หลินจวินปี้ผายมือเอ่ยกับจินเจินเมิ่งว่า “ตามสัญญา เอาสุราดีมา”
จินเจินเมิ่งที่เวลาปกติไม่ชอบพูดคุยแย้มยิ้มกลับเอ่ยสัพยอกว่า “ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสเซียนดินของเจ้ามาเยี่ยมเจ้าก็ถือว่าให้หน้าเจ้ามากแล้ว ควรเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องเอาสุราดีมารับรองแขก”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “มีสุราๆ เหล้าทะเลสาบคนใบ้ที่ไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา มีขายแค่ที่ร้านนี้เท่านั้น ไม่มีสาขาอื่น!”
จูเหมยอารมณ์ดีอย่างมาก ทุกคนต่างก็เป็นคนราชวงศ์เส้าหยวนบ้านเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับระหว่างที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาอันที่จริงต่างกันราวฟ้ากับเหว แตกต่างกันมากแล้ว
ดังนั้นจูเหมยเองก็ยิ้มพูดอย่างมีความสุขว่า “จวินปี้ แม่นางที่พี่หญิงอวี้ช่วยแนะนำให้เจ้า ฝีมือการเล่นหมากล้อมเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? นางงดงามหรือไม่? เจ้าอยากจะเอาชนะหมากล้อมเลยลืมมองรูปโฉมของนาง หรือว่าเอาแต่มองรูปโฉมของแม่นางจนพ่ายแพ้ให้นางล่ะ?”
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝีมือเล่นหมากล้อมไม่เลว งดงามกว่าเจ้า”
จูเหมยยกนิ้วโป้ง “พี่จวินปี้ เป็นคนซื่อสัตย์!”
จูเหมย หลินจวินปี้และจินเจินเมิ่งพากันมานั่งลงในระเบียง จูเหมยกวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยว่า “ทัศนียภาพของที่แห่งนี้ไม่เลวเลยจริงๆ เหมาะแก่การสงบจิตใจฝึกตน”
หลินจวินปี้ชี้ไปยังสวนหินเฟิงสุ่ยสูงขนาดเท่าตัวคนที่มีไอหมอกแสงเรืองรองล้อมวนแล้วเอ่ยว่า “หินก้อนนี้ขุดมาจากก้นทะเลสาบเซิ่นหู มันทำให้กระเป๋าเงินของอาจารย์ข้าฟีบแบนเลยล่ะ”
อาจารย์ของหลินจวินปี้ผู้นี้คือราชครูแห่งราชวงศ์ใหญ่อันดับที่หกของใต้หล้าไพศาล เคยมีบุญคุณความแค้นที่ไม่เล็กกับสายเหวินเซิ่ง
ส่วนพวกบัณฑิตทั้งหลายในราชวงศ์เส้าหยวนก็เคยจับมือกันเดินทางข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำยาวไกลไปเยือนที่ตั้งของศาลบุ๋นแล้วทุบทำลายเทวรูปของเหวินเซิ่งที่ถูกย้ายออกมานอกศาลบุ๋นกับมือตัวเอง หลังกลับคืนสู่บ้านเกิด เส้นทางการเป็นขุนนางก็ราบรื่นเหมือนเดินขึ้นสู่สวรรค์ เพียงแต่ว่าส่งเทียบมายังจวนราชครูหลายครั้งล้วนไม่ได้รับการต้อนรับจากท่านราชครู กลับกลายเป็นว่าถูกซีหลูเซียนเซิงนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นที่เขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เป็นผู้ชี้แนะวิชาหมากล้อมให้ด้วยตัวเอง
จินเจินเมิ่งรับเอากาเหล้าที่หลินจวินปี้นำกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มา หลังดื่มเหล้าไปหนึ่งคำก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ต่อให้กลับบ้านเกิดมานานขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังมักจะรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลคนละโลกอยู่ดี ทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็จะเรียกกระบี่บินมาไว้ข้างตัวเสมอ เป็นเหตุให้การพัฒนาในการฝึกกระบี่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ยากจะฝ่าคอขวดไปได้ ผิดต่อปณิธานกระบี่เก่าแก่ที่ได้รับมาจากหัวกำแพงเมืองแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่ได้รับปณิธานกระบี่อันที่จริงมีไม่มาก จินเจินเมิ่งได้รับมาหนึ่งส่วน เหยียนลวี่เองก็ได้รับหนึ่งส่วน จูเหมยไม่ได้โชควาสนานี้ แต่หลินจวินปี้คนเดียวกลับทยอยได้รับมาถึงสามกลุ่ม นี่ยังเป็นเพราะว่าภายหลังหลินจวินปี้ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนแล้วโอกาสที่จะได้ออกจากหัวกำแพงเมืองมาเข่นฆ่ามีไม่มากด้วย ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าอาจจะได้รับปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์มาอีกหนึ่งเสี้ยว
จูเหมยเขินอายเล็กน้อย “ข้ายังดี มีแค่บางครั้งที่จะฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่น ภายหลังคนที่บ้านช่วยหาธูปหอมสงบใจมาให้ข้า ฝันร้ายก็เลยลดน้อยลง”
หลินจวินปี้จิบเหล้าหนึ่งอึก เอ่ยว่า “การที่ข้าอ้างว่าปิดด่านอยู่ที่นี่ก็หนีไม่พ้นเป็นวิธีการนั่งเก็บเกี่ยวชื่อเสียงอย่างหนึ่ง นี่ค่อนข้างจะน่าเบื่อ แต่หากจะให้ข้าออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปเข่นฆ่าอีกครั้งก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไรแล้วจริงๆ”
จินเจินเมิ่งถอนหายใจโล่งอก วันนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว หลินจวินปี้ยังคงเป็นหลินจวินปี้ในใจของเขา สุรานี้ดื่มได้อย่างสบายใจแล้ว จินเจินเมิ่งจึงแหงนหน้ากระดกดื่มอึกใหญ่ เช็ดปากแล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “น่าเสียดายที่อวี้เจวี้ยนฟูไปฝูเหยาทวีป ไม่อย่างนั้นก็คงนัดมาเจอเจ้าพร้อมกันแล้ว”
จูเหมยเอ่ยเบาๆ “ไหวเฉียนที่ชอบยิ้มหัวเราะทั้งวันผู้นั้น ดูเหมือนจะติดตามไจ้ซีไจ้ซีของข้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปด้วย”
หลินจวินปี้คือผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนแรกที่ออกมาจากคฤหาสน์หลบร้อนก่อนใคร
เติ้งเหลียง เฉากุ่น เสวียนเซินต่างก็ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ช้ากว่าเขา
เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามที่พวกเขากลับคืนสู่บ้านเกิดได้ออกจากภูเขาห้อยหัวมาพร้อมกับผู้อาวุโสเซียนกระบี่คนบ้านเดียวกันหรือไม่ ข้างกายได้นำพาตัวอ่อนเซียนกระบี่คนสองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาด้วยหรือไม่
น่าเสียดายที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นทุกท่านที่พอกลับมาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวหรือคำพูดใด พวกเขาเองก็ไม่ต่างจากหลินจวินปี้ที่เลือกจะไม่พูดถึงสงครามที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แม้แต่ครึ่งคำ
หลินจวินปี้สลายความคิดวุ่นวายในใจทิ้งไป แล้วก็จงใจกดเสียงกระซิบเบาๆ เลียนแบบจูเหมย “ไหวเฉียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้นรูปโฉมเป็นอย่างไร เจ้าหวั่นไหวหรือไม่?”
จูเหมยแกว่งกาเหล้า ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เห็นหลินจวินปี้มาบ่อยเข้า พอไปมองบุรุษคนอื่นก็ล้วนรูปโฉมธรรมดากันไปหมดแล้ว”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “รอเจ้าได้เจอเฉาสือก่อนค่อยพูดประโยคนี้อีกทีนะ”
จูเหมยไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างสุดแสน “น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอ วันหน้าข้าจะต้องลากเอาไจ้ซีไจ้ซีไปเที่ยวที่ราชวงศ์ต้าตวนด้วยกันสักรอบให้ได้ ไปพบเฉาสือชุดขาวผู้นั้นก่อน แล้วค่อยไปพบเทพีสงครามเผย!”
จินเจินเมิ่งพลันรู้สึกลำบากใจ ลังเลอยู่นานก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “จวินปี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าซือถูเหว่ยหรันไปอยู่ที่ไหน? ใต้หล้าแห่งที่ห้าหรือ? หากสามารถพูดได้ เจ้าก็บอกข้าหน่อยเถอะ แต่หากเกี่ยวพันกับความลับของคฤหาสน์หลบร้อน เจ้าก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม”
หลินจวินปี้ส่ายหน้า “เกี่ยวกับซือถูเหว่ยหรัน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปที่ไหนกันแน่ แต่ข้าสามารถลองถามแทนเจ้าได้ ก่อนหน้านี้ไม่นานอาจารย์พูดถึงเรื่องหนึ่ง ทุกวันนี้เฉินซานชิวกับเตี๋ยจ้างต่างก็อยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพิ่งจะไปเยือนสถานศึกษาหลี่จี้มา”
จินเจินเมิ่งชูกาเหล้า เอ่ยขอบคุณหลินจวินปี้
จูเหมยเอ่ย “จวินปี้ แล้วใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเจ้าล่ะ? ก่อนหน้านี้เกิดภาพปรากฎการณ์ของโชคชะตาบู๊ ความเคลื่อนไหวนั้นยิ่งใหญ่มาก พวกมันต่างก็พากันพุ่งไปยังที่ตั้งเก่าของภูเขาห้อยหัว ดังนั้นตอนนี้จึงมีข่าวลือมากมาย บ้างก็บอกว่าตอนนี้ทั้งสองใต้หล้าเชื่อมโยงถึงกัน หากผู้ฝึกยุทธคิดอยากจะฝ่าทะลุขอบเขตด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดก็จะยิ่งยากมากขึ้น เฉินผิงอันผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? คงไม่ใช่เขาหรอกกระมัง แต่นี่ก็ฟังไม่ขึ้นเลยนะ กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตกไปแล้วแท้ๆ”
หลินจวินปี้เงียบไปนาน ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
……
กลางอากาศเหนือภาคกลางของใบถงทวีป บนเรือวิเศษหลิวเสียที่มีมูลค่าควรเมืองลำหนึ่ง ผู้ถวายงานสกุลเจียงขอบเขตหยกดิบที่ยอมเหน็ดเหนื่อยทำงานโดยไม่มีปริปากบ่นนั่งอยู่ร่วมกันสตรีสองคนที่รูปโฉมต่างก็งามพิลาส
นอกจากนี้บนหัวเรืออีกฝั่งหนึ่งยังมีบุรุษชุดดำรูปโฉมอ่อนเยาว์คนหนึ่งนอนอยู่ นามว่าเฉาจวิ้น ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีมานานหลายปีแล้ว
สตรีสองคนนี้ก็คือสุยโย่วเปียนที่เดินทางจากสำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยนมายังใบถงทวีป ตอนนี้ในมือของนางถือร่มกระดาษน้ำมันด้ามต้นอู๋ถงคันเล็ก และยังมียาเอ๋อร์ที่ทำหน้าที่เป็นสาวใช้เจียงซ่างเจินมานานหลายปี
นี่คือทางเข้าพื้นที่มงคลรากบัว
ร่มใบถงนี้เป็นชุยตงซานที่มอบให้สุยโย่วเปียนกับมือตัวเองพร้อมด้วยจดหมายลับฉบับหนึ่งที่บอกให้สุยโย่วเปียนนำมามอบให้เจียงซ่างเจิน
ข้างกายสุยโย่วเปียนคือยาเอ๋อร์ สตรีที่ในอดีตเคยอยู่ข้างกายมารร้ายติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัว นางติดตาม ‘โจวเฝย’ ‘บินทะยาน’ ออกมาจากพื้นที่มงคลพร้อมกัน
ปีนั้นเมื่อเสียงกลองสวรรค์ดังกังวานหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแห่งตำหนักคลื่นวสันต์กับลู่ฝ่าง ‘เซียนกระบี่’ แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นก็รีบร้อนพากันออกมาจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเฉินผิงอันที่มีสถานะเป็นเจ๋อเซียนอาฆาตแค้นตามมาไล่ฆ่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ตำหนักคลื่นวสันต์และยอดเขาเหนี่ยวคั่นต่างก็ยังดำรงอยู่ ทว่าทุกวันนี้โจวซื่อกับลู่ฝ่างกลับไม่อยู่ในพื้นที่มงคลแล้ว
ก่อนหน้านี้ยาเอ๋อร์กลับคืนมายังสถานที่แห่งเดิมนี้อยู่หลายครั้ง เพียงแต่ว่ามีภาระหน้าที่ติดตัว นางจึงยังต้องคอยติดตามผู้ถวายงานสกุลเจียงและสุยโย่วเปียนออกไปคลายตราผนึกของพื้นที่มงคลเพื่อรับชาวบ้านลี้ภัยมาด้วยกัน
คนบ้านเดียวกันที่หวนกลับคืนสู่พื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตพร้อมกับนาง อันที่จริงยังมีอีกคน เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน ทุกวันนี้เขาก็อยู่ที่เมืองหลวง จากนั้นก็ไม่เคยจากมาอีกเลย
และยังมีคนในยุทธภพอีกสองคนที่มาจากราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีป คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มขาเป๋ที่รู้จักสังเกตสีหน้าคำพูดคนอื่น อีกคนหนึ่งผู้เฒ่าหลังค่อมพูดน้อย มีฉายาว่าท่านปู่สาม
รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ที่เหมือนบุรุษเจ้าสำราญ ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นยาวสองเล่ม เขามีดวงตาดอกท้อที่เหมือนดวงตาของสตรี ในสายตาของยาเอ๋อร์ เจ้าคนที่ชื่อเฉาจวิ้นผู้นี้เนื้อหนังมังสาไม่เลวเลยจริงๆ ก็แค่ปากเสียไปหน่อย มาจากทักษินาตยทวีป แต่หากสืบสาวไปถึงบ้านเกิดกลับเป็นคนของถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งใบถงทวีป ปากคอยพร่ำพูดว่าบ้านบรรพบุรุษของข้าอยู่ในตรอกหนีผิง ยาเอ๋อร์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิงจะมีค่าอะไรให้เอามาพูดนักหนา นางแค่เคยได้ยินมาว่าหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่นั้นมาจากตรอกซิ่งฮวาของถ้ำสวรรค์หลีจู
นางเคยปลุกความกล้าถามเว่ยเซี่ยนเป็นการส่วนตัว แต่กลับไม่ได้คำตอบใดๆ
สำหรับยาเอ๋อร์แล้ว เว่ยเซี่ยน สุยโย่วเปียนต่างก็เป็น ‘คนโบราณ’ อย่างจริงแท้แน่นอน ยิ่งเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของประวัติศาสตร์พื้นที่มงคลดอกบัว ดังนั้นต่อให้จะอยู่ข้างกายเจียงซ่างเจินมานานหลายปี นางก็ยังมีใจเคารพยำเกรงคนทั้งสองอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากที่คนกลุ่มของพวกเขามาถึงพื้นที่มงคลรากบัวเป็นครั้งแรกก็ติดตามเว่ยเซี่ยนไปที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมารอบหนึ่ง
ภาพบรรยากาศในตอนนั้นจะแปลกประหลาดสักเพียงใด แค่คิดก็รู้ได้แล้ว
ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นที่ไม่รู้ว่าตายไปแล้วกี่ปีตรงดิ่งไปที่ท้องพระโรงใหญ่ นั่งยองอยู่ข้างเก้าอี้มังกรเดี๋ยวเคาะเดี๋ยวจับ หันหลังให้ลูกหลานสองคนที่ห่างกันหลายชั่วคน
คนที่ลี้ภัยมา ก่อนหน้านี้ได้ถูกเจียงซ่างเจินแบ่งออกเป็นสองกลุ่มแล้วพาไปอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว
เว่ยเซี่ยน สุยโย่วเปียน ยาเอ๋อร์และเฉาจวิ้น รวมไปถึงวิญญาณหยินประหลาดตนหนึ่งที่คอยปกป้องมรรคาให้เฉาจวิ้นอย่างลับๆ และยังมีคนของต้าเฉวียนสองคนที่สามารถมองข้ามไม่นับรวมคู่นั้น
นอกจากนี้ก็ยังมีลูกหลานสกุลเจียงกลุ่มหนึ่งที่ช่วยกันจับตามองชาวบ้านลี้ภัยกลุ่มใหญ่ที่กรูกันเข้าไปในพื้นที่มงคลรากบัว
กลุ่มหนึ่งคือชาวบ้านล่างภูเขาที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาย้ายถิ่นฐานไปทางเหนือโดยไม่สนใจสิ่งใด อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ฝึกตนบนภูเขาพร้อมด้วยลูกหลานและสตรีในครอบครัวของพวกเขา
ฝ่ายแรกเข้ามาหลบภัยในพื้นที่มงคล ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเหรียญทองแดงสักเหรียญ
ฝ่ายหลังกลับอนาถมาก ไม่อยากรีบร้อนออกเดินทาง ไม่ต้องนั่งเรือข้ามทะเลไปยังแจกันสมบัติทวีป จากนั้นไม่ทันระวังจึงตายอยู่กลางทาง ก็ง่ายเลย แค่จ่ายเงิน เงินเทพเซียนก้อนใหญ่ นับตามจำนวนคน แล้วค่อยคิดตามขอบเขต ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างจ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญทุกคน เทพเซียนห้าขอบเขตกลางแต่ละคนต้องจ่ายด้วยเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ ไม่มีเงินก็ไปขอยืมจากคนอื่น หากยังไม่มีเงินอีกก็ไสหัวไป ใครกล้าบุกเข้าไปในพื้นที่มงคลจะต้องถูกสำนักกุยหยกและผู้ถวายงานของสกุลเจียงซ้อมให้ร่อแร่ปางตายก่อน จากนั้นถึงโยนไปทิ้งให้ไกล ตามคำกล่าวของเจียงซ่างเจิน เงินค่าผ่านทางก้อนนี้คือเงินซื้อชีวิตอย่างแท้จริง เทพเซียนท่านหนึ่งที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาจะมีค่าเทียบกับเงินร้อนน้อย เงินฝนธัญพืชสักเหรียญไม่ได้เลยหรือ?
แต่ขอแค่เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ต่อให้จ่ายเงินมากแค่ไหน พื้นที่มงคลก็ไม่รับเอาไว้
นอกจากนี้พวกขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินา อัครเสนาบดีหรือแม่ทัพทั้งหลายของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หากคิดจะเข้ามาหลบภัยในพื้นที่มงคล ก็ต้องจ่ายเงินไปตามสถานะที่แตกต่างกัน ราคานั้นคิดตามลำดับขั้นในวงการขุนนาง ไม่มีเงินเทพเซียน? ก็ไปขอยืมจากสหายเทพเซียนบนภูเขา ยืมไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาของนอกกายทั้งหลายมาหักลบกัน ในบรรดาลูกหลานสกุลเจียงมีคนที่มองของออก พวกของโบราณหายาก อักษรภาพที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ความลับในวังหลวง ล้วนถือเป็นเงินทั้งหมด หากปกปิดสถานะจนเกินกว่าเหตุ ยกตัวอย่างเช่นทั้งๆ ที่เป็นลูกหลานมังกร เป็นชนชั้นสูง แต่กลับบอกว่าตัวเองมาจากครอบครัวที่แค่พอจะมีกินในหมู่ชาวบ้าน ถ้าอย่างนั้นหากถูกจับได้ก็จะถูกโยนออกไปจากพื้นที่มงคลโดยตรง แน่นอนว่าต้องทิ้งทรัพย์สินเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ให้เจ้าได้ไปหาประสบการณ์ในพื้นที่มงคลก่อนรอบหนึ่ง ชื่นชมขุนเขาสายน้ำที่งดงามเสียให้เต็มอิ่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินดีไหมล่ะ?
แถบพื้นที่รกร้างห่างไกลสองแห่งนอกชานเมืองพื้นที่มงคลรากบัว เจียงซ่างเจินได้แบ่งให้เป็นพื้นที่อิทธิพลใหญ่สองแห่งมานานแล้ว ระหว่างสถานที่ทั้งสองแห่งนี้อยู่ห่างกันไกลมาก อีกทั้งยังให้สำนักกุยหยกและผู้ถวายงานสองคนของสกุลเจียงแยกกันร่ายตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำเอาไว้ พยายามสกัดกั้นฟ้าดินให้ได้มากที่สุด ป้องกันไม่ให้ปราณวิญญาณฟ้าดินของพื้นที่มงคลถูกพวกผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นดึงเอาไป แล้วก็พยายามให้มนุษย์ธรรมดาที่เข้ามาที่นี่สัมผัสโดนโชคชะตาของพื้นที่มงคลให้น้อยที่สุด แม้จะบอกว่าไม่อาจขัดขวางการไหลเวียนของโชคชะตาและปราณวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อมีตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำ อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่เว่ยป้อและหมี่อวี้เป็นกังวลมากนัก
สถานที่แห่งหนึ่งในนั้น ทางแคว้นหนันเยวี่ยนได้โยกย้ายกองทัพม้าเหล็กหนึ่งหมื่นกว่านายอย่างลับๆ ให้คอยตรวจตราลาดตระเวนริมชายแดน เว่ยเซี่ยนเป็นคนนำทัพด้วยตัวเอง แต่สถานะที่ป่าวประกาศแก่คนนอกกลับเป็นแค่ทหารบู๊ที่มารับตำแหน่งใหม่คนหนึ่งเท่านั้น
ใช่ว่าจะไม่มีผู้ฝึกลมปราณที่พอรู้ว่าพวกมดล่างภูเขาทั้งหลายเข้ามาในพื้นที่มงคลได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน จึงเริ่มอาละวาดโวยวาย
จุดที่เจียงซ่างเจินทำให้ใจคนเยียบเย็นได้มากที่สุด อยู่ที่ว่าพอได้เงินมาแล้วกลับไม่บอกกฎตั้งแต่แรก หลังจากที่ผู้ถวายงานก่อกำเนิดสองคนและลูกหลานสกุลเจียงกลุ่มหนึ่งสังหารผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ไปแล้วถึงได้เริ่มป่าวประกาศกฎเกณฑ์สองข้อที่พูดให้ดูดีว่าเป็นการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
ข้อแรกไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนใด เข้ามาในพื้นที่มงคลแล้ว หลังจากมีชีวิตรอดก็ต้องรู้จักถนอมชีวิตให้ดี อย่าได้เพ่นพ่านส่งเดช ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนตาย ใครที่กล้าออกนอกอาณาเขต ไปมีเรื่องกับคนในท้องถิ่นของพื้นที่มงคลโดยพลการ จะไม่ถามหาสาเหตุ แต่จะถูกสังหารทิ้งทั้งหมด
กฎข้อที่สองก็คือ นายท่านเทพเซียนทุกคนที่ด่าผู้มีพระคุณเช่นข้าเจียงซ่างเจิน ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าใช้ความแค้นตอบแทนคุณธรรมแล้ว ไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ ย่อมต้องตาย
กฎข้อสุดท้ายไม่ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ ใครที่คิดจะแก้แค้น ให้มาหาข้าเจียงซ่างเจินที่สำนักกุยหยก ขอร้องให้พวกเจ้ามา
——