ตอนที่ 3022

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 3,022 : กฎแห่งเวลา

 

 

“พี่หยวน ไอ้หนูนั่นเหมือนมันจะยังอายุไม่ถึงร้อยปี…”

 

ชายชุดเขียวแผ่สำนึกเทวะออกกไปได้ไม่ทันไร ก็พบว่าชายหนุ่มชุดม่วงไกลๆนั้น ยังมีอายุน้อยกว่าร้อยปีเสียอีก

 

และชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่า บัดนี้ก็กำลังสนทนากับ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ด้วยท่าทางทำราวกับรำคาญนางเต็มที!

 

ถึงแม้พวกมันจะรู้ตัวดี ว่ากับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้นพวกมันคงไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวนาง แต่เห็นชายหนุ่มชุดม่วงทำกิริยาเช่นนั้นกับนาง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโมโห!

 

“อายุมันไม่ถึงร้อยงั้นเหรอ?”

 

ได้ยินคำพูดของชาหนุ่มชุดเขียว สำนึกเทวะของชายหนุ่มชุดดำก็เริ่มแผ่ขยายออกไปทันที ครู่ต่อมามันก็ยืนยันได้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงขัดตาผู้นั้น อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!

 

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อย สามารถรอดมาถึงที่นี่ได้…นับว่าอีกฝ่ายมีโชคไม่ใช่น้อย!

 

มันไม่คิดว่าที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามเข้าหาชายหนุ่มชุดม่วงนั่นด้วยท่าทางระริกระรี้ จะเป็นเพราะพลังฝีมือของอีกฝ่ายเลย แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายสมควรรู้จักกันกับโอวหยามากกว่า!

 

“จะเป็นเพราะมันรู้จักกับโอวหยาหรืออะไรก็ช่าง…แต่ไอ้หนูชุดม่วงนั่นกล้าชักสีหน้าแบบนั้นใส่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวของข้า! อภัยให้มันไม่ได้!!”

 

ชายหนุ่มชุดดำถลึงตามองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อ ทำราวกับอีกฝ่ายเข่นฆ่าบิดาถล่มมารดาของมันมา!

 

แน่นอนว่าลึกลงไปในแววตาของมัน ยังฉายถึงความหึงหวงปานเพลิงไฟ!

 

“หืม?”

 

แทบจะทันทีที่ทั้ง 2 แผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ทันที จากนั้นเขาก็พบว่ามีชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งกำลังมองจ้องมาทางเขาด้วยสายตาดุร้ายปานยักษ์มาร!

 

‘ไอ้เจ้านั่น…มันเป็นใครอีกกัน?’

 

ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลอบมองไปยังมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวหลายครั้ง เขาก็ตระหนักได้ถึงต้นตอของปัญหา ‘ให้มันได้ยังงี้สิ..สตรีนับเป็นบ่อเกิดเภทภัยโดยแท้’

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดในใจอย่างเอือมระอา ด้านมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ยังขุดหัวข้อมากมายมาชวนต้วนหลิงเทียนคุยไม่หยุด

 

วู้มมม!!

 

ครืนนนน!!

 

 

ทันใดนั้นเองเสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นหนึ่งพลันดึงขึ้นจากบนฟ้าเหนือหุบเขา ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดในหุบเขาไปทันที

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองชมเรื่องราวเหนือหุบเขาเช่นกัน

 

เขาจึงพบว่าเดิมฟ้าที่มีสีครามปานฟ้าในวันอากาศแจ่มใส บัดนี้ได้กลับกลายเป็นอึมครึมดั่งพยับหมอก อีกทั้งยังแลเห็นวันพลังลักษณะดั่งวงแหวนสีเทาสองวงซ้อนกัน กำลังหมุนคว้างอย่างแปลกประหลาด

 

มวลพลังบริเวณวงแหวนรอบนอกนั้นหมุนวนตามเข็มนาฬิกา

 

หากแต่วงแหวนพลังด้านในกลับหมุนวนทวนเข็มนาฬิกา

 

และทันใดนั้นเอง เสียงที่ทุกคนสงสัยว่าจะเป็นเสียงของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ณ สถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะแห่งนี้ พววกเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจลี้ลับแห่งกาลเวลาที่ข้าเหลือทิ้งไว้ในค่ากลได้ ข้าจักเปิดโอกาสให้พวกเจ้าทุกคนได้มีโอกาสสัมผัสถึงกฏแห่งเวลา มีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา…”

 

“หุบเขาแห่งนี้ ข้าตั้งชื่อมันว่าหุบเขากาลเวลา…ขอเพียงพวกเจ้าขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาที่ลอยล่องอยู่ ก็จักสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจลี้ลับของกฏแห่งเวลาในนค่ายกลที่ข้าเหลือทิ้งเอาไว้ได้ทันที”

 

“และยิ่งแท่นหินอยู่สูงเท่าไหร่ ก็จะเชื่อมโยงกับค่ายกลของข้ามากขึ้นเท่านั้น ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกฏแห่งเวลามากขึ้นตามไปด้วย…แต่แน่นอนว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเชาว์ปัญญาและความสามารถส่วนตัวของพวกเจ้า”

 

“หากพวกเจ้ามีความสามารถมากพอ ต่อให้ขึ้นไปนั่งบนแท่นหินที่มิได้สูงอะไร เจ้าก็อาจเข้าถึงกฏแห่งเวลาผ่านค่ายกลที่ข้าเหลือทิ้งไว้ได้…แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า หากเป็นผู้ที่มีความสามารถทัดเทียมกัน ยิ่งอยู่บนแท่นหินที่สูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเจ้าจะเข้าถึงกฏแห่งเวลาได้มันก็จักยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”

 

“สำหรับเวลาที่พวกเจ้าจักได้อยู่ที่นี่เพื่อพยายามสัมผัสและเข้าถึงพลังของกฏแห่งเวลา…ก็คือเวลาก่อนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้จะเปิดออกอีกครั้ง”

 

“เมื่อทางเข้าออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้เปิดออกอีกครั้ง พวกเจ้าจะถูกส่งตัวออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ทันที”

 

“และพวกเจ้าที่พยายามจนสามารถมาถึงววังจอมราชันอมตะได้ เป็นธรรมดาว่าไม่ต้องไปตามหาทางออกเหมือนผู้อื่น…”

 

เสียงดังถึงจุดนี้ก็เงียบหายไป

 

“กฏแห่งเวลา..เข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา!?”

 

“หากพวกเราไปนั่งบนแท่นศิลาที่ลอยล่องอยู่เหล่านั้น…พวกเราจะมีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลาอย่างความหมายแห่งเวลาผ่านค่ายกลที่ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้รึ?”

 

“ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่า หลังจากที่มีคนกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ บางคนอยู่ๆก็เริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลาบางส่วน แม้จะไม่มีใครเข้าใจจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนตกตะลึงแล้ว ถึงอย่างไรนั่นก็คือกฏแห่งเวลา 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ขึ้นชื่อว่าลี้ลับและพิสดารเป็นที่สุด!”

 

“ใช่ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มา แต่คนเหล่านั้นก็จำไม่ได้เลยว่าได้สัมผัสกับพลังของกฏแห่งเวลาภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณหรือไม่…ดูเหมือนทุกคนจะเคยสัมผัสมาก่อนจริงๆ และได้สัมผัสหลังผ่านบททดสอบของวังจอมราชันอมตะจนมาถึงที่นี่เหมือนพวกเรา! ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงไม่เหลือความทรงจำใดๆเกี่ยวกับวังจอมราชันอมตะเลย!!”

 

 

ลึกลงไปใต้หุบเขา ตอนนี้มีคนอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 กลุ่ม อย่างไรก็ตามหลังได้ยินเสียงที่สงสัยว่าจะเป็นของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้เมื่อครู่ ไม่มีข้อยยกเว้น ทุกคนล้วนตื่นตะลึงกันหมด!

 

“กฏแห่งเวลา?”

 

ลูกตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังลุกวาวขึ้นมาทันใด จากนั้นก็มองไปยังแท่นศิลาที่ลอยเด่นสูงสุด

 

เรียกว่าแท่นศิลาที่ลอยสูงสุดนั่น เป็นสถานที่ๆดีที่สุดในหุบเขาแห่งนี้

 

ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองไปยังแท่นศิลาสูงสุดนั่น ก็มีหลายคนที่มองจ้องไปเช่นกัน นอกจากคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการที่คิดจะต่อสู้ช่วงชิงแล้ว คนที่เหลือทำได้แค่รอดูท่าที

 

“กฏแห่งเวลา?”

 

ตอนนี้เองมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็หยุดการหาเรื่องชวนคุยต้วนหลิงเทียน และเงยหน้าขึ้นไปมองแท่นศิลาที่อยู่สูงสุดด้วยสายตาวาดหวัง!

 

ทว่าชมดูอยู่ไม่ทันไร ก็คล้ายนางจะนึกอะไรได้ออก จึงก้มลงมามองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้ๆทันที

 

“มีคำกล่าวว่า สุภาพสตรีก่อน…ต้วนหลิงเทียน ท่านเป็นบุรุษอกสามศอก คงไม่คิดช่วงชิงแท่นศิลาสูงสุดนั้นกับข้าหรอกกระมัง?”

 

หากที่นี่ไร้ตัวตนอย่างต้วนหลิงเทียนดำรงอยู่สักคน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคงมุ่งมั่นจะสยบทุกคนและช่วงชิงแท่นศิลาสูงสุดนั่นไปแล้ว

 

อย่างไรกก็ตาม ด้วยมีต้วนหลิงเทียนอยู่ ทำให้นางบังเกิดแรงกดดันอย่างหนัก!

 

เพราะนางรู้ดีแก่ใจ ว่าด้วยพลังของต้วนหลิงเทียน หากไม่เป็นฝ่ายเต็มใจสละแท่นศิลาสูงสุดนั่นให้นางด้วยตัวเอง ตัวนางก็ไม่มีวันช่วงชิงกับอีกฝ่ายได้เลย!

 

ถึงแม้จะรู้ดีว่าโอกาสมีริบหรี่ ทั้งเรื่องที่นางขอยังหน้าด้าน แต่นางก็ยังคงกล่าวออกไป เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าถึงกฏแห่งเวลา

 

“เจ้าแก่แล้ว ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ต้องเสียสละให้เด็กหรอกรึ?”

 

ได้ยินคำพูดหน้าด้านของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับทันที และคำพูดนี้ยังทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวของขึ้นไม่น้อย แก่อะไร ผู้ใหญ่เสียสละให้เด็กอะไร!?

 

บุรุษผู้นี้กลับกล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้อย่างไร!?

 

หรือไม่ทราบว่าการล้อเลียนเรื่องอายุของสตรีเป็นข้อห้ามในสามโลก?

 

“พี่หยวน ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานที่สุดท้ายในวังจอมราชันอมตะ จะมีโอกาสให้พวกเราเข้าถึงกฏแห่งเวลา!!”

 

ชายหนุ่มุชดเขียวที่อยู่ข้างๆชาหนุ่มชุดดำ กล่าวออกมาอย่างทอดถอน

 

“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ…”

 

ชาหนุ่มชุดดำก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

ตอนนี้สายตาของมันมก็จับจ้องไปยังแท่นศิลาสูงุสดเหนือหุบเขาไม่วางตาเช่นกัน เพราะนั่นคือสถานที่ๆดีที่สุดสำหรับการสัมผัสถึงพลังของกฏแห่งเวลา

 

อย่างไรก็ตาม แม้มันจะรู้ตัวดีว่าตนเองพลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว และเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้ว…

 

ทว่าพลังฝีมือของมันนั้น ยังอ่อนด้อยกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอยู่บ้าง

 

‘โธ่เว้ย!’

 

ขณะที่ลอบสบถในใจ สายตาชายชุดดำก็ละออกจากแท่นศิลาสูงสุดที่ลอยเด่นเป็นสง่า และหันไปมองแท่นศิลาอีก 2 แท่นแทน

 

แท่นศิลาอีก 2 แท่นนั้นลอยอยู่ในเพดานบินเดียวกัน และอยู่ตำกว่าแท่นศิลาที่ลอยสูงสุดราวๆ 100 หมี่

 

“แท่นศิลาสูงสุดนั่นต้องเป็นของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแน่…ดูเหมือนข้าได้แต่ถอยก้าวหนึ่ง แล้วเลือกแท่นศิลารองลงมาแทน”

 

“อย่างไรก็ตาม มันมีแค่ 2 แท่นเท่านั้น”

 

พึมพำถึงจุดนี้ สายตาของชายหนุ่มชุดดำก็หันไปมองชายหนุ่มชุดเขียวข้างๆ พลางกล่าวเสียงเบา “หวังเซียน ไหนๆเจ้าก็อุตส่าห์ได้มาพบข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าได้ 1 ใน 2 แท่นศิลารองลงมานั่นดีหรือไม่?”

 

ชายหนุ่มชุดเขียวพอได้ฟัง ก็ละสายตาออกมาจากแท่นศิลาที่อยู่สูงสุดทันที แม้ในแววตามันจะฉายถึงความปรารถนาไม่น้อย แต่มันก็รู้ดีว่านั่นไม่ใชอะไรที่มันจะครอบครองได้

 

จากนั้นมันก็หันไปมองแท่นนศิลา 2 แท่นรองลงมา

 

กล่าวไปด้วยพลังฝีมือของมัน กระทั่งแท่นศิลาที่รองลงมาทั้ง 2 แท่นนี้ก็ค่อนข้างเกินตัวมันอยู่บ้าง

 

เพราะสุดท้ายแล้ว แม้มันจะเข้าถึงกฏแห่งลม และเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งลม ทว่าความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอีกประการมันยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แค่เพียงพอหยั่งถึงและใช้พลังได้บางส่วนเท่านั้น ทำให้ความแข็งแกร่งของมันเพิ่มขึ้นไม่เท่าไหร่…

 

ตอนนี้พอมันมาได้ยินคำพูดของชายหนุ่มชุดดำ ลมหายใจของมันจึงถี่รัวขึ้นทันที ลูกตายังทอประกายเจิดจ้ามากล้นไปด้วยความยินดี!

 

“ขอบคุณพี่หยวน! ขอบคุณพี่หยวนมาก!!”

 

จากนั้นมันก็ป้องมือประสานกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มชุดดำยกใหญ่ ทำราวกับ 1 ใน  2 แท่นศิลารองลงมานั่น เป็นของมันแล้ว

 

“ต้วนหลิงเทียน…”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยประกาตาลี้ลับ เสียงผ่านพลังที่ส่งไปก็ฟังดูอ่อนลงแปลกๆ

 

“อะไร อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการแท่นศิลาสูงสุดนั่น…โทษทีแต่ข้าก็ต้องการมันเหมือนกัน”

 

ไม่ทันที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะได้เอ่ยปากพูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน สองตายังมองจ้องอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน “แต่เป็นธรรมดาว่าหากเจ้าอยากได้มันก็ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทาง..แค่เรามาสู้กันสักตั้ง!”

 

สิ้นคำพูดดักทางของต้วนหลิงเทียน มุมปากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงกับกระตุกไปทันที

 

ถึงแม้มันจะไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนจะเหนือกว่ามัน เพราะถึงต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์เทพ หรือมันไม่มี?

 

และถึงในมือต้วนหลิงเทียนจะเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูง ส่วนในตัวมันที่ดีที่สุดก็คืออุปกรณ์เทพระดับกลาง แต่เรื่องต้องประมือกับต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย

 

เพราะสุดท้ายแล้ว ด้วยระดับพลังของพวกมันตอนนี้ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์เทพระดับสูงหรือระดับกลาง จุดแข็งของพวกมันก็พอๆกัน

 

ทว่ามันไม่กลัวต้วนหลิงเทียนก็จริง แต่มันไม่อาจไม่คำนึงถึงหวงเอ้อที่กำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนได้!

 

หวงเอ้อนั้น เดิมทีเป็นจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพระดับสูงคู่กายพี่สาวแท้ๆของมัน ภายหลังอีกฝ่ายได้หลบหนีออกจากอุปกรณ์เทพระดับสูงชิ้นนั้น ด้วยไม่คิดยอมสยบรับใช้ศัตรูฆ่าพี่สาว เร่งรุดกลับมาแจ้งเหตุร้ายแก่มัน จนทำให้มันรอดพ้นออกจากคราวเคราะห์ที่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ และยังพามันมาถึงหลิงหลัวเทียนได้สำเร็จ…

 

กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่เพราะหวงเอ้อ ป่านนี้มันคงถูกศัตรูฆ่าตายไปอย่างโง่งม

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หวงเอ้อมีบุญคุณช่วยชีวิตมันด้วยซ้ำ ตัวมันเองก็ให้ความเคารพหวงเอ้ออย่างสูง ตอนเด็กมันยังเห็นหวงเอ้อเป็นดั่งพี่สาวแท้ๆคนหนึ่ง

 

ตอนนี้พี่สาวหวงเอ้อของมันกำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนแล้ว กล่าวได้ว่าต่อไปนางจะเป็นจะตายก็ขึ้นอยู่กับ 1 ห้วงคิดของต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นมันจึงไม่กล้าทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่พอใจ

 

ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจได้ยินความคิดดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ ไม่งั้นเขาคงหมดคำจะพูดกับมันจริงๆ

 

นี่อีกฝ่ายเห็นเขา ต้วนหลิงเทียน เป็นคนแบบนั้นหรือ?

 

“ไงเล่า ลองกันสักตั้งไหม?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาลุกวาว เขาเองก็อยากลองประมือกับอีกฝ่ายไม่น้อย “จะใช้อุปกรณ์เทพหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้าเลย…ถ้าเจ้าไม่ใช้ข้าก็จะไม่ใช้ และเต็มที่พวกเราจะใช้กันแต่อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้มาเป็นไง?”

 

“ฮึ่ย!”

 

อย่างไรก็ตามคำตอบที่ต้วนหลิงเทียนได้รับ ก็คือหนึ่งพ่นลมสบถเสียงเย็นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!

 

และหลังสบถ ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไหววูบ คนกลับกลายคล้ายสายลมหอบหนึ่ง พัดแหวกอากาศฉับไวไปทางแท่นศิลา 2 แท่นรองลงมา…