปตอบตกลง ศาลบุ๋นจึงจำต้องตกลง ต่อให้ไม่ตอบตกลง ศาลบุ๋นจะทำอะไรได้?

จงขุยรู้สึกเลื่อมใสลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีตที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วลัทธิขงจื๊อผู้นี้อยู่ไม่น้อย

เมื่อข้าชุยฉานยกสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้ามาพูด ก็ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร ทุกคนล้วนต้องรับฟังแต่โดยดี

จงขุยมองไปยังผู้ฝึกตนของสำนักอวี่หลงกลุ่มที่อยู่ห่างไปไกล เอ่ยว่า “หากทุกคนของสำนักอวี่หลงล้วนทำเช่นนี้กลับจะกลายเป็นเรื่องดี”

หวงถิงส่ายหน้า “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง สำนักอวี่หลงที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกมีบรรพจารย์อวิ๋นเชียนผู้นี้อยู่ อันที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันมากแล้ว”

สุดท้ายอวิ๋นเชียนพาลูกศิษย์ของสำนักอวี่หลงกลุ่มนั้นเดินทางไกลไปถึงนครมังกรเฒ่าอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ไปแจ้งชื่อที่จวนอ๋องเจ้าเมือง บอกว่ายินดีใช้ความสามารถน้อยนิดที่มีช่วยเหลือเรื่องการขุดเจาะลำน้ำให้กับภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ตัวของซ่งมู่เองยังไม่ทันมาถึงห้องโถงใหญ่ก็รีบออกคำสั่งโยกย้ายเรือข้ามฟากของกองทัพต้าหลีลำหนึ่งให้เปลี่ยนทิศทางกะทันหันมารับพวกผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่มีบรรพจารย์อวิ๋นเชียนเป็นหนึ่งในนั้น ให้รีบเดินทางไปยังภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป นับตั้งแต่ที่อวิ๋นเชียนนั่งลงดื่มชาในจวนของอ๋องเจ้าเมือง ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ชายังไม่ทันเย็นก็สามารถออกเดินทางต่อได้แล้ว

ซ่งมู่พากลุ่มคนของสำนักอวี่หลงมาส่งที่ท่าเรือที่กองทัพใช้ในเมืองด้วยตัวเอง สุดท้ายกุมหมัดคารวะทุกคน บอกว่านับแต่วันนี้ไป ผู้ฝึกตนของสำนักอวี่หลงทุกคนสามารถเข้าออกจวนอ๋องเจ้าเมืองแห่งนี้ได้โดยไร้ข้อห้าม

นอกจากนี้แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำเกรงใจตามมารยาทใดๆ สักคำ

เรือข้ามฟากไปจอดเทียบท่าที่ต้นกำเนิดลำน้ำสายนั้น คนที่ได้รับข่าวกระบี่บินจึงออกมาต้อนรับคือหลิ่วชิงเฟิงหนึ่งในสามขุนนางผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่ เขามอบขั้นตอนการขุดเจาะลำน้ำฉบับหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนสำนักอวี่หลง จากนั้นก็สอบถามรายละเอียดเวทน้ำของสำนักอวี่หลงจากบรรพจารย์อวิ๋นเชียนพลางถามความเห็นของนางไปด้วย ทั้งสองฝ่ายปรับเปลี่ยนกลยุทธแผนการที่ทางจวนผู้ตรวจการเรียบเรียงข้ามวันข้ามคืนให้สมบูรณ์ไปอีกขั้น หากจะบอกว่าซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มของนครมังกรเฒ่ามอบความรู้สึกว่องไวรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดให้ผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นผู้ตรวจการหลิ่วท่านนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู

อวิ๋นเชียนสะทกสะท้อนใจ

ทางฝั่งของใบถงทวีป ต่อให้พยายามสุดชีวิตเพื่อหนีหายนะมาให้ได้ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึงความวุ่นวายไร้ระเบียบ แต่แจกันสมบัติทวีปแห่งนี้กลับดูเหมือนว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนดำเนินไปอย่างสมใจปรารถนา ไร้อุปสรรคติดขัด เร็วอีกทั้งยังมีระบบระเบียบ

เมืองเล็กอำเภอไหวหวงจังหวัดหลงโจวของต้าหลี ที่ร้านในตรอกยาสุ้ยมีเถ้าแก่เพิ่มมาคนหนึ่งนามว่าฉางมิ่ง

ซานจวินเว่ยป้อเพิ่งจะปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยงท่องราตรีได้ บวกกับเซียนกระบี่หมี่อวี้อีกคน พวกเขามาปรึกษาพูดคุยกันอย่างลับๆ กับสหายฉางมิ่งที่เดินทางมาไกลผู้นี้ หลังจากแน่ใจในตัวตนของนางแล้ว เว่ยป้อก็ไม่ได้คลายตราผนึกของพื้นที่มงคลรากบัวโดยพลการในทันที เพียงแค่บอกว่าเรื่องนี้ยังต้องรอให้ผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วอย่างจูเหลี่ยนมาตัดสินใจ ดังนั้นฉางมิ่งจึงไปให้ความช่วยเหลือที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลงชั่วคราว

ฉางมิ่งควักเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่เป็นเหรียญแห่งชะตาชีวิตออกมา แล้วก็ให้รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เพราะบนเหรียญมีแสงสีทองไหลวน เปล่งประกายเจิดจ้า ราวกับว่าชะตาสอดคล้องกับฟ้าดินแห่งนี้

เลือกมาฝึกตนในที่แห่งนี้เป็นการเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงดังคาด

สำหรับพื้นที่มงคลรากบัวที่เป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแห่งนั้น ฉางมิ่งก็ยิ่งคาดหวังรอคอย

บนภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินกับหมี่อวี้ ซานจวินแห่งขุนเขาเหนือมีสีหน้าจนใจเล็กน้อย อันที่จริงด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับภูเขาลั่วพั่ว ให้สหายฉางมิ่งมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องรอให้จูเหลี่ยนเป็นคนตัดสินใจด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะเว่ยป้อไม่อาจทำได้ เพราะร่มใบถงคันนั้นได้มอบให้กับชุยตงซานตามคำสั่งในจดหมายลับไปแล้ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด สุดท้ายก็น่าจะไปอยู่ในมือของผู้ฝึกตนบางคนของใบถงทวีป อาจเป็นภูเขาไท่ผิง จงขุย หรือไม่ก็เป็นผู้ถวายงาน ‘โจวเฝย’ ของภูเขาลั่วพั่วคนนั้น เอามาใช้รองรับคนล่างภูเขาที่ไปหลบภัย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าพื้นที่มงคลรากบัวที่เพิ่งเลื่อนขั้นพื้นที่มงคลระดับกลางได้ไม่กี่ปี หลังกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะกลับคืนสู่จุดเดิม กลายเป็นพื้นที่มงคลระดับล่างที่ปราณวิญญาณบางเบาอีกครั้งหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรหากวันหน้าพวกคนที่ไปลี้ภัยได้หวนกลับคืนบ้านเกิดก็จะต้องพาปราณวิญญาณไปด้วย ยิ่งคนมาก โชคชะตาและปราณวิญญาณที่พวกเขาหอบเอาไปก็ยิ่งมาก ความเสียหายของพื้นที่มงคลรากบัวก็ยิ่งเยอะ

เว่ยป้อทอดสายตามองไปไกล นึกถึงบันทึกขุนเขาสายน้ำที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาชั่วช้าแล้วพึมพำว่า “เฉินผิงอันเอ๋ยเฉินผิงอัน ต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ? มันคุ้มค่าหรือ?”

หมี่อวี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เว่ยซานจวิน ดูท่าเจ้าคงยังไม่ค่อยเข้าใจเจ้าขุนเขาของพวกเราสักเท่าไร หรือควรจะพูดว่าไม่เข้าใจใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่”

หมี่อวี้หันหน้าไปยิ้มถามแม่นางน้อยชุดดำที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างเงียบๆ “หมี่ลี่น้อย ร้านที่ขายเหล้าของทะเลสาบคนใบ้เขียนกลอนคู่ว่าอย่างไรแล้วนะ?”

โจวหมี่ลี่รีบวางเมล็ดแตงลง หยิบคานหาบอันเล็กสีทองบนโต๊ะขึ้นมา ลุกขึ้นยืน พูดเสียงดังกังวานว่า “เซียนกระบี่ถือกระบี่สามฉื่อ ทอดสายตามองไปเห็นเพียงความว่างเปล่า ศัตรูอยู่ที่ใด วีรบุรุษผู้กล้าช่างเปลี่ยวเหงา!”

โจวหมี่ลี่กระแอมให้ลำคอชุ่มชื้น แล้วตะเบ็งเสียงตะโกนต่ออีกครั้ง “เหล้าสองตำลึงในจอก ร่วมดับทุกหมื่นปีกับเจ้า ดื่มจนเมามายถึงจะหยุด เงินนับเป็นอะไรได้?”

แม่นางน้อยชูคานหาบสีทองในมือขึ้นสูง ดูสิ ข้ามีคานหาบสีทอง เงินจะนับเป็นอะไรได้

หมี่อวี้ดื่มเหล้าอึกใหญ่ หวนนึกถึงปีนั้น ที่คฤหาสน์หลบร้อนมีหิมะตก พวกผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานจึงไปปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกัน อิ่นกวานหนุ่มยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งกับลูกศิษย์อย่างกวอจู๋จิ่ว

ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวิถีทางโลกจะย่ำแย่ขนาดนั้น!

หมี่อวี้รู้สึกว่าต่อให้เป็นวันนี้ ยืนอยู่ที่นี่ อิ่นกวานหนุ่มก็จะยังคงคิดเช่นนี้ อีกทั้งยังเชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา

เพราะความรู้ความเข้าใจบางอย่าง ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิถีทางโลกเท่าใดนัก

ทางฝั่งของร้านตระกูลหยาง

ลูกจ้างหนุ่มนามว่าหยางสู่มีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างที่หาได้ยาก เพราะเขารู้จักสตรีที่มาเยือนในวันนี้ หลี่หลิ่ว บุตรสาวของหลี่เอ้อ พี่สาวแท้ๆ ของเจ้าตะพาบน้อยหลี่ไหว เมื่อก่อนหยางสู่ยังมีความคิดบางอย่างอยู่บ้าง เพียงแต่ผู้อาวุโสในตระกูลไม่ตอบตกลง บอกว่าไม่ใช่เรื่องของเงิน หยางสู่ถามอีกครั้ง พวกผู้ใหญ่ก็บอกแค่ว่าเป็นความคิดของเจ้าประมุขผู้เฒ่า อีกฝ่ายไม่ยอมพยักหน้าตอบรับ บอกให้เขาตัดใจซะ

ทว่าหลี่หลิ่วที่แต่ไหนแต่ไรมักจะไปมาเพียงลำพัง วันนี้ข้างกายกลับมีสตรีร่างอวบอ้วนสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบติดตามมาด้วย มองแล้วค่อนข้างเกะกะตา หยางสู่อดไม่ไหวจริงๆ จึงชำเลืองตามองอยู่หลายที สตรีโตเต็มวัยผู้หนึ่งอ้วนได้ถึงขนาดนี้ จะต้องกินเก่งแค่ไหนกันนะ? สตรีผู้นั้นหันมา ‘ยิ้มเขินอาย’ ให้กับเขา หยางสู่ตกใจสะดุ้งโหยง สตรีผู้นั้นเลิกผ้าม่าน ยืนเบี่ยงตัวหันข้าง รอให้หลี่หลิ่วก้าวเข้าไปในเรือนด้านหลังแล้ว สตรีถึงได้ปล่อยผ้าม่านลง แล้วหันไปยิ้มให้หยางสู่อีกครั้ง หยางสู่มองสตรีที่เหมือนภูเขาลูกย่อม เขาที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินแอบยกแขนตัวเองขึ้นมาดู รู้สึกว่าตนเป็นบุรุษตัวโตๆ แต่กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย

หลี่หลิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่แค่นั่งลงก็ส่งเสียงดังแอด เป็นฝีมือของหลี่ไหวผู้เป็นน้องชาย

สตรีที่พกหลุมน้ำลู่ทั้งแห่งติดกายมาด้วยยืนอยู่ด้านหลังหลี่หลิ่ว ไม่กล้าแม้แต่จะหอบหายใจแรง

เพราะรู้ว่าผู้เฒ่าที่นั่งพ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้นมีสถานะอะไร

ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล เขาคือผู้ดูแลหนึ่งในแท่นสู่เซียน

สตรีสวมชุดเขียวคนหนึ่งขี่กระบี่พลิ้วกายลงมาในเรือน นั่งลงบนม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่กลางระเบียง

หยางเหล่าโถวเอากระบอกสูบเก่าแก่เคาะลงบนขั้นบันได เปิดปากเอ่ยว่า “เรื่องราวก็มีแค่นี้ หากทำสำเร็จ ขอแค่รักษาแจกันสมบัติทวีปไว้ได้จึงจะถือว่าเป็นคุณความชอบครั้งหนึ่ง หากรักษาไว้ไม่ได้กลับจะกลายเป็นหายนะ เมื่อก่อนข้าคอยพันธนาการให้พวกเจ้าสองคนวางตัวเป็นคนดีๆ ตลอดมา เมื่อเรื่องครั้งนี้ผ่านไปแล้ว พวกเจ้าก็สามารถทำอะไรตามใจได้แล้ว”