สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เฉินผิงอันเตรียมใจมาก่อนแล้ว ในอดีตตอนที่อยู่คฤหาสน์หลบร้อนก็เริ่มสาวเท้าเดินเล่นอยู่เพียงลำพังอย่างเนิบช้าแล้ว แต่คนคำนวณก็ไม่สู้ฟ้าลิขิต เขายังคงดูถูกผลลัพธ์จากการผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่เกินไปอยู่ดี
เหมือนผีเร่ร่อนตัวหนึ่งที่ล่องลอยเตร็ดเตร่ไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนี้
ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้ อีกทั้งยังทำร้ายเรือนกายของผู้ฝึกยุทธไปทีละนิดด้วย
แต่หากหยุดยืนนิ่งหรือนั่งลง ต่อให้เฉินผิงอันจะชอบทบทวนกระดานหมากล้อมทบทวนสถานการณ์แค่ไหน แต่เวลาสามสิบกว่าปี ต่อให้เดินทางผ่านขุนเขาสายน้ำมามากแค่ไหน ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากแค่ไหน หรือพบเห็นเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายเพียงใด แต่จะสามารถรับการเคาะตีทบทวนรายละเอียด การใคร่ครวญตริตรองถึงเส้นสายต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้สักกี่สิบรอบกัน? ตัวอักษรที่ถูกเฉินผิงอันแกะสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ทั้งหลายก็ยิ่งถูกเฉินผิงอันนำมาท่องซ้ำไปซ้ำมา เฉินผิงอันเคยหยิบเอาวัตถุจื่อชื่อออกมา แล้วเอาของด้านในออกมาดูแก้เบื่อ ยกตัวอย่างเช่นลองนับเงินเทพเซียนที่ตัวเองมีดู แต่ก็เกือบจะถูกหลิงจวินใช้กระบี่ฟันวัตถุจื่อชื่อให้แหลก
นอกจากฝึกตนแล้วก็ได้แต่ฝึกตนเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นหากอยู่แบบนี้ต่อไป ไม่ถึงหนึ่งปี การอยู่บนหัวกำแพงเมืองสำหรับเฉินผิงอันแล้วจะเหมือนได้ข้ามผ่านกาลเวลาหกสิบปีไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งปีเป็นเช่นนี้ หากห้าปี สิบปี ร้อยปี พันปีเล่า?
ย่อมต้องเสียสติ
เฉินผิงอันจึงได้แต่รวบรวมสมาธิมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกตน ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วมาก แต่พอรวมโอสถได้แล้ว สำหรับขอบเขตก่อกำเนิดที่มองดูเหมือนไม่ได้อยู่ห่างไกล ขอบเขตก่อกำเนิดที่อยู่ห่างจากเซียนกระบี่แค่ก้าวเดียว จู่ๆ กลับทำให้เฉินผิงอันยากจะสงบใจลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเลื่อนไปสู่คอขวดก่อกำเนิดได้สำเร็จ ตอนที่เฉินผิงอันฟังซวงเจี้ยงเทวบุตรมารนอกโลกเล่าให้ฟัง มองดูเหมือนมีสีหน้าผ่อนคลายสบายๆ แต่แท้จริงแล้วกลับกริ่งเกรงหวาดผวาอย่างยิ่ง
สิ่งที่หลิวเหล่าเฉิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนประสบพบเจอ การถือกำเนิดของตัวซวงเจี้ยงเอง และที่ห่างไกลยิ่งกว่าคือเทวบุตรมารนอกโลกเหล่านั้น
ล้วนทำให้เฉินผิงอันเป็นกังวลใจทั้งสิ้น เพราะหากสืบสาวราวเรื่องกันแล้ว เฉินผิงอันไม่ได้กลัวความยากลำบากอะไรเลยจริงๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่กลัวที่สุดคือกลัวตัวเอง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเริ่มลงมือทำเรื่องเสี่ยง กว่าจะฝึกตนจนกลายเป็นโอสถทองคนรุ่นเดียวกับข้าได้อย่างไม่ง่าย เขากลับเริ่มทำลายโอสถทอง!
เพราะถึงอย่างไรมีแค่ตัวเองคนเดียวก็คงไม่ถึงขั้นทำให้ตัวเองตกใจตาย อึดอัดตาย อัดอั้นตายได้หรอกกระมัง
เคยทำลายจิตบุ๋นสีทองมาแล้ว โอสถทองถูกทำลายจะนับเป็นอะไรได้
เรื่องของการทำลายโอสถทองนั้น ไม่ว่าความคิดอะไรก็ล้วนไม่สำคัญ เมื่อร่างกายของผู้ฝึกยุทธถูกบีบให้ต้องทำเช่นนี้จึงเริ่มหล่อหลอมเรือนกายด้วยตัวเอง ประหนึ่งการโคจรของมหามรรคาที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์
แต่ทุกครั้งที่ระเบิดโอสถทองให้แตกด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดทรมานนั้น ดูเหมือนว่าเมื่อเทียบกับในอดีตที่ต้องเจอกับหมัดอำมหิตของผู้อาวุโสชุยบนเรือนไม้ไผ่ อีกทั้งยังไม่สามารถเป็นลมหมดสติไปได้ ได้แต่ทนรับความทรมานไปทีละนิดแล้ว กลับยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนหนึ่งวันดั่งนานเป็นปีเข้าไปอีก
ก่อนหน้านี้ระเบิดโอสถทองติดต่อกันสิบสองครั้ง เฉินผิงอันจึงเหมือนกัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดนานถึงสิบกว่าปี แต่รอกระทั่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตยอดเขาแล้วระเบิดโอสถทองอีกสามครั้ง กลับรู้สึกดีกว่าเดิมเยอะมาก
พอคิดถึงความเจ็บปวดที่โอสถทองค่อยๆ ปริแตก ประหนึ่งเลือดเนื้อบนร่างกายค่อยๆ หดหายเหลือเพียงโครงกระดูกซึ่งเจ็บปวดยาวนานนั้นแล้ว เฉินผิงอันในเวลานี้ก็พึมพำว่า “ตอนนี้ก็เรียกว่าได้เสวยสุขแล้วจริงๆ”
เฉินผิงอันพลันด่าว่ามารดามันเถอะขึ้นมาคำหนึ่ง
ที่แท้เป็นหลงจวินผู้นั้นที่ออกกระบี่ทำลายภาพบรรยากาศฟ้าดินเหนือกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง หิมะครั้งนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มาเยือน
เฉินผิงอันเริ่มนั่งลง แบฝ่ามือชูขึ้นสูง ร่ายตราประทับอสนีให้กระแทกลงบนหัวกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินนิ่งหกก้าว ถึงอย่างไรก็เร็วไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นช้าก็ช้าไปเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าสรุปแล้วจะช้าได้ถึงขั้นไหน ถือเสียว่าเป็นการงัดข้อกับตัวเองก็แล้วกัน
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงวิชาหมัดที่จางซานเฟิงถ่ายทอดให้ขึ้นมา แล้วจึงเริ่มทำตาม ไม่สนว่าจะเหมือนเพียงท่าทางไม่เข้าถึงจิตวิญญาณหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นวิธีเล็กๆ ที่ดีในการฆ่าเวลา ด้านหนึ่งก็หล่อเลี้ยงโอสถทอง ด้านหนึ่งได้ฝึกหมัด แล้วก็จะได้ฝึกกับมารดามันอีกหนึ่งล้านหมัด
ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันคิดว่าจะค่อยๆ เดินช้าๆ จากหัวกำแพงฝั่งนี้ไปถึงหน้าผาแห่งนั้น
เมื่อในที่สุดเฉินผิงอันก็มาถึงหน้าผา เก็บท่าหมัด มองไปยังชุดคลุมยาวสีเทาที่พลิ้วไสว เขาก็ถามว่า “สำนักอวี่หลงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
หลงจวินเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “สมองดีอย่างนี้ จะต้องแกล้งถามทั้งที่รู้ดีทำไม เบื่อมากนักหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรเจ้าและข้าต่างก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ มาคุยกันเรื่องเก่าในปฏิทินเหลืองที่ไม่ทำลายความสง่างามดีไหมล่ะ?”
หลงจวินไม่เอ่ยอะไรอีก
หลีเจินขี่กระบี่มาถึงหน้าผาอย่างเอ้อระเหย พลิ้วกายลงบนพื้น เมื่อเทียบกับการยืนอยู่บนหน้าผาอย่างผ่าเผยเหมือนในอดีต ครั้งนี้กลับเลือกที่จะยืนขยับเข้ามาใกล้ข้างกายหลงจวินอยู่หลายส่วน ใบหน้าของหลีเจินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าว “เจ้าเกิดปีหมาหรือ จมูกถึงได้ไวขนาดนี้ น่าเสียดายที่ใต้รองเท้าข้าไม่ได้เหยียบขี้มา เจ้าลองไปหาดูที่ใต้ชุดคลุมของผู้อาวุโสหลงจวินสิ ไม่แน่ว่าอาจจะได้กินอิ่มสักมื้อ”
หลีเจินโบกมือ ยิ้มทะเล้นเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานอย่าได้คิดแข่งขันเรื่องฝีปากกันเลย ต่อให้ตกเป็นรอง ข้าก็ไม่สนใจ วันนี้ข้ามาบอกข่าวดีสามเรื่องแก่ใต้เท้าอิ่นกวาน หลิวป๋ายได้รับปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งจากสายของโจวเฉิง ส่วนอวี่ซื่อก็ได้รับปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งของอู๋เฉิงเพ่ย ข้าเองก็พอจะมีผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ร่ำรวยเพราะคนตายโดยแท้ บอกตามตรง นี่ทำให้มโนธรรมในใจข้ายากจะสงบลงได้”
สำหรับโชควาสนาเหล่านี้ อันที่จริงไม่ได้เกิดริ้วกระเพื่อมในใจของเฉินผิงอันเท่าใดนัก
ผู้ฝึกกระบี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่ คือนักเดินทางไกลบนโลกที่จิตแห่งการฝึกตนบริสุทธิ์ที่สุด
หลีเจินถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน ลองเดาดูสิว่าข้าได้รับปณิธานกระบี่ของเซียนกระบี่คนใดที่รบตายไป? ลองเดาดูสิ เพิ่งตายไปได้แค่ไม่กี่ปี เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งด้วย”
หลีเจินเรียกกระบี่บินออกมา จิตขยับเล็กน้อยก็มีทะเลเมฆผืนหนึ่งมารวมตัวกันอยู่นอกหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันสีหน้ามืดทะมึน กำดาบแคบในมือแน่น อดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็สบถด่าดังลั่น แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “พอใจแล้ว? อารมณ์ดีไหมล่ะ?”
หลีเจินถาม “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเหยาชงเต้าสามารถเรียกก้อนเมฆให้มาเชื่อมโยงกันเป็นทะเลเมฆได้
แน่นอนว่าเป็นเพราะหลีเจินขอให้เซียนกระบี่บนหัวกำแพงเมืองช่วยหวังเอามาสร้างความหงุดหงิดใจให้เฉินผิงอันโดยเฉพาะ
ลำดับรายชื่อของร้อยเซียนกระบี่ภูเขาทัวเยว่ไม่ได้เรียงตามขอบเขตสูงต่ำ มีทั้งผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มขอบเขตถ้ำสถิต แล้วก็มีทั้งเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีชื่อเสียงมานานอย่างโซ่วเฉิน
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “ข้าผู้อาวุโสใช้หัวเข่าคิดยังคิดเรื่องต่างๆ ได้ดีกว่าเจ้าใช้สมองคิดเสียอีก เจ้าหลีเจินนอกจากน้ำชั่วร้ายครึ่งถังที่แกว่งอยู่ในท้องแล้ว ยังจะมีความสามารถอะไรได้อีก? ลองมาเล่นที่หัวกำแพงเมืองแถบข้าดูสิ ข้าสามารถไม่ออกกระบี่ ไม่ใช้ขอบเขตหยกดิบรังแกคน แล้วจะยังกดขอบเขตไว้ที่เดินทางไกลด้วย เป็นอย่างไร? หากเจ้าไม่มั่นใจก็ไม่เป็นไร ข้าให้เจ้ามาพร้อมกับหลิวป๋ายได้ ถึงอย่างไรคอขวดมหามรรคาในการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนของนางก็ต้องอยู่ที่ข้าแน่ ถือโอกาสนี้กำจัดจิตมารได้พอดี ตามบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้น ข้าปฏิบัติต่อสตรีดั่งคนที่รักหยกถนอมบุปผาเป็นที่สุด ครั้งก่อนไม่ทันระวังหักคอนางไป เป็นข้าที่ทำไม่ถูกต้อง”
หลิวป๋ายเพียงแค่นั่งเลี้ยงกระบี่นิ่งๆ มองดูคล้ายว่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
สองฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่แทบจะเป็นฟ้าดินสองแห่งที่ต่างกัน ดังนั้นเฉินผิงอันอาจสัมผัสไม่ได้ถึงทะเลสาบหัวใจของหลิวป๋ายอย่างแท้จริง แต่หลีเจินกลับรู้ดีว่าหลิวป๋ายไม่ได้เยือกเย็นอย่างที่แสดงออก
หลีเจินถาม “ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลมีใครบอกเจ้าหรือไม่ว่า เจ้าจะต้องกลายเป็นเฉินผิงอันอีกคนหนึ่งที่สุดโต่งอย่างถึงที่สุด? หากมีล่ะก็ ข้าจะต้องเป็นสหายกับเขาให้ได้ เพราะเขาช่วยพูดความในใจแทนข้าแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีสิ ฝูหนันหัวแห่งนครลมเย็นอย่างไรเล่า”
มีอยู่จริงๆ แต่ไม่ใช่ฝูหนันหัวแห่งนครลมเย็นอะไรนั่น แต่เป็นหลี่เป่าเจิน
หลีเจินหลุดหัวเราะพรืด “นครลมเย็นแซ่สวี่ นครมังกรเฒ่ากลับมีแซ่ใหญ่อย่างแซ่ฝูอยู่จริง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เจ้าใช้ก้นคิดเรื่องราวได้ดีกว่าใช้สมอง วันหน้าก็ลองเปลี่ยนดูใหม่ อีกอย่างจำไว้ว่าเวลากินข้าวก็เปลี่ยนตำแหน่งด้วย”
ได้หยอกเจ้าหลีเจินผู้นี้ ถือเป็นเรื่องเล็กๆ ชวนให้สบายอารมณ์อย่างที่หาได้ยากแล้ว ส่วนหลีเจินจะถือสาหรือไม่ เฉินผิงอันไม่ใช่บรรพบุรุษของเขาหลีเจินเสียหน่อย ไม่สนใจหรอก
หลีเจินไม่ยินดีจะพูดจาเหลวไหลกับคนผู้นั้นในเรื่องนี้ จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อให้โชคดีปล่อยให้เจ้าหนีกลับไปยังใต้หล้าไพศาลได้ หรือต่อให้โชคดีอีกนิด ก่อนจะกลับไปอิ่นกวานคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ทำเรื่องอะไรไปบ้าง ผู้คนล้วนรับรู้เป็นวงกว้างแล้ว แต่ส่วนลึกในใจของผู้ฝึกตนบนภูเขามีความประทับใจที่แท้จริงต่อเจ้าเฉินผิงอันอย่างไรกันแน่? ต่อให้ผ่านไปร้อยปีพันปีแล้วเจ้ายังทำเรื่องดีมากแค่ไหน เป็นคนดีไปนานเท่าไร ถึงท้ายที่สุดแล้วเฉินคนดีก็คือวิญญูชนจอมปลอมที่มาจากสายเหวินเซิ่งเท่านั้นเอง”
เฉินผิงอันกลั้นขำ
หลีเจินขมวดคิ้ว “เจ้าหัวเราะอะไร?”
เฉินผิงอันมองหลงจวิน “รบกวนผู้อาวุโหลงจวินช่วยอธิบายให้เจ้าโง่น้อยนี่ฟังที”
หลงจวินยิ้มกล่าว “เดิมทีก็ถูกด่าว่าเป็นลูกพันธ์ผสมของตรอกหนีผิงมาตั้งนานแล้ว จะสนใจเรื่องพวกนี้ไปไย สายเหวินเซิ่งมีควันธูปน้อยนิดแค่นั้น มีคนอยู่กันแค่ไม่กี่คน ใครจะสนใจ ชุยฉานหรือ? จั่วโย่วหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยกับหลีเจินว่า “สุดท้ายนี้จะสอนหลักการเหตุผลข้อหนึ่งให้เจ้า เรื่องดีที่วิญญูชนจอมปลอมทำ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องดี ส่วนคนถ่อยที่แท้จริงต่อให้จะทำเรื่องที่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายแค่ไหน ก็ยังเป็นคนถ่อยอยู่ดี ส่วนเจ้าล่ะ วิญญูชนจอมปลอมก็เป็นไม่ได้ จะเป็นคนถ่อยที่แท้จริงก็ไร้ปัญญา ยังมีหน้ามาถามใจกับข้า? เจ้าคู่ควรหรือ?”
เฉินผิงอันผายมือมาทางหลีเจินแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ “ไม่ใช่ปู่หลานที่แท้จริงก็ยิ่งต้องคิดบัญชีอย่างชัดเจน สอนหลักการเหตุผลให้เจ้าแล้ว วันหน้าจำไว้ว่าเอาชีวิตมาชดใช้คืน”
หากไม่เป็นเพราะมีหลงจวินนั่งพิทักษ์หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม มีเพียงร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ผายลมสุนัขพวกนั้นฝึกตนอยู่ที่นั่น ป่านนี้เฉินผิงอันก็บุกไปฆ่านานแล้ว
หลีเจินเอียงศีรษะ ยืดคอยาวออกไป ชี้นิ้วไปที่คอตัวเอง ยิ้มกล่าว “ฟันลงมาตรงนี้เลยไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปคว้า บังคับดาบพิฆาตที่วางไว้ห่างไปบนหัวกำแพงเมืองมาไว้ในมือ ฝักดาบยังอยู่ที่เดิม ดาบแคบที่ออกจากฝักเหมือนรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งมาถึง
เฉินผิงอันฟันดาบฉับออกไป
หลีเจินเข้าใจผิดนึกว่าหลงจวินจะช่วยต้านรับให้ ดังนั้นจึงไม่หลบไม่เลี่ยง สุดท้ายก็ต้องสูญเสียสมบัติหนักป้องกันกายชิ้นหนึ่งไป ส่วนร่างของหลีเจินลอยไปกระแทกหนักๆ ห่างไปสิบกว่าจั้ง ร่างอาบไปด้วยเลือด เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “หลงจวิน!”
หลงจวินฟันกระบี่ ‘สังหาร’ เฉินผิงอัน
ร่างของเฉินผิงอันมาปรากฏตัวอยู่ที่เดิม
ทุกครั้งหลงจวินออกกระบี่ได้อย่างแม่นยำ ไม่มีประโยชน์ต่อเรือนกายของเฉินผิงอันแม้แต่น้อย
หลีเจินลุกขึ้นนั่ง สลายคราบเลือดบนชุดคลุมอาคมทิ้งไป สีหน้าซีดขาว สายตามืดทะมึน ยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ภูเขาลั่วพั่วใช่ไหม? รอให้ข้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้วไปเยือนแจกันสมบัติทวีปเมื่อไหร่ ขอแค่เป็นคนที่สนิทคุ้นเคยกับเจ้า ศัตรูข้าจะช่วยเจ้าสังหาร ญาติมิตรข้าก็จะยิ่งช่วยให้เจ้าสนิทปรองดองกันเข้าไปอีก”
ร่างของเฉินผิงอันพลันเผยกายธรรมก่อกำเนิด “ฝ่าทะลุขอบเขตจำเป็นต้องรอด้วยหรือ?”
หลีเจินถอยกรูดหลบฉากออกไปอย่างเร่งร้อนประหนึ่งวิหคหวาดคันธนู
หลงจวินเอ่ยอย่างหน่ายใจ “ของปลอม ตอนนี้คนเขาเป็นขอบเขตหยกดิบ แค่ร่ายกายธรรมออกมาเป็นเรื่องยากนักหรือ?”
อันที่จริงหลีเจินยังนับว่าดี อย่างมากก็แค่ตกอกตกใจเกินกว่าเหตุ แต่หลิวป๋ายผู้นั้นกลับเริ่มตัวสั่นเบาๆ ราวกับได้เห็นจิตมารของตนล่วงหน้า
เฉินผิงอันหมุนตัวเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังก้อง
……
ราชวงศ์เส้าหยวน จวนราชครู
เด็กหนุ่มชุดขาวหลินจวินปี้ถอดรองเท้านั่งเล่นหมากล้อมเพียงลำพังอยู่ในระเบียง หลังจากกลับบ้านเกิด หลินจวินปี้ก็เริ่มใช้ข้ออ้างว่าปิดด่านเก็บตัวเงียบไม่ออกไปไหน ส่วนอาจารย์ของตนก็ยิ่งคอยช่วยเขาปิดประตูไม่ต้อนรับแขก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังหลินจวินปี้กลับคืนสู่บ้านเกิด ทุกเรื่องล้วนเป็นดั่งที่อาจารย์ชุยและอิ่นกวานหนุ่มคาดการณ์ไว้
เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์สายบุ๋นของราชครูราชวงศ์เส้าหยวนอีกต่อไป ไม่ได้เป็นเพียงแค่บุคคลอันดับหนึ่งที่มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ของราชวงศ์เส้าหยวนอีกต่อไป แต่ถูกสถานศึกษาและสำนักศึกษาทุกแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมองเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างสมชื่อ
เจี่ยงกวนเฉิงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งร่วมเดินทางไปพร้อมกัน เดิมทีคิดจะป่าวประกาศถึงคุณูปการผลงานอันยิ่งใหญ่ของหลินจวินปี้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้ผู้คนในเมืองหลวงรับทราบโดยทั่วกัน คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมีความคิดนี้เกิดขึ้น งานเลี้ยงสุราเลิกราไป คืนนั้นก็ถูกบิดาที่โกรธจนหน้าเขียวเรียกไปที่ห้องหนังสือแล้วตำหนิอย่างรุนแรง ถามเขาว่าอยากจะโดนตัดชื่อออกจากศาลบรรพชนแล้วจากนั้นก็ถูกขับออกจากศาลบรรพจารย์ของสำนักหรืออย่างไร บิดาไม่ได้บอกเหตุผลอย่างละเอียด ถึงท้ายที่สุดเจี่ยงกวนเฉิงก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองทำผิดที่ตรงไหน ทั้งๆ ที่หวังดีทำเรื่องดี เหตุใดถึงได้เหมือนทำผิดร้ายแรงสมควรโดนประหารเลยเล่า? บิดาเอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า เหยียนลวี่ผู้นั้นเหมือนสุนัขรับใช้หลินจวินปี้มากกว่าเจ้าเสียอีก แต่เจ้าเคยเห็นเขาปากมากพูดอะไรเกินจำเป็นสักครึ่งคำไหม?
วันนี้มีแขกมาเยี่ยมเยือน คือจินเจินเมิ่งกับจูเหมย
ตอนอยู่บนสนามรบต่างบ้านต่างเมือง จินเจินเมิ่งเคยช่วยเหลือจูเหมยเอาไว้ หลินจวินปี้เองก็เคยช่วยนางเช่นกัน
นี่ไม่ใช่แค่การมีทุกข์ร่วมต้านอะไรแล้ว แต่เป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่แลกเปลี่ยนชีวิตตัดสินเป็นตายอย่างแท้จริง
การไปหาประสบการณ์ครั้งนั้นเปลี่ยนความประทับใจที่จูเหมยมีต่อหลินจวินปี้จากดีเป็นดีอย่างถึงที่สุด
แน่นอนว่าไม่ได้มีความรู้สึกฉันท์ชู้สาวอะไรกัน แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งมีการยอมรับจากใจจริงที่จูเหมยมีต่อหลินจวินปี้ ในสายตาของบุคคลยิ่งใหญ่บางคนแล้ว ข่าวลือบางอย่างของหลินจวินปี้จึงยิ่งน่าเชื่อถือ
พอหลินจวินปี้ได้ข่าวก็ชำเลืองตามองรองเท้าที่ถอดไว้ แต่ไม่ได้สวม คิดจะเดินเท้าเปล่าลงบันไดไปยังประตูเรือนหลังเล็ก แต่หลินจวินปี้ก็เกิดลังเลขึ้นมาอีก สุดท้ายก็เลือกสวมรองเท้าให้ดี จากนั้นก็แค่ไปยืนอยู่ที่ด้านล่างบันได รอให้คนทั้งสองโผล่หน้ามาตรงประตูแล้ว เขาถึงคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แขกที่หาได้ยาก แขกที่หาได้ยาก”
——