ระหว่างทางกลับ เย่เฉินเอ่ยปากถามพอลว่า “ใช่แล้ว หลายวันนี้คุณน้าหานเป็นยังไงบ้างแล้ว”

พอลเอ่ย “ช่วงนี้แม่ผมชอบไปมหาวิทยาลัยผู้สูงอายุ เพื่อนเก่าคนหนึ่งของแม่เชิญไปเป็นอาจารย์รับเชิญที่มหาวิทยาลัยผู้สูงอายุ เพื่อสอนกฎหมายทั่วไปโดยเฉพาะครับ”

“เอ๋” เย่เฉินเอ่ยอย่างแปลกใจ “งั้นตอนนี้คุณน้าหานก็เป็นอาจารย์หานแล้วสินะ”

พอลเอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่ถึงกับเป็นอาจารย์หรอกครับ เดิมมหาวิทยาลัยผู้สูงอายุก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยตามความหมายจริง ๆ ที่นั่นก็เป็นแค่คลาสอบรมตามความสนใจของผู้สูงอายุก็เท่านั้น แม้แม่ผมจะสอนวิชาที่นั่น แต่เธอก็เป็นนักเรียนของที่นั่นเหมือนกัน เรียนวิชาพู่กัน วิชาภาพวาดจีนกับคนอื่น ยุ่งจนหัวหมุนทุกวันเลยครับ”

เอ่ยจบ พอลก็ถามอย่างสงสัย “ช่วงนี้คุณอาเซียวกำลังยุ่งอยู่กับอะไรเหรอครับ แม่ผมพร่ำถึงเขาอยู่บ่อย ๆ แต่ดูเหมือนจะอึก ๆ อัก ๆ อยากพูดก็ไม่กล้าพูดอยู่ตลอด”

เย่เฉินคิดว่าพอลเองก็ไม่ใช่คนนอก ด้วยเหตุนี้จึงถอนหายใจเอ่ยกับเขาว่า “ตอนที่คุณกับคุณน้าหานเพิ่งกลับมา แม่ยายผมก็หายตัวไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว

พูดไปพูดมา เย่เฉินก็เอ่ยอีกว่า “แม่ยายผมคนนี้น่ะนะ นิสัยค่อนข้างดุดัน พ่อตาผมกลัวว่าพอเธอรู้เรื่องคุณน้าหานกลับมาจะไปหาเรื่องคุณน้าหานเอา เลยไม่กล้าไปหาคุณน้าหาน”

พอลพยักหน้าเบา ๆ เอ่ยอย่างทอดถอน “เรื่องของคนรุ่นพ่อแม่ พวกเราก็ไม่เหมาะสอดมือจริง ๆ”

ขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเย่เฉินก็ดังขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นซ่งหวั่นถิงที่ไม่เห็นหน้ามาหลายวัน

เขารับโทรศัพท์ เอ่ยถามยิ้ม ๆ “คุณซ่ง ช่วงนี้ทำอะไรอยู่เหรอ”

ซ่งหวั่นถิงเอ่ยหัวร่อ “ฉันทำอะไรไปเรื่อย ไม่ยุ่งเท่าอาจารย์เย่แน่นอน”

กล่าวไปกล่าวมา เธอก็ถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์เย่ ไม่ทราบว่ามะรืนนี้ตอนค่ำมีเวลาว่างรึเปล่าคะ”

เย่เฉินครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีธุระอะไร ทำไมเหรอ”

ซ่งหวั่นถิงเอ่ยยิ้ม ๆ “ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่อยากเชิญคุณมากินข้าวที่บ้านสักมื้อ คุณปู่ก็เอาแต่พร่ำถึงคุณมาตลอดด้วย”

เย่เฉินยิ้มเอ่ย “ได้ งั้นมะรืนนี้ตอนค่ำผมคงต้องขอรบกวนคุณถึงบ้านแล้ว”

ซ่งหวั่นถิงเอ่ยอย่างยินดี “เยี่ยมไปเลย อาจารย์เย่ งั้นวันมะรืนตอนหนึ่งทุ่มได้ไหมคะ”

“ได้สิ”

“แล้วพบกันนะคะ!”

“โอเค แล้วพบกันครับ”

หลังวางสายจากซ่งหวั่นถิง พอลที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยถามยิ้ม ๆ “อาจารย์เย่ เป็นคุณซ่งที่โทรศัพท์มาหาคุณเหรอครับ”

เย่เฉินรู้ว่าเขารู้จักซ่งหวั่นถิง เลยไม่ได้ปิดบังอะไร พยักหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว”

พอลยิ้มเอ่ย “คุณซ่งโทรศัพท์มาหาคุณ เพราะเรื่องงานวันเกิดเธอสินะครับ”

“งานวันเกิดเหรอ” เย่เฉินเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เมื่อครู่ที่โทรมา คุณซ่งไม่ได้บอกผมเลยนะ พูดถึงแค่ว่าให้ไปกินข้าวบ้านเธอคืนวันมะรืนเท่านั้น”

พอลเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ฉายแววลึกซึ้ง “คุณซ่งคงไม่อยากให้คุณต้องเตรียมของขวัญวันเกิดให้เธออย่างสิ้นเปลือง เลยพูดกับคุณแบบนี้ ตอนที่เธอพูดกับผม ก็พูดถึงงานวันเกิดโดยตรงเลย”

เย่เฉินอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ฉลองวันเกิดก็พูดว่าฉลองวันเกิดมาเลยสิ ทำไมต้องปิดบังด้วยล่ะ ถึงตอนนั้นหากตัวเขาไปมือเปล่าก็คงดูไม่ค่อยดีนัก

หรือจะเหมือนอย่างที่พอลพูดจริง ๆ ว่าเพราะไม่อยากให้ตัวเขาต้องสิ้นเปลือง

เย่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าก็เป็นไปได้จริง ๆ

ซ่งหวั่นถิงรู้สึกมาตลอดว่าตัวเธอติดค้างน้ำใจเขาอยู่ นั่นก็เพราะเมื่อก่อนเขาเคยช่วยเธอทลายค่ายล็อกมังกร อีกทั้งยังไม่เคยเก็บเงินเลย

ตอนที่เขากลั่นยาให้ปู่ของเธอกับซือเทียนฉี ก็เคยแอบมอบยาให้เธอเม็ดหนึ่ง

หลังกลั่นยาอายุวัฒนะออกมาแล้ว ตนเองก็มอบให้คุณปู่ของเธอ ให้คุณปู่ของเธอเด็กลงอย่างน้อยสิบกว่ายี่สิบปี ก็ล้วนเพราะเห็นแก่หน้าเธอ

และก็เพราะยาอายุวัฒนะที่เขามอบให้คุณท่านซ่ง จึงทำให้คุณท่านซ่งให้ความสำคัญกับซ่งหวั่นถิงเป็นพิเศษ ดังนั้นฐานะของซ่งหวั่นถิงในตระกูลซ่งจึงสูงขึ้นทุกที

——–