WSSTH ตอนที่ 3,021 : มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
ตอนนี้หูหลินอี้ก็ไม่ได้รู้เลย
ว่าไฉนที่คะแนนต้วนหลิงเทียนยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 นั้น เพราะอำนาจของกฏแห่งเวลาในแดนสวรรค์ใต้โบราณกำลังช่วยเหลือเขาอยู่ ด้วยการทยอยเพิ่มคะแนนให้เขาอย่างช้าๆต่างหาก!
กล่าวได้ว่าคะแนนที่เขาได้รับตงฟางจิ่นหลุน ยังไม่ถูกเพิ่มเข้าไปทั้งหมด
หากมันถูกเพิ่มทั้งหมดแล้ว เขาย่อมพุ่งขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ทันที!
“โชคของประเทศฝูชิวกับประเทศตงหมิงไฉนยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้นะ อยู่ดีๆกลับมีผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นอัจฉริยะมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในนามของประเทศพวกมัน…”
น่านฟ้าด้านหนึ่ง เหล่าฮ่องเต้ของประเทศระดับ 8 ของดินแดนพันประเทศ ตอนนี้ก็ได้รับทราบกันถ้วนหน้าแล้ว ว่าอันดับที่ 2 กับอันดับที่ 3 นั้นเป็นใครมาจากไหน ยังอดไม่ได้ที่จะอิจฉาริษยาประเทศฝูชิวกับประเทศตงหมิงจับใจ พากันมองจ้องฮ่องเต้ฝูชิวกับฮ่องเต้ตงหมิงด้วยสายตาเกลียดชัง
น่านฟ้าบริเวณที่เหล่าคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลลอยร่างอยู่
“อันดับที่ 2 ต้วนหลิงเทียน กับอันดับที่ 3 หลิเจวี๋ยอวิ๋นนั่น ดูเหมือนจะมีอายุไม่ถึงร้อยปี…”
จ่างซุนฉงฉี ผู้ที่นำพาคนของตระกูลจ่างซุนมองไปยังหัวตารางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นอกจากนั้น ยังได้ยินคนของดินแดนพันประเทศกล่าวกันหนาหูว่าทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่พึ่งจะปรากฏตัว…”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น ถึงแม้มันจะเลือกตีความกฏแห่งความตาย…แต่ในเมื่อมันมาถึงจุดนี้ได้ ไม่พ้นต้องเข้าใจความลึกซึ้งอีกประการของกฏแห่งความตายแล้วแน่นอน”
กงหยางอวี่ผู้นำคนของตระกูลกงหยางกล่าวคาดเดา
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เหมือนต้วนหลิงเทียนที่อยยู่อันดับ 2 มันเองก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน…แต่ข้าเชื่อว่ามันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการดั่งท่านว่าจริงๆ”
เหิงฉาน ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถกล่าว
“ทั้ง 2 ล้วนเป็นอัจฉริยะปีศาจ…กระทั่งยังนับว่าโดดเด่ดเหนือมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอัจฉริยะหญิงในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรงที่รั้งอู่ในอันดับ 1 ตอนนี้เสียอีก ล้วนแล้วแต่น่าสนใจและน่าดึงตัวมาเข้าร่วมทั้งสิ้น”
ผู้นำนิกาอมตะเป้าผู้ จางกวงเจิ้งเอ่ยออก จากนั้นก็หันไปมองเหิงฉาน ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกาอมตะอวิ๋นไถพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม อันดับ 1 อย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว…ดูเหมือนจะถูกกำหนดให้ไร้วาสนากับนิกายอมตะอวิ๋นไถท่านแล้วล่ะ…”
“หึ!”
เหิงฉานพ่นลมสบถออกมาเมื่อถูกจางกวงเจิ้งกล่าวแซว แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นิกายอมตะอวิ๋นไถของมันรับแต่ศิษย์บุรุษ ไม่รับศิษย์สตรี ให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวร้ายกาจให้ตาย มันก็ไม่อาจรับนางได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันหันไปมองชื่อต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตามันก็ฉายความมุ่งมั่นออกมา
เป้าหมายของมันคือ 2 คนนี้!
ถึงตอนนี้อันดับของทั้งคู่จะสู่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้ กระทั่งพลังฝีมืออาจจะยังอ่อนด้อยกว่านาง แต่อย่างไรก็ตามมันเชื่อว่าทั้ง 2 นั้นมีคุณค่ามหาศาลกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
เนื่องจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคนนั้น อายุเจียนจะ 200 อยู่แล้ว
แต่ทั้งคู่ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี!
ในบรรดาผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูล มีเพียงปี้ไห่หมิงเฟิงคนเดียวที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อย่างไรก็ตามแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตามันก็จับจ้องไปยัง 3 อันดับแรกในตารางไม่วางตาเช่นกัน
ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆนั้น บัดนี้ได้ถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมาถึงสถานที่แห่งใหม่ มองไปแล้วพบว่าเป็นหุบเขาอันมืดมิดแห่งหนึ่ง
และหลังจากที่พลังลี้ลับดังกล่าวเคลื่อนย้ายมาถึงหุบเขาแห่งนี้แล้ว มันก็อันตรธานสาบสูญไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย
“หุบเขานี่มัน…”
ต้วนหลิงเทียนมองไปรอบๆเขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง กล่าวไปยังเสมือนเขาอยู่ใต้หุบเหวอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งก็ว่าได้ เพราะผา 2 ฟากนั้นมันห่างไกลและสูงชันเหลือเกิน มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด หากแต่สูงขึ้นไปเหนือใจกลางหุบเขา ปรากฏแท่นหินมากมายลอยล่องอยู่กลางหาวอย่างเงียบงัน
แท่นหินที่ว่ายังมีขนาดเล็กนัก มองไปเหมือนเบาะรองนั่งทรงกลม มีที่พอให้ผู้คนนั่งได้แค่คนเดียว ลอยตัวเรียงรายในระดับความสูงแตกต่างกัน และที่ลอยอยู่สูงสุดก็มีแท่นเดียว
ส่วนต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ อยู่ก็ถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมายังก้นหุบเขา จึงไม่ทราบว่าถูกพามาจากทิศทางใดกันแน่
และไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็พบเจอแต่ความมืดอันไร้สิ้นสุด
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังพบว่า นอกจากจุดที่เขากับคนอื่นส่งตัวมา ห่างออกไปไกลๆในความมืด 2 จุดก็เสมือนมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง
“มีคนมา”
“พวกที่มาถึงก่อนเรางั้นหรือ?”
…
เสียงอุทานจากคนในกลุ่มดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน จากนั้นเขาก็พบว่าในความมืดมิดใต้หุบเขาอันไร้แสงสว่างส่องถึงนั้น มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง และสมควรเป็นคน 2 กลุ่มที่กำลังพุ่งเข้ามาจากทิศทางที่แตกต่างกัน
สำหรับคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยากว่าสมควรถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมาที่นี่เช่นกัน และถูกส่งตัวมาที่นี่ก่อนพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็เป็นคนที่เหลือรอดอยู่ในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้
“น้องหญิงโอวหยา!”
ปรากฏเสียงใสไพเราะหนึ่ง ดังขึ้นจากบรรดากลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเงาร่างบางในชุดเขียวอ่อนเหินเข้ามาทางเขา และพริบตาก็ไปหยุดลงเบื้องหน้าโอวหยาที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลสักเท่าไหร่
“พี่หญิงมู่หรง!”
เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร รอยยิ้มสดใสก็คลี่กางขึ้นบนใบหน้าโอวหยาทันที
คนที่พึ่งมาถึงนั้น เป็นอิสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามทั้งแลดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าโอวหยาเสียอีก จากบรรยากาศที่แผ่ออกมารอบกายนางอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกว่านางเป็นสตรีที่กล้าได้กล้าเสียนางหนึ่ง
“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว!”
เชวียจิงอวี่ที่ยืนห่างจากต้วนหลิงเทียนไม่ไกล พอเห็นว่าผู้ที่พึ่งมาถึงเป็นใครก็อุทานออกมาเสียงเข้ม ลูกตายังหดหยีลงแลดูหวั่นเกรงผู้อื่นเขาไม่น้อย
“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”
ได้ยยินคำอุทานของเชวียจิงอวี่ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปสังเกตสตรีผู้มาใหม่ทันที “นางน่ะเหรอ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้น เขาได้ยินมาว่านางคืออัจฉริยะอันดับ 1 ในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรงที่เป็นตระกูลระดับ 7 อายุเกือบ 200 ปี หากแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำ 2 ประการแล้ว
อีกทั้งร่ำลือกันว่านางได้หยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 ของกฏแห่งน้ำ กระทั่งเริ่มใช้พลังของความลึกซึ้งดังกล่าวได้บางส่วน!
เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนที่เริ่มหยั่งถึงความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วง แม้จะยังไม่บรรลุความสำเร็จขั้นตอนเบื้องต้น แต่เขาก็สามารถใช้พลังอำนาจของมันได้บางส่วน
แม้ปกติหากใช้ออกอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ในห้วงเวลาคับขันมันอาจชี้เป็นชี้ตายสถานการณ์ และเปลี่ยนผลการต่อสู้ได้ทันที
ดุจเดียวกับตอนที่ต้วนหลิงเทียนใช้มันเพื่อฆ่าสุมาฉุนก่อนหน้านี้ ถึงเขาจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชัน แต่ถ้าไม่ได้พื้นที่โน้มถ่วงคอยฉุดรั้งสุมาฉุนเอาไว้ให้ไม่อาจใช้ความเร็วได้เต็มที่ ก็คงยากที่เขาจะฆ่ามันได้
เมื่อเห็นว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเหินร่างเข้ามาทักทายโอวหยา และด้านโอวหยาก็คลี่ยิ้มสดใสตอนรับผู้มา ทุกคนก็บอกได้ไม่ยากว่าทั้ง 2 รู้จักมักคุ้นกัน
และอันที่จริงทั้งคู่ไม่ใช่แค่รู้จักมักคุ้น แต่นับเป็นสหายที่สนิทสนมกันอีกด้วย
สตรีนั้นในเรื่องบ่มเพาะพลังหรือการต่อสู้ ด้วยสรีระตามธรรมชาติไม่เอื้อ ก็ทำให้ยอดฝีมือสตรีมีจำนวนน้อยกว่าบุรุษ ยังผลให้เหล่าสตรีที่โดดเด่นไม่กี่คนในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว เสมือนได้พบคนที่มีหัวอกเดียวกัน และเข้าใจความยากลำบากของกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด
“น้องหญิงโอวหยา เจ้าสมควรเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยกระมัง?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยิ้มถาม
อย่างไรก็ตาม ได้ยินคำถามนี้ของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาเจื่อนๆ จากนั้นก็หันไปมองทางต้วนหลิงเทียน
หากไม่มีต้วนหลิงเทียน การเก็บเกี่ยวของนางก็คงจะดีอยู่หรอก
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้วนหลิงเทียนใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนอย่างอุกอาจในสถานที่ก่อนหน้าของวังจอมราชันอมตะ ก็ทำให้นางบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย ไม่กล้าช่วงชิงกล่องที่ลอยอยู่บนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณกับอีกฝ่าย…
“เอ๊ะ? มีอะไรรึ?”
เมื่อเห็นว่าโอวหยาคลี่ยิ้มขื่นขม พลางหันมองไปยังชายหนุ่มุชดม่วงคนหนึ่ง ก็ทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพอจะคาดเดาเรื่องราวอะไรได้บางอย่าง
“มิมีใดพี่หญิง”
โอวหยาส่ายหัวไปมา จากนั้นก็หันกลับมามองถามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว “แล้วพี่หญิงมูหรงเล่า ท่านสมควรได้ของดีๆมาไม่น้อยเลยสิ?”
“พอได้”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยักหน้ารับเบาๆ อย่างไรก็ตามดูจากรอยยิ้มสดใสของนาง โอวหยาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่าต้องเก็บเกี่ยวได้ของดีมาไม่น้อย
“น้องหญิงโอวหยา ทางเจ้าคงเกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่ไหม…ที่แท้มีเรื่องอะไรกันแน่? ชายผู้นั้น ใช่มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้สนิทสนมกับโอวหยามาแค่วันสองวัน ไหนเลยจะดูไม่ออกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
ด้วยเจอการจี้ถามของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนคราหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวฟัง
และหลังจากที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวได้ยินเรื่องราวจากเสียงผ่านพลังของโอวหยา นางก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง สีหน้าแววตายังเริ่มฉายให้เห็นถึงความหวาดกลัว
ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อยปี เข้าใจความลึกซึ้งของงกฏแห่งดิน 2 ประการ…
ความสามารถอันร้ายกาจเช่นนี้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความละอายและพ่ายแพ้ในใจ
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่เท่าไหร่
แต่อีกฝ่ายกลับมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิในครอบครอง! ที่สำคัญยังใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิดังกล่าวเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนได้ง่ายดาย เยี่ยงตัดหญ้าฆ่าไก่!!
นางย่อมรู้ดีว่าตงฟางจิ่นหลุนเป็นใคร
กระทั่งตงฟางจิ่นหลุนนั้นยังเป็นบุรุษที่ตามจีบนางผู้หนึ่ง จึงทำให้นางเข้าใจความสามารถของตงฟางจิ่นหลุนไม่น้อย
ถึงแม้ว่าหากให้นางประมือกับตงฟางจิ่นหลุน นางเองก็สามารถเอาชนะกระทั่งฆ่าอีกฝ่ายได้ ทว่าอย่างไรก็ต้องประมือกันไปไม่ต่ำกว่าร้อยกระบวนท่า จะให้เข่นฆ่าในกระบวนเดียว นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
หลังสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็กลับมาครองสติอีกครั้ง
สำหรับเรื่องที่โอวหยาเล่ามา นางเชื่อโดยที่ไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย
“น้องหญิงโอวหยา เจ้าพาข้าไปแนะนำตัวกับมันหน่อยสิ”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมองกล่าวกับโอวหยา ก่อนจะสลับไปมองต้วนหลิงเทียน ที่อยู่ไม่ห่างจากนางกับโอวหยามากเท่าไหร่
“พี่หญิงมู่หรง ข้าก็ไม่ได้รู้จักอะไรมัน แถมข้ายังไม่เคยพูดกับมันสักคำเลย…”
โอวหยาคลี่ยิ้มขมขื่น
“ฮัยยา สาวน้อยนางนี้ช่างหน้าบางยิ่ง…ฟังจากเรื่องราวและเหตุผลที่มันฆ่าตงฟางจิ่นหลุนแล้ว ทั้งไม่ได้ทำอะไรตอนเจ้าลงไปเอากล่องนั่นเลย ก็บอกให้รู้ว่ามันมิใช่คนจิตใจคับแคบ ข้าว่าต่อให้ตอนนั้นเจ้าลงไปคว้าไว้สักสองสามกล่อง มันก็ไม่รังแกเจ้าหรอก…”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวส่ายหัวไปมาพลางกล่าว
ด้านต้วนหลิงเทียนเดิมทีก็กำลังสังเกตที่ทางโดยรอบ และแหงนมองแท่นหินที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความสงสัย ว่ามีเอาไว้ทำอะไร แล้วสถานที่สุดท้ายแห่งนี้จะมีบททดสอบอะไรกันแน่
“หืม?”
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงสายตาบางคู่ที่มองจ้องมา จึงหันไปมองตามสายตาดังกล่าวทันที จึงพบว่ามีสตรีสองคนกำลังเดินมาหาเขา
และสตรีทั้ง 2 ที่เดินมาหาต้วนหลิงเทียนก็คือมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยานั่นเอง
“ยินดีที่ได้พบ ข้าเรียกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว มาจากตระกูลมู่หรง ตระกูลระดับ 7”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่พาโอวหยาเดินมาหาต้วนหลิงเทียน พอมาถึงก็กล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใสเป็นกันเอง ราวกับไม่รู้ว่าสตรีควรวางตัวอย่างไร
“อืม”
มีคำกล่าวว่าไม่อาจตบหน้าคนยิ้ม เมื่อมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเดินมาทักเขาด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับคำทัก หากแต่สีหน้ายังคงสงบและไม่คิดจะกล่าวคำอะไรกับนาง
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว แต่ก็ไม่ยากที่มองออกว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา และท่าทางเหมือนกำลังคิดจะตี้ซี้เขา จากรอยยิ้มจอมปลอมกับท่าทางกระตือรือร้นของนาง
“ข้าแนะนำตัวเองแล้ว…ท่านเล่า ไม่คิดแนะนำตัวเองหน่อยหรือ?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเพิกเฉยกับความเฉยเมยของต้วนหลิงเทียน ยังคงคลี่ยิ้มสดใสชวนคุยต่อไป
“ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบเสียงเบา
ในขณะที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามสรรหาหัวข้อมาชวนต้วนหลิงเทียนคุยไปเรื่อยเปื่อ และต้วนหลิงเทียนก็พยายามตอบสั้นๆด้วยความรำคาญนั้นเอง…
“ไอ้หน้าขาวนั่นมันเป็นใครกัน!?”
ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่ง ในกลุ่มคนที่ยืนห่างออกไปจากจุดนี้ พอเห็นฉากดังกล่าว สีหน้าของมันก็เริ่มมืดดำลงทันที
มันไล่ตามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมานานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอันใด และนางก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเลย กระทั่งยังถูกนางเมินอยู่ร่ำไป…
แต่วันนี้มันกลับพบว่าคนที่พยายามผลักไสมัน กลับพยายามเข้าหาบุรุษผู้หนึ่ง แต่ดูจากสีหน้าท่าทีของชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว อีกฝ่ายทำเหมือนนางในดวงใจของมันเป็นแค่เห็บหมาน่ารำคาญก็ไม่ปาน!
สิ่งนี้จะให้มันทนไหวได้อย่างไร!
“ดูเหมือนเจ้านั่นจะมาพร้อมกับแม่นางโอวหยา…หรือมันจะรู้จักกับแม่นางโอวหยา? แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจึงแลดูสนใจมันออกนอกหน้า?”
ชายหนุ่มชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มชุดดำกล่าว