ตอนที่ 1864 หากคนเราไม่พยายามตะเกียกตะกาย ฟ้าดินก็ไม่อาจปรานี
สวีจื่อเซวียนลังเลอยู่นานไม่กล้าเดินเข้าไปที่สำนักทะเบียน เธอยังทำใจไม่ได้ที่จะยื่นหนังสือพักการเรียน
เจียงจื้อหรู่ไม่เห็นด้วยที่เธอจะพักการเรียน เพราะเรื่องนี้เธอกับเจียงจือหรู่จึงกำลังทำสงครามเย็นกันอยู่ หนำซ้ำเจียงจื้อหรู่ก็ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว นั่นยิ่งทำให้สวีจื่อเสวียนยิ่งหวาดกลัว
เพราะตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว
ความงาม ความบริสุทธิ์ ความแข็งแรง…และความสามารถของเธอหมดลงเหมือนดั่งบ่อน้ำที่เหือดแห้ง เขียนบทกวีที่ยอดเยี่ยมไม่ได้อีกแล้ว
เธอเหลือแค่เจียงจื้อหรู่แล้ว!
ถังม่านลี่เห็นสวีจื่อเซวียนที่เดินวกไปวนมาอยู่หน้าสำนักทะเบียน แววตาพลันเป็นประกาย เธอกัดริมฝีปาก พร้อมกับเดินเข้าไปหา
“สวีจื่อเซวียน เธอแต่งงานกับอาจารย์เจียงแล้วเหรอ?” ถังม่านลี่ลากเธอไปที่ลับตาแล้วถามขึ้นเสียงเบา
“ยัง…ไม่ได้…ตอนนี้ฉันเป็นนักศึกษาอยู่ จะแต่งงานได้อย่างไร?” สวีจื่อเซวียนพูดอย่างเหนียมอาย แต่ในใจกลับเจ็บปวด
ถังม่านลี่ถอนหายใจเกินจริงไปหน่อย จงใจพูดว่า “เธอนี่โง่จริง ๆเลย ถ้าเป็นนักศึกษาแล้วแต่งงานไม่ได้ งั้นก็พักการเรียนไปสิ ถ้าเป็นฉันเจอผู้ชายดี ๆอย่างอาจารย์เจียง ต้องรีบเกาะเอาไว้แน่น ๆ เธอไม่เห็นเหรอว่าข้างนอกมีผู้หญิงอีกตั้งเท่าไรที่จ้องจะจับอาจารย์เจียงของเธออยู่!”
สวีจื่อเซวียนรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที แต่ปากกลับไม่พูดอย่างที่คิด “จะเป็นไปได้ไง อาจารย์เจียงไม่ใช่เด็กวัยหนุ่มสักหน่อย”
ถังม่านลี่หัวเราะเยาะ “ไม่มีใครสนใจคนวัยหนุ่มหรอกนะ อาจารย์เจียงเพิ่งจะสี่สิบต้น ๆ มีหน้ามีตาในหน้าที่การงาน คนในครอบครัวล้วนเป็นข้าราชการ และเขาก็ยังมีหอนิทรรศการนั่นอีกด้วย แต่งงานกับผู้ชายอย่างอาจารย์เจียง มีตำแหน่งเศรษฐีนีให้พร้อม ผู้หญิงคนไหนจะไม่ยอมบ้างล่ะ?”
สวีจื่อเซวียนรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ คำพูดของถังม่านลี่แทงจุดอ่อนของเธอเข้า เธอจึงเชื่ออย่างสนิทใจ
“แต่มันไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ ฉันทำใจไม่ได้…แล้วพ่อของฉันก็คงจะโกรธเอามาก…”
จากตอนแรกที่สวีจื่อเสวียนเกิดลังเลและย้อนแย้ง ตอนนี้กลับเปิดใจง่าย ๆและพูดในสิ่งที่เธอคิดออกมา
ถังม่านลี่แอบลอบด่าว่าโง่ แต่ใบหน้ากลับยิ้มระรื่น “เธอนี่มันโง่จริง ๆ ฉันถามเธอหน่อย เป้าหมายที่เธอสอบเข้ามาในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงคืออะไร? คงไม่ใช่เพราะความสำเร็จแค่นั้นมั้ง แต่เธอไปถามคนอื่นดูสิว่าคนที่เรียนวาดภาพอย่างเรา ๆ มีสักกี่คนที่ได้ดีกว่าคนอื่น อย่างมากก็เป็นได้แค่ครูจน ๆที่ต้องรับเงินเดือนน้อยนิดไปตลอดชีวิต”
ใบหน้าของสวีจื่อเซวียนกระตุก พ่อของเธอก็คือครูจน ๆแบบนั้น แม้แต่เสื้อผ้าสวย ๆก็ยังซื้อให้ภรรยาไม่ได้ เพราะงั้นแม่ของเธอถึงได้หนีไปมีความสุขกับชายอื่นไง
ถังม่านลี่กล่าวยุแหย่ต่อ “แต่ถ้าเธอแต่งงานกับอาจารย์เจียงก็ไม่เหมือนกันแล้ว อาจารย์เจียงมีเส้นสาย เธอทั้งสวยและมีพรสวรรค์ แต่แค่ไม่มีประกาศนียบัตรจะเป็นไรไป? ในสังคมปัจจุบันใช้แค่เส้นสาย ประกาศนียบัตรไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”
สวีจื่อเซวียนมีท่าทีผ่อนคลายลงมาก แววตาค่อย ๆแน่วแน่ขึ้นมา
ก็เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่เหรอ ทั้ง ๆที่พรสวรรค์ของจ้าวเหมยด้อยกว่าเธอแท้ ๆ แต่เพราะมีคู่หมั้นที่เป็นข้าราชการ เรื่องดี ๆที่ได้หน้าล้วนตกเป็นของจ้าวเหมยทุกเรื่อง ไม่เคยมีอะไรตกมาถึงเธอเลย
ถังม่านลี่พูดต่อว่า “ส่วนพ่อเธอยิ่งไม่ต้องกังวล แค่เธอประสบความสำเร็จ พ่อเธอจะไม่ดีใจเหรอ? ฉันว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจับอาจารย์เจียงมาให้ได้ ถ้าปล่อยให้หมาคาบไปละก็เธอร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว!”
สวีจื่อเซวียนจมดิ่งอยู่กับความคิด เจียงจื้อหรู่เป็นของเธอ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามแย่งไปทั้งนั้น!
เธอตัดสินใจแล้ว!
“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจเธอมากนะ!” สวีจื่อเซวียนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ถังม่านลี่เป็นดั่งแสงไฟที่ส่องนำทางให้เธอ ส่องทางเดินให้เธอก้าวเดินไปข้างหน้า
ถังม่านลี่ไม่กล้าสบตาเธอจึงหลบสายตา “ขอบใจอะไรล่ะ ถึงอย่างไรเราสองคนก็เป็นเพื่อนที่เคยเผชิญเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันนี่นา!”
เมื่อเห็นว่าสวีจื่อเซวียนเดินเข้าไปในสำนักทะเบียนทำการยื่นหนังสือพักการเรียนเรียบร้อยแล้ว ถังม่านลี่ถึงได้โล่งใจ ในดวงตาฉายแววละอายใจขึ้นมาแต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
เธอเดินไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะแล้วกดโทรออก “คุณนายเจียงคะ สวีจื่อเซวียนยื่นหนังสือพักการเรียนแล้วค่ะ”
“ดีมาก เธอวางใจเถอะ เธอจะต้องเรียนจบอย่างสงบสุขแน่นอน”
ถังม่านลี่ถึงโล่งอกพิงตู้โทรศัพท์แหงนมองท้องฟ้า หากคนเราไม่พยายามตะเกียกตะกายฟ้าดินก็ไม่อาจปรานี เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
……………………………………………………….
ตอนที่ 1865 สีสันแห่งความเศร้าโศก
หนังสือพักการเรียนของสวีจื่อเซวียนสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ให้สำนักทะเบียน หัวหน้าสำนักทะเบียนรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับอาจารย์เจียงจึงไม่ค่อยชอบใจเธอนัก แต่ก็ยังช่วยพูดเกลี้ยกล่อมเธอไว้ เพียงแต่สวีจื่อเซวียนในตอนนี้ลุ่มหลงจนสูญเสียความเป็นตัวเอง ใจหวังแต่จะแต่งงานกับอาจารย์เจียง ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนแย่งเขาไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมเลย
“เธอกลับไปคิดทบทวนดูดี ๆ ปรึกษากับครอบครัวและพ่อแม่เสียก่อน หนังสือพักการเรียนฉบับนี้ฉันจะช่วยเก็บไว้ให้” หัวหน้าสำนักทะเบียนเอ่ยอย่างนึกเสียดาย
จากเด็กที่มีอนาคตไกลแท้ ๆ ในตอนนี้กลับแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา สูญเสียสติปัญญาที่เคยมี ช่างน่าเสียดายเด็กที่มีพรสวรรค์ดี ๆคนหนึ่ง!
เส้นทางที่ถูกครรลองคลองธรรมมีให้ไม่เดิน กลับพาตัวเองไปเดินบนทางตัน!
กู่อย่างไรก็กู่ไม่กลับแล้ว!
หัวหน้าสำนักทะเบียนเป็นคุณป้าหน้าตาค่อนข้างโหด บรรดานักเรียนพากันเกรงกลัวเธอ แต่ในความเป็นจริงเธอคืออาจารย์ที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่สูง ผลิตเด็กอัจฉริยะออกมาให้ประเทศหลายต่อหลายรุ่น ตอนนี้เธอก็อยากจะให้โอกาสกับสวีจื่อเซวียน ให้เธอคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่าได้ตัดสินใจทำลายชีวิตของตัวเองง่าย ๆ
แต่สวีจื่อเซวียนกลับไม่รู้ซึ้งถึงน้ำใจเลยสักนิด แสดงออกอย่างแน่วแน่พูดแค่ว่าเธอไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจนี้ วัวสิบตัวก็ฉุดไว้ไม่อยู่
เดิมทีหลังจากลงทะเบียนเสร็จสรรพเหมยเหมยหมายจะกลับหอพักไปจัดเก็บเครื่องนอน แต่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อกลับอยากดูอะไรสนุก ๆเธอจึงต้องอยู่ด้วย เธอเห็นสวีจื่อเซวียนยืนอาลัยอาวรณ์อยู่ตรงทางเข้าสำนักทะเบียนก็นึกว่าอาจเปลี่ยนความคิดแล้ว
แต่หลังจากถูกถังม่านลี่ลากตัวไปคุยด้วยสิบกว่านาที ก็ไม่รู้ว่ายัยนั่นไปกินยาอะไรเข้าถึงได้หัวรั้นแน่วแน่เสียยิ่งกะไร จนทำทีเมินเฉยต่อความหวังดีของหัวหน้าสำนักทะเบียน
“แม่เจ้า…สมงสมองต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆร้อยเปอร์เซ็นต์!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโมโหที่หล่อนไม่เห็นถึงความหวังดีสักทีจึงกัดฟันดังกรอด
เหมยเหมยมองบนใส่เธอ “เส้นทางเป็นของตนเอง เธอกังวลแล้วได้อะไร? ไปกันเถอะ มีอะไรให้น่าดูกัน”
เธอลากแม่สองสาวผู้หวังดีกลับหอพัก คนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอย่างสวีจื่อเซวียนเธอเข้าใจทะลุปรุโปร่งเลยล่ะ ช่วยเหลือเธอไว้ถึงสองครั้งสองครา คำขอบคุณสักคำยังไม่เคยได้ยินเลย เธอจำฝังใจไปเสียแล้ว
ต่อจากนี้ไปแม้ต้องมาตายอยู่ตรงหน้าเธอ เธอก็จะไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก!
แม้ว่าฉีฉีเก๋อกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะขุ่นเคืองและผิดหวังอยู่บ้าง ซ้ำยังสงสารต่อความโชคร้ายของสวีจื่อเซวียน แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก การลักพาตัวของเฉินหมิงในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนทำให้พวกเธอได้รับบทเรียนอย่างแท้จริง ไม่กล้าหวังดีพร่ำเพรื่ออีกแล้ว
“ถ้าพ่อของสวีจื่อเซวียนรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะโกรธแค่ไหน!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดเสียงเบา
ชายร่างบางที่เป็นคนไม่ค่อยชอบพูดนัก แม้จะแต่งตัวได้แย่ เงินทองมีน้อย แต่กลับรักลูกสาวอย่างสุดหัวใจ อาหารดี ๆมักจะเก็บไว้ให้สวีจื่อเซวียนเสมอ ไม่เหมือนพ่อของเธอ มีเงินเยอะแต่มักจะรังเกียจที่เธอไม่ใช่ลูกชาย แทงใจดำเธอด้วยการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลูกชายมา
เหมยเหมยเองก็นึกถึงพ่อของสวีจื่อเซวียนขึ้นมาเช่นกัน ครูผู้สุจริตยากจนคนหนึ่งแต่ก็เป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน
“เรื่องของครอบครัวคนอื่นเราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก แต่ถ้าสวีจื่อเซวียนแต่งงานกับเจียงจื้อหรู่จริง ๆ อนาคตคงจะไม่ได้ย่ำแย่นัก แต่เกรงว่า…”
เหมยเหมยไม่ได้พูดให้จบประโยค บนตัวของสวีจื่อเซวียนเธอเห็นเพียงแค่สีสันแห่งความเศร้าโศก มองไม่เห็นแสงสว่างเลยสักนิด เธอรู้เพียงแค่ว่าการที่สวีจื่อเซวียนจะแต่งงานกับเจียงจื้อหรู่มันไม่ง่ายขนาดนั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเจียงจะเห็นด้วยหรือไม่หรอก เอาแค่คุณนายเจียงจะยอมหรือเปล่า?
ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ทำขนาดนี้
ฉีฉีเก๋อได้ฟังก็นึกแปลกใจ “สวีจื่อเซวียนต้องได้แต่งงานกลับอาจารย์สิ อาจารย์เจียงยอมหย่าก็เพราะเธอเลยไม่ใช่เหรอ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะเยาะ “มันก็ไม่แน่หรอก ถึงแม้ตระกูลเจียงจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไร แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กนะ คนอย่างแม่สวีจื่อเซวียนนั่นคนตระกูลเจียงไม่มีทางยอมรับหรอก”
……………………………………………………………………..