บทที่ 699.4 ต้องการถามหมัด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กว่าเผยเฉียนจะได้ลงจากภูเขามาไม่ใช่เรื่องง่าย นางรู้สึกมึนงงเล็กน้อย หญิงชราอ่อนโยนและกระตือรือร้นเกินไปแล้ว

หญิงชราเดินมาส่งจนถึงตีนเขา นางจูงมือของเด็กสาวพลางตบหลังมือเบาๆ กำชับเผยเฉียนว่าวันหน้าไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไรก็ต้องกลับมาเยี่ยมหญิงชราผู้โดดเดี่ยวเช่นนางบ่อยๆ อีกทั้งนางยังจะต้องเตรียมของขวัญไว้รอให้เผยเฉียนเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง ขอบเขตเดินทางไกลแต่เนิ่นๆ ทางที่ดีที่สุดเผยเฉียนควรจะรีบฝ่าทะลุขอบเขต อย่าให้หญิงชราอย่างนางต้องรอนาน

เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย บอกว่าคาดว่าคงต้องรออีกสองสามปีถึงจะฝ่าทะลุขอบเขตได้ ทำเอาหญิงชราหัวเราะปากกว้าง พูดติดต่อกันว่าดีๆๆ

เด็กสาวไม่รู้ถึงน้ำหนักของคำพูดที่ ‘ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ’ ของตัวเองนี้ แต่หญิงชรากลับทั้งตื่นตะลึงและทั้งปลาบปลื้มใจ

เผยเฉียนไปที่เรือนจ้าวเย่ฉ่าว แต่ว่าเซียนซือถังซีไม่ได้อยู่บนภูเขา เขาไปร่วมงานเลี้ยงในราชสำนักที่ราชวงศ์ต้ากวานเป็นผู้จัด นอกจากนี้ยังต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาสายน้ำครั้งหนึ่งด้วย

เพราะเรือนจ้าวเย่ฉ่าวกับตระกูลเว่ยจวนเถี่ยชงได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันแล้ว ถังชิงชิงบุตรสาวสายตรงของถังซีเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสวนน้ำค้างวสันต์กับคุณชายตระกูลเว่ยกลายเป็นคู่รักบนภูเขา ฮ่องเต้มาร่วมงานแต่งงานด้วยตัวเอง ภายใต้การยอมรับโดยปริยายของถานหลิงเจ้าภูเขาของสวนน้ำค้างวสันต์ การค้าระหว่างถังซีกับราชวงศ์ต้ากวานจึงยิ่งมีการไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

เผยเฉียนถึงได้กลับไปยังถนนเหล่าไหว

หลิ่วจื้อชิงอยู่ที่ร้านผีฝูเพียงลำพัง กำลังพลิกเปิดสมุดบัญชีเพื่อตรวจสอบ

เซียนกระบี่หลิ่วในทุกวันนี้ไม่ได้ต่อต้านกิจธุระในโลกมนุษย์เท่าใดแล้ว

ตัวแทนเถ้าแก่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเซียนกระบี่หลิ่วกับเถ้าแก่เฉินเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่รู้สึกสักนิดว่านี่เป็นการละเมิดกฎ

เพราะถึงอย่างไรสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ เรื่องที่เซียนกระบี่หนุ่มทั้งสองคนนั่งดื่มชาถามมรรคาร่วมกันที่หน้าผาอวี้อิ๋งก็กลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามของสวนน้ำค้างวสันต์ที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาแคว้นใกล้เคียงหลายสิบแคว้นยกมาพูดถึงอย่างออกรสออกชาติมากที่สุด

ตัวแทนเถ้าแก่คือผู้ฝึกตนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากเรือนจ้าวเย่ฉ่าว นามว่าหวังถิงฟาง ทุกวันนี้ยังมีลูกจ้างหนุ่มเพิ่มมาอีกคน คือคนที่เคยทำการค้าเล็กๆ โดยการสลักตราประทับหินหยกของหน้าผาอวี้อิ๋งให้กับเซียนกระบี่เฉิน ภายหลังจึงถูกหวังถิงฟางดึงตัวมาอยู่ด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรหวังถิงฟางที่เจอกับคอขวดของการฝึกตนก็ไม่สามารถอยู่เฝ้าร้านตลอดทั้งปีได้ บางครั้งก็ยังจำเป็นต้องกลับไปตั้งใจฝึกตนที่เรือนจ้าวเย่ฉ่าวด้วย

ก่อนหน้านี้วัตถุสองชิ้นที่เป็นสมบัติพิทักษ์ร้าน ชิ้นหนึ่งคือกำไลหยกสลักบทกลอนที่มีภาพบรรยากาศของ ‘ไฟในน้ำ’ และยังมีกระจกโบราณกำจัดเสนียดชั่วร้ายที่ ‘วังหลวงเป็นผู้สร้าง’ ก็ได้ถูกหวังถิงฟางโก่งราคาขายออกไปในราคาสูงแล้ว

ร้านไม่ใหญ่ กิจการไม่เล็ก ลูกค้าไม่มาก ได้เงินมาไม่น้อย

ได้ยินว่าเซียนกระบี่หลิ่วกลับมายังสวนน้ำค้างวสันต์อีกครั้ง กิจการของที่ร้านก็ขายดีเทน้ำเทท่าทันที ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีคนเข้ามาเต็มร้าน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรี แต่ละคนจ่ายเงินมือเติบ ไม่เห็นเงินเป็นเงินเลยแม้แต่น้อย

พวกนางชำเลืองตามองเซียนกระบี่หลิ่วแวบหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่หายอยาก ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อของบนภูเขาเพิ่มอีกสักชิ้น จะได้มองเซียนกระบี่ที่หล่อเหลาจนไร้เหตุผลให้มากหน่อย ถึงอย่างไรราคาก็ไม่แพง อีกทั้งยังถือว่าเป็นราคาที่ยุติธรรม ร้านบนถนนเหล่าไหวมีมากมายขนาดนั้น ใช้เงินที่ไหนไม่ใช่การใช้เงินบ้างเล่า? อีกอย่างวัตถุบนภูเขาของร้านผีฝูแห่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ประณีตงดงาม มีกลิ่นอายของสตรีค่อนข้างเข้มข้น เป็นมิตรต่อสตรีผู้ฝึกตนบนภูเขาอย่างมาก

หรือว่าอนุญาตให้บุรุษชื่นชมสาวงามได้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้พวกนางมองเซียนกระบี่หลิ่วหลายๆ ครั้งหน่อยเลยหรือ? ไม่มองก็เสียเปล่าน่ะสิ

ทุกครั้งที่หลิ่วจื้อชิงมานั่งในร้านผีฝูจะต้องรู้สึกเสียใจภายหลังทุกครั้ง วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

หลี่ไหวที่ถูกเผยเฉียนทิ้งไว้วิ่งไปดูต้นไหวหมื่นปีนานแล้ว

แน่นอนว่าเหวยไท่เจินต้องตามไปคุ้มกันเขาตลอดทางด้วย

หลิ่วจื้อชิงพลันลุกขึ้นยืน แล้วร่างก็พุ่งวาบหายไป

เขามาที่ต้นไหวโบราณ พอหลิ่วจื้อชิงมาปรากฏตัวด้านหลังหญิงสาวกับเด็กหนุ่มร่างอ้วนฉุก็ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ตั้งใจฝึกตนอยู่บนยอดเขาแสงทองและภูเขาแสงจันทร์ให้ดี ตอนแรกพวกเจ้าก็ไปป้วนเปี้ยนแถวอาณาเขตของตำหนักจินอู ตอนนี้ยังสะกดรอยตามมาที่สวนน้ำค้างวสันต์อีก ต้องการอะไรกันแน่?”

ภูตสองตนนี้อยู่ห่างจากหลี่ไหวและเหวยไท่เจินมาค่อนข้างไกล ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้สักเท่าไร

หลังจากที่จินเฟิงและอวี้ลู่หันหน้ามาเจอหลิ่วจื้อชิงก็จำต้องยอมรับว่ามาดเทพเซียนของหลิ่วจื้อชิงผู้นี้ ลำพังเพียงแค่มองรูปโฉมของเขาก็สามารถเดาชื่อของเขาได้ถูกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้พวกสตรีที่อยู่แถวต้นไหวโบราณก็ซุบซิบกันบอกว่าเซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนักจินอูย้อนกลับมาที่สวนน้ำค้างวสันต์อีกครั้งแล้ว ดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าเป็นเซียนกระบี่หลิ่ว จินเฟิงรีบยอบตัวคารวะ ส่วนอวี้ลู่ก็ยิ่งก้มหัวกุมหมัด มิกล้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

ผู้ฝึกกระบี่ตำหนักจินอูลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารขึ้นชื่อเรื่องวิธีการที่อำมหิตโหดเหี้ยม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิ่วจื้อชิง ตอนที่เป็นโอสถทองก็ช่วงชิงบารมีและชื่อเสียงที่เลืองลือมาให้ตัวเองได้แล้ว

อวี้ลู่รีบปลุกความกล้า ใช้เสียงในใจอธิบายกับเซียนกระบี่หลิ่วว่า “ก่อนหน้านี้จินเฟิงเห็นบัณฑิตต่างถิ่นที่ขึ้นเขาไปท่องเที่ยวผู้นี้ก็สัมผัสได้ถึงโชควาสนาบนมหามรรคาเสี้ยวหนึ่ง รอกระทั่งนางกลับยอดเขาแสงทองมา อีกฝ่ายกลับจากไปแล้ว ดังนั้นถึงได้ติดตามมาตลอดทาง หวังว่าเซียนกระบี่หลิ่วจะไม่เห็นว่าพวกเราสองคนมีเจตนาร้าย ไม่ใช่อย่างนั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นก่อนที่บัณฑิตจะเข้าไปในตำหนักจินอู พวกเราที่รู้ว่าต้องเจอกับความยากลำบากก็ควรต้องถอยแล้ว ต่อให้โชควาสนาบนมหามรรคาจะดีแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีค่าเท่าชีวิต”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ “ข้าเคยได้ยินได้ฟังเรื่องขนบธรรมเนียมในการฝึกตนของพวกเจ้าสองคนมาก่อน แต่ไหนแต่ไรมามักจะอดทนข่มกลั้นและยอมถอยให้เสมอ แม้จะบอกว่านี่คือวิถีการวางตัวในสังคมและวิชาการรักษาตัวรอดของพวกเจ้า แต่นิสัยโดยภาพรวมก็ยังพอจะมองออกได้บ้าง หากไม่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าคงไม่ได้พบเจอข้า มีแต่จะได้เจอกับกระบี่ของข้าก่อน”

จินเฟิงและอวี้ลู่รีบเอ่ยขอบคุณ

คำพูดประโยคนี้ของหลิ่วจื้อชิงเท่ากับว่ามอบโองการจากเซียนกระบี่ให้กับพวกเขา และอันที่จริงก็คือยันต์คุ้มกันกายที่มองไม่เห็นแผ่นหนึ่ง

ขอแค่เซียนกระบี่หลิ่วปรากฏตัวในวันนี้ อีกทั้งไม่ขับไล่ภูตอย่างพวกเขาสองคน ถ้าอย่างนั้นวันหน้าต่อให้มีคนที่หวังจะครอบครองยอดเขาแสงทองและภูเขาแสงจันทร์ปรากฎตัวขึ้นอีก ก่อนจะลงมือก็ควรจะต้องชั่งน้ำหนักการออกกระบี่ของเซียนกระบี่หลิ่วให้ดี

ต่างก็บอกกันว่า ใช่ว่าหลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูจะพูดคุยด้วยยาก แต่เป็นเพราะเขาแทบไม่เคยพูดจาปราศรัยกับผู้ฝึกตนนอกภูเขาเลย มีแต่จะออกกระบี่เท่านั้น

ดังนั้นวันนี้เซียนกระบี่หลิ่วพูดมากขนาดนี้อย่างที่หาได้ยาก ทำให้คนทั้งสองทั้งรู้สึกโชคดีแล้วก็ทั้งรู้สึกกระวนกระวาย และยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่บ้างเล็กน้อย

หลิ่วจื้อชิงเอ่ย “พวกเจ้าไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป และยิ่งไม่ต้องรู้สึกดูถูกตนเองเพียงแค่เพราะชาติกำเนิดของตน ส่วนเรื่องโชควาสนาบนมหามรรคา แค่ปล่อยไปตามชะตาลิขิตก็พอ ข้าไม่ขัดขวาง แล้วก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ”

หลิ่วจื้อชิงรู้ความจริงแล้วก็รวมตัวเป็นแสงกระบี่อีกครั้งในเสี้ยววินาที หดย่อพื้นที่ ไม่ได้ไปร้านผีฝูที่ผู้คนจอแจเสียงดัง แต่ไปที่หน้าผาอวี้อิ๋งที่ขายให้กับเฉินผิงอันไปแล้ว

ใต้ต้นไหวโบราณ หลี่ไหวหยุดยืนนิ่งอยู่นาน

เหวยไท่เจินเอ่ยเบาๆ “ก่อนหน้านี้มีคนสองคนทำท่าลับๆ ล่อๆ ยังดีที่ท่านหลิ่วมาสอบถามแล้ว”

หลี่ไหวกล่าว “ในเมื่อเซียนกระบี่หลิ่วออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว พวกเราก็ทำใจให้สบายเถอะ”

ถึงอย่างไรท่องอยู่ในยุทธภพก็มีเผยเฉียนอยู่ด้วย

ไม่ถึงคราวให้เขาหลี่ไหวต้องร้องจะกินหัวไชเท้าดอง (เปรียบเปรยถึงคนที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงไปยุ่งกับเรื่องคนอื่น)

ตลอดทางที่เดินทางร่วมกันมานี้ เหวยไท่เจินรู้สึกเลื่อมใสในความใจใหญ่ของหลี่ไหวมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีหลายเรื่องจริงๆ ที่หลี่ไหวสามารถมองข้ามไม่สนใจได้เลย

แต่ทุกวันยามที่หลี่ไหวมีเวลาว่างกลับมักจะตั้งใจท่องเนื้อหน้าในตำราของอริยะปราชญ์ แต่เหวยไท่เจินก็มองออกว่าคุณชายหลี่ไม่ใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิตอะไรจริงๆ ก็แค่มานะพากเพียรในการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น

แน่นอนว่าหลี่ไหวไม่รู้ว่าเทพธิดาเหวยจะมองตนสูงส่งขนาดนี้

มายืนอยู่ใต้ต้นไหวโบราณที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนได้หวนคืนสู่มาตุภูมิแห่งนี้ อยู่ดีๆ หลี่ไหวก็นึกถึงเรื่องราวมากมายตอนที่ยังเป็นเด็ก

เมื่อก่อนตอนอยู่ในบ้านที่อยู่ฝั่งตะวันตกสุดของเมืองเล็ก ทุกครั้งที่ท่านพ่อพอจะหาเงินมาได้บ้างเล็กน้อย ท่านแม่ก็จะพยายามใส่น้ำมันใส่เกลือลงไปในกับข้าวอย่างเต็มที่ อาหารหลายอย่างกลับกลายเป็นว่าไม่อร่อยเหมือนยามปกติ อย่าว่าแต่อาหารเนื้อเลย ทุกครั้งที่หลี่ไหวคีบผัดผักขึ้นมาล้วนเหมือนเขาคีบเจ้าตัวน้อยที่น่าสงสารขึ้นมาจากถังน้ำมันหรือไม่ก็จากถุงเกลือ พี่สาวคือคนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็เหมือนภรรยาตัวน้อยที่ต้องได้รับความอยุติธรรมแล้ว ทุกครั้งที่หลี่ไหวถามนางว่าเค็มหรือจืด นางมักจะพูดทุกครั้งว่าก็ยังดี

ดีกะผีน่ะสิ หลี่ไหวมิอาจทนรับความอยุติธรรมเช่นนี้ได้ ทุกครั้งจะต้องยืนอาละวาดบนม้านั่งตัวยาว ท่านแม่ไม่กล้าพูดจาแรงๆ ใส่เขา ได้แต่บ่นว่าลูกชายไม่รู้จักเสพสุข บ่นได้สองคำก็เริ่มปวดใจขึ้นมาอีก ไหนเลยจะตัดใจตำหนิลูกชายที่รักได้ลงคอ จึงหันไปบ่นบุรุษของตัวเองว่าไม่ได้ความ จากนั้นก็ทั้งตบตะเกียบลงบนโต๊ะ ทั้งเหยียบเท้าบุรุษใต้โต๊ะ ตำหนิหลี่เอ้อว่าทำให้บุตรชายมีชีวิตที่ยากลำบากมาจนชิน แม้แต่กินน้ำมันกินเกลือก็ยังทนกินไม่ได้ แล้วก็หันมาบ่นบุตรสาวหลี่หลิ่วด้วยความหวังดีต่อ บอกว่าวันหน้าจะต้องหาคนดีๆ ที่ครอบครัวมีอันจะกิน ต้องหาบุรุษที่มีเงินผ่านมือ หลักๆ คือต้องเป็นคนที่ช่วยเหลือน้องชายของเจ้าได้ ตัวเจ้าเองก็ต้องมีอุบายให้มาก แอบเอาเงินทองมาชดเชยให้ที่บ้านเดิมเยอะๆ หน่อย ไม่ใช่ว่าเป็นบุตรสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป ทำผิดมโนธรรมจะต้องถูกฟ้าผ่า…

บ่นไปบ่นมา สรุปก็คือล้วนเป็นหลี่ไหวกับมารดาเขาที่เป็นคนพูด อาหารมื้อหนึ่งที่ใส่น้ำมันใส่เกลือเยอะจนน่าตกใจก็กินหมดไปทั้งอย่างนั้น สุดท้ายก็มักจะเป็นท่านพ่อกับพี่สาวของเขาที่เก็บถ้วยเก็บชาม

วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ล้วนมีชีวิตเรียบง่ายที่สงบสุขเช่นนั้น ขอแค่ท่านแม่ไม่ออกไปทะเลาะกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วแพ้ ทุกๆ วันปีใหม่ไม่ได้ทะเลาะขุ่นเคืองกับคนบ้านเดิม ไม่เห็นสตรีคนใดสวมใส่เครื่องประดับงดงามฉูดฉาด อันที่จริงในบ้านก็ล้วนไม่มีเรื่องใหญ่อะไร

ตอนเด็กหลี่ไหวกลัวว่าท่านพ่อจะไปหาตนที่โรงเรียนที่สุด

เขารู้สึกอายคนอื่น

เพราะท่านพ่อของเขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องจนถึงขั้นที่หลี่ไหวเคยคิดสงสัยว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องแยกกันอยู่หรือไม่ ถึงเวลานั้นก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเขาต้องตามท่านแม่ไปลำบาก ส่วนพี่สาวก็ต้องตามท่านพ่อไปตรากตรำ ดังนั้นต่อให้หลี่ไหวในเวลานั้นจะรู้สึกว่าท่านพ่อไม่ได้ความมากแค่ไหน ต่อให้เขาจะทำให้ตนถูกคนวัยเดียวกันดูแคลน ก็ยังไม่ยินดีให้ท่านพ่อท่านแม่แยกจากกัน ต่อให้ต้องลำบากไปด้วยกัน จะดีจะชั่วก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน

ปีนั้นหลี่ไหวยินดีให้พี่สาวไปเรียกเขากลับบ้านจากที่โรงเรียนมากกว่า เพราะหน้าตาพี่สาวพอจะใช้ได้ แค่ไม่แย่เท่านั้น แต่อันที่จริงคนที่แอบมีใจให้พี่สาวเขากลับไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นหลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงที่ชอบพี่สาวเขามาก ทุกวันที่ไปเรียนหลี่ไหวล้วนไม่ตั้งใจ อายุน้อยๆ กลับเอาแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ แต่อันที่จริงตอนเด็กหลี่ไหวคิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจเลยว่าคนพวกนั้นมาชอบหลี่หลิ่วทำไม นางสวยหรือ? ไม่กระมัง หากพวกเจ้าแต่งพี่สาวข้ากลับไปบ้านจริงๆ นางจะสามารถหิ้วน้ำได้สักกี่ถัง ผ่าฟืนได้สักกี่จินกัน? ไม่มากพอหรอก

ภายหลังติดตามพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปยังสำนักศึกษาซานหยา ท่านพ่อท่านแม่และพี่สาวมาเยี่ยมเขาพร้อมกัน หลี่ไหวก็ไม่รู้สึกอายคนอีก ต่อให้เวลานั้นที่สำนักศึกษาจะมีคนมีเงินเยอะมากกว่าก็ตาม

ดังนั้นหลี่ไหวจึงเคารพนับถือเฉินผิงอันจากใจจริง เพราะหลี่ไหวได้เรียนรู้อะไรมากมายจากตัวของเฉินผิงอัน

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันพูดอะไร แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันทำอะไร และอันที่จริงหลี่ไหวก็เห็นอยู่ในสายตาและจดจำไว้ในใจมาโดยตลอด

แต่ว่าหากจะให้หลี่ไหวในตอนนั้นพูดคำว่าขอบคุณกลับยากยิ่งกว่าเดินขึ้นฟ้า ในใจรู้ดีว่าตัวเองทำผิด แต่หากจะให้หลี่ไหวเอ่ยขอโทษก็ยากพอกัน

กับคนนอกไม่ว่าเจอใครล้วนเป็นนายท่านใหญ่ของเขาหลี่ไหว มีเพียงในโปงผ้าห่มเท่านั้นที่เก่งเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า

เมื่อชีวิตในการไปขอศึกษาต่อล่วงเลยผ่านไปนานวันเข้า สหายทุกคนล้วนไม่ใช่เด็กน้อยกันอีกต่อไปแล้ว

ยิ่งนานวันความรู้ของหลี่เป่าผิงก็ยิ่งมาก นางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ติดตามเจ้าขุนเขาเหมาไปยังสถานศึกษาหลี่จี้ อวี๋ลู่ก็เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองนานแล้ว ทุกวันนี้ไม่เกรงใจก็สามารถรวบรวมความกล้าหาญแห่งการฝึกตนขึ้นมาได้ใหม่ เชื่อว่าวันหน้าต้องไม่มีทางแย่อย่างแน่นอน หลินตอไม้ก็ยิ่งถูกตระกูลเศรษฐีชนชั้นสูงในเมืองหลวงต้าสุยแย่งชิงกันหมายจะเอาไปเป็นลูกเขย เพียงแต่ว่าดูเหมือนเขาจะยังชอบพี่สาวของตนอยู่เหมือนเดิม แล้วก็ยังคงชอบงัดข้อกับต่งสุ่ยจิ่งอย่างลับๆ แต่กลับไม่ถ่วงรั้งการกลายเป็นเทพเซียนของหลินตอไม้

ดูเหมือนว่าจะมีเขาหลี่ไหวคนเดียวที่ไม่ค่อยเป็นการเป็นงานสักเท่าไร

กลุ้มนัก

หลี่ไหวเก็บความคิดทั้งหมดกลับคืน

พาเหวยไท่เจินกลับไปที่ร้านผีฝูด้วยกัน

เซียนกระบี่หลิ่วไม่อยู่ที่ร้าน แต่สตรีกลับยังเยอะมาก

เผยเฉียนกำลังปรึกษาเรื่องหนึ่งกับตัวแทนเถ้าแก่ ดูว่าจะสามารถขายภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มของนครปี้ฮว่าในราคาถูกที่ร้านนี้ได้หรือไม่ หากทำได้ ไม่ขาดทุน ถ้าอย่างนั้นนางจะเป็นคนออกหน้าประสานงานกับร้านหนึ่งในนครปี้ฮว่าด้วยตัวเอง

หลี่ไหวไม่มีเรื่องอะไรให้ทำจึงนั่งเหม่ออยู่นอกร้านผีฝู

วันที่สองหลังจากบอกลากับหลิ่วจื้อชิงแล้ว พวกเผยเฉียนก็เดินเท้าออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์

เผยเฉียนไปยังภูเขาแคว้นฝูฉวีที่อาจารย์พ่อเคยเซ่นกระบี่พร้อมกับหลิวจิ่งหลงก่อน

คิดไม่ถึงว่าภูเขาธรรมดาที่ปราณวิญญาณบางเบาแห่งนั้น ทุกวันนี้กลับกลายเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่หลายคนมาสร้างกระท่อมฝึกตน ผู้ฝึกลมปราณที่มาเที่ยวชมทัศนียภาพของที่แห่งนี้ก็ยิ่งมีมาเพิ่มทุกๆ สามวันห้าวัน หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะฉีจิ่งหลงเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้เร็วกว่าหลินซู่ สวีเซวี่ยน ใช้สถานะของเซียนกระบี่คนใหม่ ถูกเซียนกระบี่สามท่านที่มีป๋ายฉางเป็นหนึ่งในนั้นทยอยกันมาถามกระบี่สามครั้ง จากนั้นก็ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ พอกลับมาก็ได้กลายเป็นเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย บวกกับที่ฉีจิ่งหลงได้เลื่อนเป็นอันดับสิบคนรุ่นเยาว์มานานแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นที่ชื่นชอบของสองเทพธิดาอย่างหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิง และซุนชิงเจ้าสำนักจวนไช่เฉวี่ย ฉีจิ่งหลงเพิ่งจะอายุแค่ร้อยกว่าปี แต่กลับมีเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย

ดังนั้นการที่สถานที่ซึ่งเขากับสหายเซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อคนนั้นมาเซ่นกระบี่ร่วมกันได้กลายมาเป็นเส้นทางแห่งเซียนที่ดึงดูดผู้คนให้มาเยือน ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว

——