ตอนที่ 1450 ข้าหมายจะทะลวงระดับ เคราะห์สวรรค์อยู่หนใด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

บาดเจ็บสาหัสแล้ว!

ชั่วขณะนี้พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬตกใจจนจิตวิญญาณแทบหลุด ไม่กล้าคิดมากอีก เปลี่ยนเป็นเงามืดที่ใกล้เคียงมายา ทลายอากาศออกไป

วู้ม!

สายธนูสีแดงราวกับเลือดของธนูวิญญาณไร้แก่นสารง้างจนตึงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ยิงออกมา

ก็เห็นสองแขนของจ้าวจิ่งเซวียนสั่นเล็กน้อย ใบหน้างามขาวซีด ไอสังหารที่ทะลักล้นกำลังโจมตีร่างกายของนาง

นางเก็บคันธนูและศรที่แปลกประหลาดตะลึงโลกคู่นี้ลงอย่างไม่ลังเล

ก่อนหน้านี้ตอนที่เอาชนะหนิวเจิ้นอวี่ นางใช้ลูกศรและคันธนูคู่นี้ ยามเล่นงานพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬก็ใช้สองครั้งติด

แม้สามารถเอาชนะหนิวเจิ้นอวี่และพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬได้ในคราเดียวจนอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสหนีไป แต่ก็ทำให้จ้าวซิงเย่สะบักสะบอมไม่น้อย

“น่าเสียดาย…”

นางสูดหายใจเข้าลึกๆ มองทิศทางที่พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬหนีไป เสียดายและตกใจเล็กน้อย

อานุภาพของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามทำให้อริยะแท้อย่างนางสามารถง้างได้เพียงสามครั้ง นี่น่าตกใจเกินไปจริงๆ

“แต่สุดท้ายพวกเขาก็บาดเจ็บสาหัสแล้ว”

ห่างออกไปหลินสวินเคลื่อนตัวกลางอากาศเข้ามา สีหน้าผ่อนคลาย

“ก็จริง ตามที่ข้าคาดเดา บาดแผลที่หนิวเจิ้นอวี่และพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬได้รับในครั้งนี้ ไม่สามารถฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ภายในหนึ่งปีครึ่งปีแน่ ช่วงนี้ข้าจะทุ่มสุดความสามารถ ไปจัดการเจ้าเฒ่าสองคนนั่นซะ!”

ในดวงตากระจ่างของจ้าวซิงเย่มีไอสังหารพวยพุ่ง

หลินสวินพูด “นี่เป็นโอกาสทองในการถอนรากถอนโคนค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่าจริงๆ ขอรับ”

“จะว่าไป ครั้งนี้ก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากสมบัติของเจ้า”

สายตาของจ้าวซิงเย่มองไปทางหลินสวิน บนใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติปรากฏรอยยิ้ม ยกมือคืนขวดมหามรรคสุดหยั่ง ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามให้หลินสวิน

……

ภูเขาเมฆาคราม ค่ายทัพจักรวรรดิ

ดวงตะวันทอแสง

ผู้แข็งแกร่งทุกคนในค่ายล้วนเฝ้าอยู่หน้าประตูค่าย รอคอยอยู่เงียบๆ ไม่มีใครจากไป

“ศึกถกมรรคครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจักรวรรดิของเราพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่…”

หลายคนต่างคุยกันเสียงเบา บรรยากาศค่อนข้างกดดันและตึงเครียด

หนิงเหมิงและเย่เสี่ยวชีเองก็อยู่

แม้ทั้งสองจะมั่นใจในตัวพวกหลินสวิน หลี่ตู๋สิงอย่างที่สุด ทว่าท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป ทั้งสองก็มีความกังวลเล็กน้อย กลัวแต่ว่าสิ่งที่กลับมาจะเป็นข่าวร้าย เช่นนั้นต้องส่งผลกระทบต่อค่ายจักรวรรดิมากแน่

“กลับมาแล้ว!”

ทันใดนั้นมีคนตะโกนอย่างตื่นเต้น

ฟุ่บ!

ทุกคนหยุดการกระทำในมือแล้วลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน สายตามองไปไกลๆ

ก็เห็นในอากาศยานสำเภาลำหนึ่งทะลวงอากาศมา ผู้นำคือจ้าวซิงเย่ ข้างหลังของนางคือพวกสืออวี่ หลี่ตู๋สิง

“รอดกลับมาแล้ว!”

“ฮ่าๆ ชนะแล้ว! ชนะแล้ว!”

ในค่ายเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังระเบิดระลอกหนึ่ง ก้อนหินที่กดอยู่ในใจทุกคนร่วงหล่นลง เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างมาก

ขอเพียงแค่มีคนรอดกลับมา ก็หมายความถึงชัยชนะ!

เพราะใครก็รู้ว่าหากพ่ายแพ้ในศึกถกมรรค หมายถึงความตาย

ยานสำเภาลงมาเยือนในค่าย จ้าวซิงเย่หวนกลับยอดเขาเพียงลำพัง ส่วนพวกสืออวี่ หลี่ตู๋สิงได้รับอ้อมกอดและการต้อนรับจากผู้แข็งแกร่งทุกคนในค่าย

“เร็ว เล่าเรื่องศึกถกมรรคให้พวกข้าฟังหน่อย”

“ใช่ ครั้งนี้จักรวรรดิของเราชนะได้อย่างไร”

หลายคนต่างประหลาดใจ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

นี่ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งอดถอนหายใจไม่ได้ สิบกว่าปีแล้ว ในที่สุดจักรวรรดิก็ล้างความอับอายในศึกถกมรรค ได้รับชนะ!

ใครจะไม่ตื่นเต้น

“อะไรนะ? องค์ชายเจ็ด ฮวาหลิวหง เหลียงเซ่า เซี่ยงเหวินซานตายหมดแล้วหรือ”

มีคนอุทานด้วยความตกใจ เผยสีหน้าเสียใจ ทำให้บรรยากาศที่เดิมวุ่นวาย เงียบสงัดลงไม่น้อย

“พวกเขาเสียสละเพื่อจักรวรรดิ ทุกท่าน รอตอนไปจากสมรภูมิกระหายเลือด ต้องเอาเถ้ากระดูกของพวกเขากลับจักรวรรดิด้วย!”

มีคนพูดอย่างแน่วแน่ ทำให้เกิดเสียงสนับสนุนจำนวนมาก

“หลินสวินล่ะ เหตุใดจึงไม่เห็นเงาร่างของเขา”

ทันใดนั้นสีหน้าของหนิงเหมิงและเย่เสี่ยวชีเปลี่ยนไปทันใด ส่งเสียงดังขึ้นมา

และตอนนี้เองพวกสืออวี่ก็เล่าเรื่องที่หลินสวินคนเดียวเอาชนะผู้แข็งแกร่งพันธมิตรหมื่นเผ่าเก้าคนอย่างละเอียด

ทันใดนั้นในลานเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นไม่ขาดสาย ฮือฮาไปทั่ว เลือดร้อนพลุ่งพล่านกันถ้วนหน้า ใจเต้นระทึก สะท้านสะเทือนต่อเนื่อง

“ตัวคนเดียวตัดสินศึกถกมรรค สังหารเหล่าศัตรู พี่หลินช่างสมกับที่ถูกยกย่องว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’!”

มีคนอุทานด้วยความตกใจ

“ก่อนหน้านี้พวกข้ายังเสียดสีว่าพี่หลินเป็นมอดอยู่เลย อิจฉาผลประโยชน์ที่เขาได้รับ ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกข้าช่างเป็นกบในกะลา น่าขันและไม่รู้ความเกินไปแล้ว!”

มีคนใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย

“มีพี่หลินอยู่ ศึกถกมรรคครั้งต่อไป ค่ายพ่อมดเถื่อนนั่นไม่มีทางเป็นคู่แข่งของจักรวรรดิของเราได้อีกต่อไป!”

มีคนวาดหวัง

เพิ่งพูดถึงตรงนี้ก็ถูกสืออวี่ขัดจังหวะ เอ่ยว่า “ต่อไปไม่มีศึกถกมรรคอีกแล้ว”

ว่าแล้วเขาก็เล่าเรื่องศึกอริยะที่เกิดขึ้นกะทันหันตอนที่ศึกถกมรรคใกล้จะจบลง ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ด้วยความเดือดดาลไม่รู้เท่าไหร่

ต่างด่าว่าหนิวเจิ้นอวี่และพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬชั่วร้ายไร้ยางอาย ไม่สมกับที่เป็นอริยะ!

ทว่าตอนที่รู้ว่าอริยะทั้งสองต่างถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสหนีไป ทุกคนต่างหัวเราะเกรียวกราวขึ้นมา นี่เรียกว่าขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ!

และตอนนี้เองทุกคนถึงรู้ว่า ยามนี้หลินสวินอยู่ที่เขาพินิจมรรค กำลังฝึกปราณอยู่ที่หน้าผาหิน อีกหนึ่งเดือนจึงจะจบสิ้น

“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม รอท่านจ้าวซิงเย่ฟื้นคืนพลังแล้ว พวกเราจะเคลื่อนไหว ไปกวาดล้างค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า!”

สืออวี่พูดเสียงดังด้วยความฮึกเหิม

ทุกคนรับคำ ถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น

ศึกถกมรรคครั้งเดียว ไม่เพียงล้างความอับอายของจักรวรรดิ ยิ่งเปลี่ยนสถานการณ์ของจักรวรรดิ เป็นโอกาสทองที่จะกวาดล้างอีกสองขุมอำนาจใหญ่!

……

เขาพินิจมรรค

บริเวณที่ราบตรงหน้าผามีกำแพงหินยืดยาว

ยามหลินสวินเหยียบพื้นที่แห่งนี้พลันรู้สึกถึงกลิ่นอายมหามรรคที่บอกไม่ถูก เลื่อนลอยและสูงส่ง ทำให้เกิดความเกรงขาม

เมื่อมองบนกำแพงหินนั่น ก็เห็นภาพสลักภาพหนึ่งปรากฏขึ้น ราวกับร่องรอยมหามรรค ปรากฏอยู่ในกำแพงหิน ดูเหมือนยุ่งเหยิง แต่พอมองอย่างละเอียดกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายอัศจรรย์ไร้ขอบเขต

“นี่…”

ทันทีที่สายตาหลินสวินมองไป เพียงรู้สึกในหัวมีเสียงดังกึกก้อง ไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น ทั้งกายใจถูกพลังมหามรรคไร้สิ้นสุดท่วมท้น

เขาเหมือนมองเห็นรางๆ ว่าบนหน้าผารกร้างที่ไม่มีพืชพรรณขึ้นอยู่นี้ มีแสงมงคลมหามรรคมากมายลู่ลงมา ดอกไม้ใบหญ้าวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏ พืชพรรณงอกงาม ผืนป่ากว้างใหญ่ เถาวัลย์ล้อมรอบ โอสถโบราณหยั่งราก…

บนฟ้าเมฆมงคลสีเขียว สีมรกต สีแดง สีหยกแต่ละก้อนล่องลอย ประกายแสงมหามรรคไหลเวียน มงคลและศักดิ์สิทธิ์

มีมังกรขด หงส์เซียนสยายปีก วัวเขียวก้าวเดิน กวางขาวลาดตระเวน วานรวิญญาณอยู่รวมเป็นฝูง… ดูแปลกประหลาดไปเสียทุกที่

กึง!

เสียงระฆังดังขึ้น ที่จุดสิ้นสุดของหน้าผา เงาร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับนั่งอยู่บนเก้าสวรรค์ สูงส่งไร้ขอบเขต

จากนั้นสัทครรลองมหามรรคประหนึ่งเสียงสวรรค์ดังขึ้น กึกก้องอยู่กลางฟ้าดิน ลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก มหัศจรรย์ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด

ระหว่างหน้าผา ต้นไม้ใบหญ้าโน้มลงพื้น ราวกับกำลังสงบใจฟัง

สิ่งมีชีวิตอย่างมังกร หงส์เซียน วัวเขียว กวางขาว วานรวิญญาณ ล้วนราวกับมีจิตวิญญาณ หมอบตัวในบริเวณที่แตกต่างกัน ราวกับกำลังหยั่งมรรค

กลางฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงเสียงธรรมที่ดังไม่ขาดสาย

หลินสวินราวกับได้รับคำอวยพรอย่างไรอย่างนั้น กายใจปลดปล่อย ความคิดว่างเปล่า สัมผัสรับรู้เงียบๆ ไม่รู้ความสูงฟ้าดิน ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน

ลืมตนอย่างสิ้นเชิง

‘ที่แท้ มรรคแห่งตนของเจ้าคืนสู่ที่แห่งนี้แล้ว…’

ยังคงเป็นหน้าผารกร้างโล่งเตียนที่ไม่มีพืชพรรณ เงาร่างของหญิงลึกลับไม่รู้ว่าเดินออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ตั้งแต่เมื่อไหร่

นางเอามือไพล่หลัง มองหลินสวินที่นั่งอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง แล้วจึงมองไปยังกำแพงหินที่อยู่ไม่ไกลนัก

จากสายตาของนาง บนกำแพงหินนั่นมีรอยสลักทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยสามสิบเก้ารอย ทุกรอยล้วนแสดงถึงมหามรรค เป็นตัวแทนแห่งประทับมหามรรค

นางรู้ว่ารอยสลักมหามรรคเหล่านี้ ล้วนเป็นของบุคคลระดับจักรพรรดิที่ร่วงหล่น ณ ที่แห่งนี้คนนั้น เป็นการหยั่งมรรคในการฝึกปราณทั้งชีวิตของเขา

นี่ไม่ใช่มรดกและวิชาที่แท้จริง แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่หยั่งรู้บนเส้นทางมรรคาของระดับจักรพรรดิผู้นั้น ล้ำค่ากว่ามรดกและวิชาทั่วไป!

‘เขาได้ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎแล้ว ทำได้เพียงเรียนรู้จากผู้อื่น ไม่อาจนำทุกอย่างมาเป็นของตน แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็เพียงพอจะทำให้เขาได้รับผลประโยชน์ไร้สิ้นสุด’

ไม่นานหญิงลึกลับก็เก็บสายตา สีหน้านิ่งสงบตั้งแต่ต้น ไม่เคยถูกร่องรอยมหามรรคเหล่านั้นดึงดูด

‘น่าเสียดาย เป็นแค่การหยั่งรู้มหามรรคเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่พื้นฐานมหามรรคของตน มิฉะนั้นข้าย่อมสามารถรู้ได้ว่ามรรคจักรพรรดิที่เจ้าแสวงหาคืออะไร…’

หญิงลึกลับเอามือไพล่หลัง เงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ลอยหายไป

หน้ากำแพงหิน หลินสวินราวกับลืมตัว ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลย

สามวันหลังจากนั้น

ค่ายจักรวรรดิออกโจมตีเต็มกำลังภายใต้การนำทัพของจ้าวซิงเย่ บุกโจมตีภูเขาฟืนเขียวที่ค่ายพ่อมดเถื่อนอยู่

การเข่นฆ่าครั้งเดียวเรียกได้ว่าไร้ปรานี บนภูเขาฟืนเขียวเต็มไปด้วยเลือดสีสด

น่าเสียดาย พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬและคู่แฝดรุ่งรัตติกาลหนีไปก่อน ไม่ได้อยู่บนภูเขาฟืนเขียว

จากนั้นจ้าวซิงเย่พาทุกคนไปยังภูเขาหมื่นทวนที่พันธมิตรหมื่นเผ่าอยู่

ครั้งนี้เสียเที่ยวเต็มๆ ที่นั่นว่างเปล่าตั้งนานแล้ว เหลือไว้เพียงความยุ่งเหยิงเต็มพื้น

เห็นได้ชัดว่าพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬและหนิวเจิ้นอวี่บาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าจะเป็นค่ายพ่อมดเถื่อนหรือพันธมิตรหมื่นเผ่าต่างรู้ดีว่าสูญเสียอำนาจไปแล้ว จึงเตรียมการหนีไว้ล่วงหน้า

แม้ไม่สามารถกวาดล้างศัตรูทั้งหมดได้ แต่ทุกคนจากจักรวรรดิต่างรู้ดีว่า สมรภูมิกระหายเลือดในอนาคต จักรวรรดิจะยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว!

สำหรับอีกสองค่ายทัพ ก็ประหนึ่งเหลือแค่ชื่อแล้ว!

สิบวันหลังจากนั้น

ทางเข้าป่าต้นหม่อน จ้าวซิงเย่มองจากไกลๆ ตรงนั้นเต็มไปด้วยหมอกสีเทาปกคลุมกลางฟ้าดิน เวิ้งว้างทั้งแถบ มองอะไรไม่ชัด

แต่กลับทำให้จ้าวซิงเย่รู้สึกใจสั่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง ราวกับส่วนลึกของฟ้าดินในหมอกไพศาลนั่น มีตัวตนที่น่าสยดสยองที่สุดดำรงอยู่

สุดท้ายนางหมุนตัวจากไป

สามสิบวันหลังจากนั้น

ยอดเขาพินิจมรรค หลินสวินตื่นจากสมาธิ ลืมตาขึ้นมา

“หลินสวิน ได้เวลาแล้ว”

ตรงตีนเขา จ้าวซิงเย่ที่รออยู่นานแล้ว ส่งเสียงขึ้นมา

“ผู้อาวุโสรอสักครู่”

หลินสวินพยักหน้า จากนั้นเดินไปตรงหน้าผา ดวงตาดำที่ลึกล้ำและกระจ่างชัดทอดมองภูผาธาราห่างออกไป เสื้อผ้าโบกสะบัดจนเกิดเสียง

แต่ในปากของเขากลับพ่นประโยคหนึ่งออกมาอย่างแผ่วเบา “ข้าหมายจะทะลวงด่าน พิบัติเคราะห์อยู่หนใด!”

——